พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 384 กระบี่ธรรมดา
บทที่ 384 กระบี่ธรรมดา
ลั่วหยุนรู้สึกว่าไม่ว่าจะยังไง เขาจะต้องขอลองใช้ยันต์เคลือบหยกที่หลิงตู้ฉิงมอบให้ เพราะเขาคิดว่าด้วยความสามารถของหลิงตู้ฉิงที่พิสดารจนทำให้เขาตกตะลึงอยู่บ่อย ๆ ของที่เขาได้รับมามันน่าจะต้องไม่ธรรมดา
แต่แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัย เขาจึงใช้วิธีเอ่ยคำขอ ‘ชี้แนะ’
“ได้ แต่เจ้าต้องบอกให้เหล่าคนที่กำลังจะเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับหยุดก่อน!” ร่างเงาลึกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างเงา แต่มันก็ไม่ใช่ตัวตนที่คนระดับลั่วหยุนที่เหลือเพียงดวงวิญญาณจะทำอะไรได้ เพราะเหตุนี้ร่างเงาจึงยินยอมทำตามคำขอของลั่วหยุนแต่โดยดี และการที่เขาสามารถคลี่คลายปัญหาได้ด้วยวิธีนี้ มันจะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของสันเขาทรราชของเขาจะดีกว่าเดิมมาก
ลั่วหยุนมองไปที่สีเป่ยเซียะและผู้คนจากตำหนักเทพเหมันต์ที่อยู่ข้าง ๆ เขา จากนั้นเขาจึงส่งข้อความทางโทรจิตไปหาตวนจู้และกลุ่มคนที่ใช้กุญแจเดียวกับนางให้หยุดเคลื่อนที่ก่อน
ซึ่งสีเป่ยเซียะและผู้คนจากตำหนักเทพเหมันต์ เมื่อเห็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร การเผชิญหน้ากับตัวตนระดับนี้ การดึงดันต่อสู้กับเขามันจะไม่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
เพราะถ้าหากวันนี้พวกเขาถูกสังหารลงทั้งหมด สำนักของพวกเขาก็คงอาจจะล้างแค้นให้พวกเขา แต่การล้างแค้นมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าพวกเขาตายได้ไปแล้ว?
เมื่อเห็นว่ากลุ่มของตวนจู้หยุดลง ลั่วหยุนก็รู้สึกโล่งใจ ไม่ว่าในกรณีใดสันเขาทรราชก็ต้องการเพียงแค่สิทธิ์เดียว ซึ่งมันก็ใช้กุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเพียงแค่ดอกเดียว
ร่างเงานั้นเมื่อเห็นว่ากลุ่มของตวนจู้หยุดลง เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและจากนั้นเขาหันกลับมาและพูดกับลั่วหยุน “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนกลเม็ดอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าจะนำมันออกมาได้แล้ว!”
ลั่วหยุนพยักหน้าและค่อย ๆ หยิบยันต์เคลือบหยกที่หลิงตู้ฉิงมอบให้เขาขึ้นมา จากนั้นเขาก็เริ่มส่งพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปเพื่อเปิดใช้งาน
ภายใต้การจับตามองของผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ยันต์เคลือบหยกก็ได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกระบี่ก็ปรากฏขึ้นลอยอยู่ตรงหน้าของลั่วหยุน
รูปร่างของมันเป็นเพียงแค่กระบี่ยาวที่ดูเรียบง่ายไม่มีการตกแต่งใด ๆ หากมองอย่างผิวเผินแล้วมันดูธรรมดาเป็นอย่างมาก มันไม่มีแม้กระทั่งพลังวิญญาณหรือกฎใด ๆ แฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย หรือถ้าจะให้กล่าวก็คือมันดูแล้วมีค่าไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กที่เอามาขึ้นรูปเป็นกระบี่
ลั่วหยุนที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาตัดสินใจถูกต้องหรือเปล่า? เขาได้แต่งุนงงและตั้งคำถามในใจ ไอ้สิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเอื้อมมือไปถือมันไว้ ใบหน้าของเขาก็สว่างขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น
คนอื่น ๆ ที่มองเหตุการณ์อยู่ก็จ้องไปที่ลั่วหยุนด้วยสายตาแปลก ๆ พลางคิดในใจ ‘สรุปแล้วที่ต่อรองไปทั้งหมดก็เพื่อกระบี่ธรรมดา ๆ เล่มนี้น่ะนะ?’
“ลงมือสักที!” ร่างนั้นเอามือไพล่หลัง ขณะที่เขาพูดกับลั่วหยุน
เขาเป็นใคร? ตัวตนเช่นเขาจะไปกลัวกระบี่ธรรมดา ๆ แบบนั้นได้อย่างไร?
