พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 492 ชายหนุ่มผู้ถูกวางหลุมพลาง
บทที่ 492 ชายหนุ่มผู้ถูกวางหลุมพลาง
ภายในสำนักวิญญาณโลหิต ทุกคนเฝ้าดูตงฟางจุนดูดซับเจตจำนงกระบี่ถัดมาอื่นอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเจตจำนงกระบี่ถูกดูดซับ สิ่งปลูกสร้างที่เคยถูกเจตจำนงกระบี่ผนึกไว้ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น จากนั้นต้นกล้าสองสามต้นก็เริ่มงอกออกมาจากภายในห้องของตึกที่กำลังฟื้นตัว
ต้นกล้าแสนอ่อนแอเหล่านี้เริ่มแตกหน่อต่อหน้าทุกคนและในไม่ช้าพวกมันก็เติบโตสูงหนึ่งถึงสองฟุต
“แท้จริงแล้วมันคือ ต้นมะเดื่อโลหิต!!…” ใครบางคนร้องเสียงหลง จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปที่ต้นมะเดื่อโลหิต เพื่อดึงมันขึ้นมาเก็บไว้
ตงฟางไป๋ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขายิ้มเยาะและส่งฝ่ามือผลักผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำกระเด็นลอยออกไปทันที
“เป็นพวกข้าที่ทำให้ต้นมะเดื่อโลหิตเหล่านี้เติบโตขึ้น พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงพยายามมาแย่งของ ๆ ข้า!” ตงฟางไป๋พูดอย่างเย็นชา
เมื่อพูดจบ ตงฟางไป๋มองไปที่ต้นมะเดื่อโลหิตด้วยสีหน้าขัดแย้ง
มันเพิ่งงอกออกมา ดังนั้นมันจึงยังไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตามหากหลังจากนี้อีกหนึ่งพันปีมันสามารถใช้เป็นส่วนผสมโอสถได้ หรือหลังจากหมื่นปีมันสามารถกลายเป็นโอสถระดับสวรรค์ได้ แต่พวกเขารอที่นี่เป็นเวลาพันปีไม่ได้…
หลิงตู้ฉิง ในตอนนี้ก็มองไปที่ต้นมะเดื่อโลหิตเช่นกัน แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
สมุนไพรชนิดนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับคนในตระกูลของเขา อย่างมากที่สุดที่มันจะทำปรโยชน์ได้ก็คือเอามันไปขายต่อหรือแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของล้ำค่ากับคนอื่นได้
อย่างไรก็ตาม มันก็วนกลับมาที่ปัญหาเดิมก็คือมันเป็นต้นมะเดื่อโลหิตที่ยังไม่โต ดังนั้นการเอามันไปในตอนนี้ก็เท่ากับว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
หลังจากที่ตงฟางจุนดูดซับเจตจำนงกระบี่เสร็จแล้ว เขาก็มองไปที่ต้นมะเดื่อโลหิต หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็พูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “พี่หลิง เราพบต้นมะเดื่อโลหิตนี้ด้วยกัน ดังนั้นเราแบ่งครึ่งกัน พี่หลิงว่าดีไหม?”
