พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 497 เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านทัณฑ์สวรรค์
บทที่ 497 เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านทัณฑ์สวรรค์![ฟรี]
หลิงตู้ฉิงพอใจมากที่ในที่สุดตงฟางจุนก็ยอมรับการถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่
ผู้สำเร็จร่างกระบี่ที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราโดยมีรากฐานการทะลวงขอบเขตมาจากขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 แถมยังฝึกฝนวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ ถ้าหากให้เวลาเติบโตไปเรื่อย ๆ อีกสักหน่อย ตงฟางจุนจะต้องกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากในอนาคตอันใกล้
ในตอนแรกที่เขามี อี้ลั่วเอ๋อ อยู่แล้ว และตอนนี้เขายังมี หมิงยู่ และ ตงฟางจุน เพิ่มมาอีกคน ในอนาคตทั้งสามจะกลายเป็นขุมกำลังอันแข็งแกร่งให้กับเขาแล้วยิ่งรวมกับความแข็งแกร่งของบรรดาลูก ๆ ของเขาเข้าไปด้วยที่แข็งแกร่งเหนือกว่าทั้งสามคนนี้เสียอีก มันจะยิ่งทำให้กองกำลังในชีวิตนี้ของเขาเหนือกว่ากองกำลังในอดีตของเขาอย่างเทียบไม่ติด
“ผู้อาวุโส ข้าคงต้องขอลาท่านล่วงหน้าไว้เลยก็แล้วกันเพราะหากข้าออกไปดูดซับเจตจำนงกระบี่เสร็จเมื่อไหร่ ข้าคงต้องรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด” ตงฟางจุนพูดกับหลิงตู้ฉิง “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ แล้วยิ่งถ้าข้าดูดซับเจตจำนงกระบี่นั้นได้สำเร็จอีก ผู้คนต่าง ๆ คงแน่ใจเต็มสิบส่วนแน่นอนว่าข้าคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดตัวจริง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่ปู่ของข้าคงไม่สามารถปกป้องข้าได้แน่นอน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าจากไปก็ดีเหมือนกัน มันจะยิ่งทำให้เจ้าเติบโตมากขึ้นไปอีก! แต่ถ้าวันหนึ่งเจ้าหมดหนทางจะไปจริง ๆ เจ้าก็จงไปหาข้าที่อาณาเขตนภา”
“ผู้อาวุโสอยู่ที่อาณาเขตนภางั้นเหรอ?” ตงฟางจุนถามด้วยความประหลาดใจ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “สมาชิกในครอบครัวของข้าทั้งหมดอยู่ที่นั่น มันง่ายมากที่เจ้าจะหาข้าพบถ้าเจ้าไปที่อาณาเขตนภา แต่เจ้าจงจำไว้ว่าเจ้าสามารถมาหาข้าได้แต่เฉพาะตอนที่เจ้าสิ้นหวังจริง ๆ แล้วเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเส้นทางการบ่มเพาะในอนาคตของเจ้าอาจมีปัญหาได้”
ตงฟางจุนตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว “ข้ารู้สึกพลาดจริง ๆ ที่ได้ไปเรียนรู้วิชากระบี่จากท่าน”
หากเขาไม่ได้เรียนรู้วิชากระบี่เหล่านั้น เขาจะไม่มีปัญหาในปัจจุบันและจะไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเทพกระบี่