ในชีวิตอันยาวนานของเขา เขามั่นใจว่าเขาเคยรับมือกับกระบี่มาแล้วแทบทุกรูปแบบ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์เขาก็ยังไม่กลัว ดังนั้นมันจึงไม่ต้องพูดถึงกระบี่ที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ที่ไม่มีแม้แต่คลื่นพลังใด ๆ แผ่ออกมา
ลั่วหยุนเผยรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของเขา ขณะที่เขาพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านควรระวังตัวหน่อยนะ!”
หลังจากพูดจบ ลั่วหยุนก็พุ่งตัวเข้าไปเสียดแทงกระบี่ไปที่ร่างเงาทันที
จากนั้นภาพที่แปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้น ในตอนแรกที่ลั่วหยุนแทงกระบี่ออกไป ระยะห่างระหว่างเขากับร่างเงานั้นอยู่ห่างกันน้อยกว่า 10 ก้าว แต่แล้วจู่ ๆ มิติมันก็เหมือนถูกฉีกออกเปิดเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของร่างเงา ซึ่งดูเหมือนว่าร่างที่แท้จริงนี้ระยะห่างของพวกเขาทั้งคู่มันดูเหมือนว่าพวกเขาอยู่กันคนละโลก
แม้ว่ามันจะดูเหมือนทั้งคู่อยู่ห่างกันคนละโลก แต่สีหน้าและการแสดงออกของทั้งร่างเงาและร่างจริงก็เปลี่ยนไปเป็นตกตะลึง ร่างเงาได้หันกลับมาและพูดกับเทียนหยูเฮงและเทียนเก๋อ “รีบไปซะ!”
ในขณะที่พูด ร่างเงานั้นก็โบกมือทั้งสองข้างของเขาและช่องทางมิติหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา จากนั้นร่างเงาก็ได้ผลักเทียนหยูเฮงและเทียนเก๋อเข้าไปและส่งพวกเขาไปยังสถานที่ที่ห่างไกลจากที่นี่ทันที
จากนั้นร่างเงาก็พุ่งตัวเข้าไปในมิติของอีกโลกที่ถูกกระบี่เปิดออกเขาราวกับว่าเขาต้องการเอาร่างเงาเข้าปะทะกับปราณกระบี่ที่กำลังคืบคลานไปยังร่างจริง อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาพุ่งตัวไปหาปราณกระบี่ ร่างเงาของเขาก็จางลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไปอย่างสมบูรณ์ จากนั้นเหรียญหยกที่เทียนหยูเฮงหยิบออกมาในตอนแรกก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นพร้อม ๆ กับมิติที่ถูกเปิดออกก็ได้ถูกปิดตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งชะตากรรมของร่างที่แท้จริงของร่างเงานั้นจะเป็นอย่างไรต่อนั้นไม่มีใครทราบได้
ในขณะนี้เทียนหยูเฮงและเทียนเก๋อ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายร่างห่างออกไปเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร พวกเขาทั้งคู่ต่างตัวสั่นเมื่อเห็นช่องทางมิติที่พวกเขาจากมาค่อย ๆ ปิดตัวลง
หลังจากนั้นไม่นาน เทียนหยูเฮงที่ตัวสั่นก็ตะโกนขึ้นอย่างเจ็บปวด “บรรพบุรุษ!”
เหรียญหยกนั้นมันคือ ‘เครื่องราง’ ที่บรรพบุรุษของสันเขาทรราชทิ้งไว้เบื้องหลัง เครื่องรางเช่นนี้มันคือสิ่งที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วจากนั้นมันจะหายไป ซึ่งพวกเขาจะไม่ใช้มันเลยเว้นแต่สันเขาทรราชจะอยู่ในช่วงวิกฤตที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับหายไปแล้ว
แน่นอนว่าเครื่องรางเช่นนี้ในสันเขาทรราชนั้นก็มีมันอยู่ในจำนวนไม่มากนัก ถ้าจะให้พูดถึงมูลค่าของมันแล้วถึงแม้ว่าจะต้องใช้อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ 5 ชิ้นมาแลกกับมันก็ยังถือว่าคุ้มค่า เนื่องจากอาจจะกล่าวได้ว่าของสิ่งนี้มันก็เทียบได้กับรากฐานความมั่นคงของสันเขาทรราชของพวกเขา
แต่ตอนนี้มันกลับสลายหายไปแล้ว โดยที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่ได้รับแม้กระทั่งสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอีกต่างหาก
เหตุการณ์เช่นนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
“ทำไม!?” เทียนหยูเฮงอดไม่ได้ที่จะคำราม
เทียนเก๋อที่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหดหู่จนไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
เมื่อคร่ำครวญอยู่สักพัก เทียนหยูเฮงจึงนำเทียนเก๋อบินกลับไปยังสันเขาทรราชด้วยความเศร้าโศก
กลับมาที่ทางด้านของทางเข้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
ทุกคนที่รู้ถึงความน่ากลัวของตัวตนร่างเงานั้นกำลังจ้องมองไปที่ลั่วหยุน ด้วยอาการขากรรไกรค้าง
แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างเงาที่เกิดขึ้นจาก ‘เครื่องราง’ แต่มันก็ไม่ใช้สิ่งที่ตัวตนระดับราชันจะสามารถฆ่าได้ใช่ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย…
หากเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งโลกคงได้สั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
พวกเขาไม่คิดว่านี่เป็นพลังของลั่วหยุน แต่มันน่าจะเป็นพลังจากกระบี่ประหลาดในมือของลั่วหยุน
ว่าแต่กระบี่นี้คืออะไร?
“ผู้อาวุโสลั่ว มันคือ…” สีเป่ยเซียะถามหลังจากหายใจเข้าลึก ๆ
ลั่วหยุนพูดด้วยรอยยิ้มที่กระอักกระอ่วน “อย่าถามข้าเลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นกัน ท่านหลิงมอบมันให้ข้าและข้าคิดว่ามันอาจมีประโยชน์ดังนั้นข้าจึงใช้มัน แต่ข้าเองก็ไม่คิดว่ามันจะ…”
อันที่จริงเขาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ในช่วงวินาทีที่เขาได้สัมผัสกับด้ามจับของกระบี่ เขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพลังของมันนั้นสุดจะหยั่งถึง
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาใช้มัน เขาก็เห็นภาพที่มิติถูกเปิดออกและยังเห็นภาพสถานที่แปลก ๆ ของอีกฝั่งปลายทาง ซึ่งรวมไปถึงเขาได้เห็นร่างที่แท้จริงร่างเงานั้นที่ดูเหมือนว่ามันกำลังถูกพลังบางอย่างตรึงเอาไว้เพื่อปิดกั้นโอกาสที่จะหลบหนี
เขายังรู้สึกได้อีกว่า ต่อให้ร่างจริงร่างนั้นจะมีภูเขานับพันลูกกั้นขวางหรือจะมีแม่น้ำนับหมื่นสายพาดผ่านแยกพวกเขา กระบี่เล่มนี้ก็สามารถไล่ตามความเชื่อมโยงระหว่าง ‘เครื่องราง’ และร่างเดิมที่ดำรงอยู่ได้
แต่เรื่องที่การแทงเมื่อครู่นั้นจะสามารถฆ่าร่างที่แท้จริงที่อยู่อีกฝั่งของมิติได้หรือไม่นั้น อันนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะมันก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถของร่างจริงที่อยู่ปลายทางว่าจะมีไพ่ตายเยอะสักแค่ไหน
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของลั่วหยุน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆา
ในตอนนี้ค่ายกลกระบี่เหินเมฆายังคงล้อมรอบไปด้วยกระบี่ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าเข้าไป
สีเป่ยเซียะขมวดคิ้วขณะที่นางนึกถึงหลาย ๆ สิ่งที่นางพูดกับหลิงตู้ฉิง
ยันต์เคลือบหยกที่เขามีอยู่ทำไมมันถึงได้ทรงพลังขนาดนั้น? ยันต์เคลือบหยกเหล่านั้นเขาได้รับมาจากไหนกันแน่? เขาไม่น่าจะเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมาเองได้ใช่ไหม?
ในใจเย่หยูหลันก็เต็มไปด้วยความคิดแบบเดียวกันพร้อมกับพยายามที่จะสัมผัสถึงยันต์เคลือบหยกภายในแหวนมิติ
ยันต์เคลือบหยกที่หลิงตู้ฉิงมอบให้นาง มันก็คงจะน่ากลัวเช่นนั้นเหมือนกันใช่ไหม?
ถ้าอย่างนั้นสามีของคุณหนูของนางจะต้องเป็นคนไม่ธรรมดามาก ๆ อย่างแน่นอนจริงไหม?
ลั่วหยุนเองในตอนนี้ก็มีความคิดมากมายในใจ เขารู้สึกว่านับจากนี้มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องพิจารณาใหม่ให้ถี่ถ้วน
สำหรับคนอื่น ๆ พวกเขาก็มีความคิดมากมายเช่นกัน
แต่แล้วจู่ ๆ ลั่วหยุนก็ส่งเสียง “เอ๋” ออกมาซึ่งมันดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
ทุกคนมองไปที่ลั่วหยุนอย่างรวดเร็ว และสังเกตว่ากระบี่ในมือของเขาค่อย ๆ สลายหายกลายเป็นพลังวิญญาณ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่สิ่งนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานแน่นอน
แม้แต่สีเป่ยเซียะและคนอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตรก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ควรปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่มีใครเห็นก็คือหญิงสาวที่อยู่ในยันต์สั่งสวรรค์กำลังแสดงสีหน้ายิ้มเยาะ
มันคือนาง!
ในตอนที่ร่างเงานั้นปรากฏขึ้น นางใช้สายตาของนางเหลือบมองไปยังร่างเงานั้น
และแค่เพียงการเหลือบมองเพียงแว๊บเดียวก็ทำให้ร่างเงานั้นถึงกับมองไม่เห็นค่ายกลกระบี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่มีความสามารถพอที่จะรู้เรื่องนี้ได้