ตงฟางไป๋ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นว่า “อาจุน ทำไมเจ้าต้องแบ่งมันให้กับพวกเขาด้วย? แม้ว่าเราจะเจอมันในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าหากไม่มีเจ้าพวกเขาก็ไม่มีทางได้เห็นมันแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของปู่ตนเอง ตงฟางจุนรีบตอบกลับทางโทรจิตไปหาตงฟางไป๋ทันที “ท่านปู่ท่านจงฟังข้า! หลิงตูฉิง ผู้นี้น่ากลัวอย่างยิ่ง ท่านห้ามตัดสินความสามารถของเขาจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ท่านเห็นเด็ดขาด สำหรับต้นมะเดื่อโลหิตแค่ 2-3 ต้นนั้นมันไม่มีค่าอะไรเลยสักนิดหากได้แลกกับการทำให้เขาพอใจพวกเรา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงฟางไป๋ก็หยุดพูดทันทีเพราะการแสดงออกของตงฟางจุนนั้นจริงจังเป็นอย่างมากบวกกับที่เขาสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ของเทพกระบี่ได้ ซึ่งมันหมายความว่าตงฟางจุนคงจะเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิด
และถ้านี่คือการกลับชาติมาเกิดของเทพกระบี่ อนาคตของตงฟางจุนจะกลายเป็นๆตัวตนที่น่ากลัวมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะเป็นปู่ แต่เขาก็ยังคงต้องฟังหลานของตัวเอง
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “จะมีประโยชน์อะไรถ้าแบ่งสมุนไพรมาแค่ครึ่งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นนี่คืออาณาเขตของสำนักวิญญาณโลหิต ถ้าเจ้าต้องการจะเอาของพวกเขาไป มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะยินยอมหรือไม่!”
“เราไม่เห็นด้วย!” เสียงหนึ่งลอยดังขึ้นทันทีหลังจากหลิงตู้ฉิงพูดจบประโยค
ทุกคนหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งพวกเขาก็ได้เห็นกานจู่ซ่านกำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
อันดับแรก ตงฟางไป๋มองประเมินกานจู่ซ่านก่อนทันที และเมื่อเขาเห็นแล้วว่าฝั่งตรงข้ามเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็รีบจับตัวตงฟางจุนมาไว้ข้างหลังเขาพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักวิญญาณโลหิตหรือไง?”
กานจู่ซ่านมองไปที่ตงฟางไป๋อย่างเย็นชาและตะคอก “นี่เจ้าไม่รู้งั้นเหรอว่าข้าได้พบกับวิชามหาเวทย์สูบโลหิตของสำนักวิญญาณโลหิตและข้าได้ฝึกฝนมันแล้ว ดังนั้นตัวข้าจึงนับได้ว่าเป็นคนของสำนักวิญญาณโลหิตอย่างเต็มตัว และมีสิทธิ์ตัดสินใจทำอะไรก็ได้ในสถานที่แห่งนี้ได้ทั้งหมด”
ตงฟางไป๋พูดอย่างเย็นชา “เจ้าฝึกฝนวิชามหาเวทย์สูบโลหิตได้เพียงไม่กี่วัน แต่กลับกล้าอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจแทนสำนักวิญญาณโลหิต?”
“แม้ว่าข้าจะบ่มเพาะมันมาหนึ่งวันตราบเท่าที่ข้าได้ฝึกฝนวิชามหาเวทย์สูบโลหิต ข้าก็ยังคงเป็นศิษย์สำนักวิญญาณโลหิต” กานจู่ซ่านหัวเราะเยาะ “อ๋อ ข้าได้ยินมาว่าหลานชายของเจ้าเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ? เช่นนั้นเจ้าพอจะรู้ใช่ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างเทพกระบี่และสำนักวิญญาณโลหิตของเราเป็นอย่างไร? ในเมื่อเขาเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิด ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะต้องแก้แค้นเขา นอกจากนี้ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่เช่นกัน ข้าหวังว่าท่านผู้อาวุโสเทพกระบี่จะให้คำชี้แนะแก่ข้าได้สักหน่อย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงฟางจุนถึงกับตกตะลึง
ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต้องการขอคำชี้แนะจากเขา?
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้เผชิญกับปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน หากเขาบังเอิญดูดซับเจตจำนงกระบี่ของเทพกระบี่ได้
และในเวลาเดียวกับที่กานจู่ซ่านพูดจบ ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีกระบี่สะพายอยู่บนหลังก็เดินออกมายิ้มให้ตงฟางจุนและพูดว่า “ข้าผู้เยาว์มาจากตระกูลฟางแห่งอาณาเขตสุสานกระบี่ ข้าเป็นผู้ที่ชื่นชมชื่อเสียงของเทพกระบี่มานานแล้ว ฉะนั้นในเมื่อตอนนี้ที่ข้าได้พบกับท่านแล้ว ข้าใคร่ขอรบกวนท่านผู้อาวุโสให้คำชี้แนะเต๋ากระบี่ให้แก่ผู้เยาว์ผู้นี้ด้วย ตอนนี้ผู้เยาว์ได้ฝึกฝนเพลงกระบี่แรกของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่เรียบร้อยแล้วซึ่งมันก็คือ กระบี่สวรรค์พิพากษา โปรดท่านผู้อาวุโสช่วยชี้แนะทำว่าข้าใช้มันได้อย่างถูกต้องหรือไม่?”
ตงฟางจุนอ้าปากหวอ เขาพูดอะไรไม่ออก
เขาเองยังรู้เพียงแค่รูปแบบกระบี่พื้นฐานของเทพกระบี่แค่สามกระบี่เท่านั้นเอง เขาจะไปสามารถให้คำชี้แนะเพลงกระบี่ที่อยู่ในชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่เขาไม่ยังไม่เคยเรียนรู้ได้ยังไง?
แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบกลับ ชายวัยกลางคนสองคนก็เดินเข้ามาเสริมและมองมาที่ตงฟางจุนด้วยน้ำตาคลอและพูดว่า “บรรพบุรุษ! ในที่สุดท่านก็ปรากฏตัวขึ้นสักทีหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี!”
ในตอนนี้ตงฟางจุนยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ หะ? นี่พวกเจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? บรรพบุรุษ?
จากนั้นจู่ ๆ สถานการณ์อันตรายก็บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน!
“ไอ้เวรเทพกระบี่ตายซะ!” จู่ ๆ ก็มีชายสวมหน้ากากตะโกนขึ้นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามาหาตงฟางจุนพร้อมกับกระบี่ในมือ มั่นหมายที่จะสังหารตงฟางจุนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เมื่อตงฟางไป๋เห็นว่าชายสวมหน้ากากที่กำลังโจมตีมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนภาคราม เขาก็ไม่กล้าชักช้ารีบชักกระบี่ของเขาสกัดการโจมตีที่กำลังจะมาถึงตัวหลานชายเขาทันที
ตงฟางจุนในตอนนี้ที่เห็นว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเลยเถิดไปกันใหญ่ เขารีบพูดขึ้นทันที “ช้าก่อน ๆๆๆ พวกท่านทุกคนเข้าใจผิดทั้งหมด ข้าไม่ใช่ เทพกระบี่!”
เขาจะไปกล้ายอมรับกรรมของเทพกระบี่ได้อย่างไร? ขืนเขายังนิ่งเฉยยอมให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเขาเป็นเทพกระบี่อยู่แบบนี้มีหวังเขาคงไม่มีชีวิตรอดอยู่จนพ้นปีนี้แน่นอน
“ผู้อาวุโสต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ ถ้าท่านไม่ใช่เทพกระบี่ ท่านจะได้รับเจตจำนงกระบี่ของเทพกระบี่ได้อย่างไร?” ชายหนุ่มหัวเราะ
“มาเถอะ ผู้อาวุโสชักกระบี่ของท่านออกมา!”
“ท่านบรรพบุรุษไม่ต้องกลัว ตราบใดที่ท่านติดตามเรากลับไปยังอาณาเขตสุสานกระบี่จะไม่มีใครกล้าทำอะไรท่านแน่ ๆ แม้ว่าพวกเราลูกหลานจะมีความสามารถไม่เท่ากับท่าน แต่พวกเราก็แน่ใจว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางกล้ารุกรานพวกเราแน่นอน”
ในตอนนี้ชายสวมหน้ากากที่ถูกตงฟางไป๋ขัดขวางเห็นว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จในการสังหารตงฟางจุน เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถปกป้องมันได้ตลอดทุกเวลา จงระวังเอาไว้ให้ดีข้าจะกลับมาอีกครั้งเพื่อบั่นคอของมันซะ! ส่วนสำนักวิญญาณกระบี่ของเจ้าเองก็เช่นกัน หากดึงดันกล้าที่จะปกป้องเทพกระบี่ สำนักของเจ้าก็ควรระวังจะถูกผู้อื่นทำลายล้าง!”
เมื่อพูดจบชายสวมหน้ากากก็บินจากไป แต่ไม่นานชายสวมหน้ากากคนที่สองก็ปรากฏตัว…
ตงฟางจุน ในตอนนี้รู้สึกกลัวจนแทบจะฉี่ราด เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแม้จะมีใครหลายต่อหลายคนที่ชื่นชมเทพกระบี่ แต่มันก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่จงเกลียดจงชังเทพกระบี่เช่นกัน ซึ่งในตอนนี้เขาก็ได้รู้ซึ้งมันด้วยตาของตนเองแล้วพร้อมกับก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมเขาถึงต้องไปลองดูดซับเจตจำนงกระบี่นั่นด้วย!
แล้วผลที่ออกมาตอนนี้มันกลับทำให้ไอ้คนบ้าทั้งหมดพวกนี้คิดว่าข้าเป็นเทพกระบี่ไปซะงั้น…และสิ่งที่น่าขัดใจที่สุดก็คือแม้เขาจะสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่เหล่านั้นมาได้เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้ทันที เขาจำเป็นต้องปิดด่านเพื่อทำความเข้าใจกับมันซะก่อนเขาถึงจะใช้มันได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่เขาจะสามารถเข้าใจมันได้ถึงขนาดนั้น
ทันใดนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดไปถึงจุดหนึ่ง หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะเมื่อคิดอะไรออกได้บางอย่าง!
ในเมื่อเขาแน่ใจว่าเขาน่าจะไม่ใช่เทพกระบี่ ถ้างั้นการที่เขาสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ได้มันก็น่าจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น?
เขาหันหน้ากลับไปที่หลิงตู้ฉิง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยและขุ่นเคือง “ผู้อาวุโสนี่ท่านกำลังให้ข้ารับกรรมแทนท่านอยู่งั้นเหรอ ท่านทำแบบนี้ท่านไม่ใจร้ายกับข้าไปหน่อยเหรอไง? ท่านตั้งใจให้ข้าดูดซับเจตจำนงกระบี่ของท่านเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน เพื่อให้ท่านรอดตัวใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนอย่างเหนื่อยใจและพูดว่า “ไอ้หนู เจ้าอย่าได้มาดูถูกความกล้าของข้า ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาดเช่นเจ้า หากข้าเป็นเทพกระบี่จริง ข้าไม่มีวันให้เจ้ามาสมอ้างแทนข้าแบบนี้หรอก และเจ้าก็ไม่ได้มีค่าอะไรกับข้ามากขนาดจนถึงที่ข้าจะต้องมานั่งวางแผนขุดหลุมพลางให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้!”
“แต่ แต่…” ตงฟางจุนไม่รู้จะพูดอะไรต่อเมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงตอกกลับมาเช่นนี้
“เอาเป็นว่า…เจ้าก็คิดซะว่ามันเป็นความประสงค์ของสวรรค์ก็แล้วกัน!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
อันที่จริง หลิงตู้ฉิงพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากตงฟางจุนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเทพกระบี่ ไม่ช้าก็เร็วตงฟางจุนก็จะถูกโชคชะตาบังคับให้กลายเป็นของเขา และเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมีอาวุธที่เยี่ยมยอดอยู่ข้างกาย
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตอนนี้เขาบอกได้เลยว่าตงฟางจุนนั้นถูกวางหลุมพลาง
ซึ่งหลุมพรางนี้มันก็ไม่ใช่ใครคนอื่นที่วางไว้นอกจากจะเป็นของสวรรค์!