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ถ้าเจ้าเติบโตเร็วจนมีความแข็งแกร่งมากพอ ใครมันจะกล้าหาเรื่องกับเจ้า? เจ้าคิดว่าที่เทพกระบี่โด่งดังมาได้จนถึงทุกวันนี้ เขาบ่มเพาะเต๋ากระบี่ ของเขาได้ยังไง? เขาบ่มเพาะเต๋ากระบี่ด้วยการผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตายมานับหมื่นปี! ซึ่งอันที่จริงเจ้ามีเงื่อนไขทุกประการที่สามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้อยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่เจ้ายังคงขาดความกล้าหาญไปเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้ามีความกล้าหาญ กล้าที่จะเผชิญกับความยากลำบากเมื่อนั้น เต๋ากระบี่ของเจ้าจะมีโอกาสเติบโต”
“เจ้าได้รับวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่แล้ว แต่เจ้ายังอยู่อีกไกลจากการเข้าใจมัน ตามความเข้าใจของข้า เต๋าของเทพกระบี่ยังอยู่ในสุสานกระบี่ เจ้าสามารถเข้าไปในสุสานกระบี่เพื่อลิ้มรสเต๋าของเทพกระบี่ได้ มันจะช่วยเจ้าเป็นอย่างมากในการทำความเข้าใจวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่”
ตงฟางจุนพูดอย่างกังวล “หา! ให้ข้าไปในสุสานกระบี่งั้นเหรอ ข้าไม่เอาหรอกข้ากลัว! ท่านผู้อาวุโสตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้ายังอยู่เพียงแค่ขอบเขตนภาเท่านั้น ข้าจะไปต่อกรอะไรกับเจตจำนงของท่านเทพกระบี่ได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ก็เพราะตอนนี้ที่เจ้ายังอยู่ที่ขอบเขตนภานั่นแหละเจ้าถึงควรจะรีบไปเผชิญหน้ากับเต๋าของเทพกระบี่ ไม่เช่นนั้นในอนาคตเมื่อระดับการบ่มเพาะของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าจะยิ่งไม่สามารถเผชิญหน้ากับเต๋าของเทพกระบี่ได้”
“เอ่อ…งั้นข้าจะลองดูก็แล้วกันท่านผู้อาวุโส!” ตงฟางจุนยิ้มอย่างขมขื่น
“เอาล่ะ นี่คือทั้งหมดที่ข้าจะชี้แนะเจ้าได้ในตอนนี้ เมื่อเจ้าดูดซับเจตจำนงกระบี่ด้านนอกเสร็จแล้ว เจ้าก็จงรีบออกไปจากที่นี่ซะ เรื่องต่อไปที่จะเกิดขึ้นที่นี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าและพวกของเจ้าอีกต่อไป” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส แล้วเรื่องปู่ของข้า เราจะเอายังไงกับเขาดี ข้าคิดว่าปู่ของข้าคงไม่เต็มใจที่จากไปอย่างแน่นอน เขายังคงคิดที่จะค้นหาสมบัติจากสำนักวิญญาณโลหิตต่อไปจนกว่าจะได้อะไรดี ๆ ติดมือกลับไปนั่นล่ะ!” ตงฟางจุนพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน “ปู่ของเจ้านั้นเป็นแค่คนโง่ที่แม้แต่ข้ายังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติกับสมองของเขา ข้าไม่เข้าใจว่าเขาเดาไม่ได้หรือยังไงว่าถ้าหากเจ้าดูดซับเจตจำนงกระบี่สุดท้ายนั่นได้เมื่อไหร่ มันก็หมายความว่าสำนักวิญญาณโลหิตจะถูกฟื้นฟูขึ้นมาทันที”
“แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างในสำนักวิญญาณโลหิตล้วนมีเจ้าของ ปู่ของเจ้าอยากเอาของของพวกเขาไป พวกเจ้าถามพวกเขาแล้วหรือยังว่ายินยอมรึเปล่า? พวกเจ้านั้นมีแค่เพียงอาวุธระดับจักรพรรดิอันเดียวไว้ปกป้องตัวเอง แต่เท่าที่ข้ารู้ในสถานที่แห่งนี้มีอาวุธระดับจักรพรรดอย่างน้อย 10 ชิ้นที่ยังคงอยู่”
“ดังนั้นพวกเจ้าควรจะพอใจได้แล้วกับผลประโยชน์ในครั้งนี้ที่เจ้าได้รับเจตจำนงกระบี่ ซึ่งนับว่าล้ำค่าไม่แพ้กับสมบัติอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นี่ หากพวกเจ้ายังกล้าที่จะโลภอยากได้สมบัติอย่างอื่นอีก หายนะจะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าทุกคน!”
เมื่อตงฟางจุนนำ ‘กระบี่แห่งการทำลายล้าง’ ออกไปจากห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิต พื้นที่ส่วนใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิตจะถูกฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในอดีต เทพกระบี่ต้องการสั่งสอนพวกเขาเพียงเท่านั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายทั้งสำนักให้สิ้นซาก
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ห้องโถงถูกฟื้นฟู แน่นอนว่าเมื่อนั้นผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตจะต้องกลับมาและเมื่อเวลานั้นมาถึง เมื่อเจ้าของบ้านที่ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญระดับธรรมดากลับมา คนนอกทั้งหลายจะยังมีโอกาสขโมยสมบัติที่มีเจ้าของที่อยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เอาแค่กานจู่ซ่านเพียงคนเดียว ซึ่งเขาไม่ได้เป็นศิษย์หลักซะด้วยซ้ำยังอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นคงไม่ต้องพูดถึงระดับความแข็งแกร่งของคนอื่น ๆ ของสำนักวิญญาณโลหิต
ตงฟางจุนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ พลางคิดในใจว่าเขาคงต้องโน้มน้าวให้ปู่ของเขาออกไปโดยเร็ว
หลังจากหลิงตู้ฉิงเตือนตงฟางจุนเสร็จ เขาก็ถอนค่ายกลกระบี่เหินเมฆาออก
ทางด้านของตงฟางไป๋ เมื่อเขาเห็นว่าตงฟางจุนปลอดภัยดี ตงฟางไป๋จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ในเวลานี้หมู่เมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์ขนาดใหญ่ได้รวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือสำนักวิญญาณโลหิต พร้อมกับที่พลังวิญญาณของเย่หยูหลันยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อระดับการบ่มเพาะของนางขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ สายฟ้าทัณฑ์สวรรค์สีแดงก็ผ่าลงมาหานางทันที
นี่เป็นสัญญาณว่า ทัณฑ์สวรรค์ของเย่หยูหลันได้เริ่มขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสายฟ้าฟาดลงมาผ่านช่องว่างของหลังคาห้องโถงที่แตกหัก กระบี่ที่ลอยอยู่เหนือบัลลังก์ในห้องโถงก็ส่องประกายแผ่อำนาจเจตจำนงกระบี่เข้าต่อต้าน ส่งผลให้สายฟ้าที่ฟาดลงมาอ่อนกำลังลงไปราวครึ่งหนึ่ง
“สามี ป้าหลันจะปลอดภัยไหม?” เย่ชิงเฉิงถามอย่างเป็นห่วง
แม้ว่าความคิดเห็นของนางและเย่หยูหลันจะขัดแย้งกันในบางครั้ง แต่ทั้งหมดนั้นมันก็เพราะทั้งคู่ต้องการทำให้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ดีขึ้นในวิธีทางของตนเอง
แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ส่วนตัว เย่หยูหลันนั้นดีกับนางมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับเย่หยูหลัน
ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยูหลันคือหนึ่งในกำลังหลักของฝั่งแม่ของนาง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับเย่หยูหลัน
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ถ้านางอ่อนแอจนถึงขนาดไม่สามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่ถูกลดทอนพลังลงครึ่งหนึ่งได้ มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บคนอย่างนางไว้ข้างกาย? แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไปจากที่ข้าสังเกตพรสวรรค์ของนางดูคร่าว ๆ นางน่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะผ่านมันไปได้ หากนางมีความตั้งใจเพียงพอ”
แต่เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาก็โบกมือบังคับกระบี่บินให้บินไปตรงหน้าของผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ ผู้หนึ่งที่กำลังจะอาศัยโอกาสนี้ที่ทัณฑ์สวรรค์จะถูกลดทอนอำนาจลงครึ่งหนึ่งเพื่อทะลวงระดับเช่นกัน
ทางด้านของผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้น เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงส่งกระบี่บินพุ่งเข้ามาหา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยกเลิกการทะลวงระดับและเปลี่ยนมาเป็นตั้งรับปกป้องตัวเองจากกระบี่บิน
“นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?” ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นถามขึ้นอย่างเย็นชา
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านทัณฑ์สวรรค์ในตอนนี้”
ที่หลิงตู้ฉิงต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่าเจตจำนงกระบี่ที่ดำรงอยู่นี้ไม่สามารถต้านสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ที่เกิดขึ้นจากผู้คนจำนวนมากได้ มันเป็นเพียงเจตจำนงกระบี่ที่ทิ้งไว้โดยทาสกระบี่ไม่ใช่ตัวตนของทาสกระบี่ที่ยืนอยู่ที่นี่ หากมีผู้คนจำนวนมากตกอยู่ในทัณฑ์สวรรค์พร้อม ๆ กัน การทะลวงระดับของเย่หยูหลันจะต้องถูกรบกวนอย่างแน่นอน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลิงตู้ฉิงไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
“นี่เจ้าทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยงั้นเหรอ?” ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญถามขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเคือง “เจ้าให้คนของเจ้าสามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ให้ข้าทำบ้าง? แล้วที่สำคัญเจตจำนงกระบี่ที่คอยต้านทัณฑ์สวรรค์นั่นก็เป็นของท่านเทพกระบี่ ถ้าเทพกระบี่ไม่พูดอะไรแล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้กล้าใช้ประโยชน์มันแค่เพียงคนเดียว?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและตอบกลับว่า “ถ้าข้าเตือนแล้วเจ้าไม่ฟัง เจ้าก็จะตายจากทัณฑ์สวรรค์ของเจ้า!”
“การกระทำของเจ้ามันช่างโอหังเหลือเกิน!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนักบุญอีกคนพูดแทรกขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าขอเตือนเจ้า ถ้าเจ้ากล้าขัดขวางทัณฑ์สวรรค์ของสหายข้าอีกรอบ เจ้าก็อย่าได้ตำหนิพวกข้าที่ต้องล่วงเกินเจ้า!”
เมื่อพูดจบ ผู้เชี่ยวชาญอีก 2-3 คนก็เดินออกมา และจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิงราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ!