พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 533 สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่ความตายค่อย ๆ กลืนกินตัวเขา มหาจักรพรรดิอุปราคาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงกรรมที่เกาะติดเขาอยู่โดยที่เขาไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อนบวกกับที่เขาเห็นกลิ่นอายของพลังที่ถูกผนึกไว้ในยันต์สั่งสวรรค์ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนจัดฉากเขา ซึ่งเมื่อเขารู้ตัวผู้จัดฉากมันก็ทำให้เขารู้สึกจนใจ
ตัวตนที่จัดฉากเขานั้นยิ่งใหญ่กว่าเขามาก หากเขาตามไปแก้แค้นมันก็อาจจะไม่ได้ผลแถมยังอาจจะทำให้ลูกหลานของเขาต้องเดือดร้อนในอนาคตอีกต่างหาก
และถึงแม้ว่าเขาอยากที่จะระบายความโกรธในใจกับมู่หยุนชานแต่ก็ไม่ได้ เพราะในเวลานี้มู่หยุนชานมียันต์สั่งสวรรค์ที่ผนึกพลังของคนผู้นั้นอยู่ ซึ่งเขารู้ตัวดีว่าต่อให้เขาลงมือโจมตี อย่างมากที่สุดที่เขาทำได้ก็คือทำให้อำนาจที่ถูกผนึกในยันต์สั่งสวรรค์พร่องลงไปบ้าง ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
มหาจักรพรรดิอุปราคาส่ายหัวอย่างจนใจและตัดสินใจไม่ลงมือกับมู่หยุนชาน เขาหันหลังกลับและเพียงชั่วครู่เดียวเขาก็ได้มาปรากฎกายที่เบื้องหน้าสุสานกระบี่
“มู่จางหมิง? เด็กนั่นเป็นลูกของเจ้างั้นเหรอ? มิน่าล่ะของของคนผู้นั้นถึงได้ไปปรากฎอยู่ในมือของเด็กนั่น เฮ้อ ในเมื่อคนผู้นั้นปรากฏกายขึ้น ต่อไปในอนาคตมันคงจะเป็นยุคที่มีแต่ความวุ่นวายไม่รู้จบเกิดขึ้น แต่ก็ช่างเถอะ มันคงไม่เกี่ยวอะไรกับข้าอีกแล้ว ในเวลาที่เหลืออยู่ของข้าตอนนี้ ข้าขอใช้มันเพื่อประลองกับเจ้าอีกสักครั้งก็แล้วกัน!” มหาจักรพรรดิอุปราคามองไปยังสุสานกระบี่และเอ่ยขึ้นกับตัวเอง
เมื่อพูดจบ มหาจักรพรรดิอุปราคาก็พุ่งตัวเข้าไปในสุสานกระบี่ทันที
ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว สุสานกระบี่ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงพร้อมกับที่เจตจำนงกระบี่ที่อยู่ด้านในก็พวยพุ่งออกมาจากสุสานกระบี่และพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ส่งผลให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบ ๆ ต่างอยู่ในอาการตกตะลึง
ด้วยภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มันจึงมีผู้คนจำนวนมากรีบบินมาที่สุสานกระบี่
มู่หยุนชานที่เห็นภาพนี้เช่นกัน เขาก็รีบบินตรงมายังสุสานกระบี่ทันที
แต่ในเวลาเดียวกับที่มู่หยุนชานมาถึงสุสานกระบี่ ร่างของมหาจักรพรรดิอุปราคาก็ถูกส่งลอยออกมาจากสุสานกระบี่
เมื่อมหาจักรพรรดิอุปราคาเห็นมู่หยุนชาน เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้ารู้สึกผิดหวังจริง ๆ ที่ในตอนนี้ข้าสามารถรับมือกับกระบี่ของพ่อเจ้าได้เพียงเจ็ดกระบี่เท่านั้น หากเป็นในตอนที่ข้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ข้าคิดว่าอย่างน้อย ๆ ข้าก็คงสามารถฝ่าไปเห็นกระบี่ที่เก้าของพ่อเจ้าได้แน่นอน!”
มู่หยุนชานรับฟังโดยไม่ได้ตอบอะไร เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าตอนนี้มหาจักรพรรดิอุปราคาได้ตายไปแล้ว
บรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองไปยังมู่หยุนชานเป็นสายตาเดียวกันด้วยสีหน้าตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาต่างได้ยินสิ่งที่มหาจักรพรรดิอุปราคาเอ่ยขึ้นเต็มสองรูหู
คนผู้นี้คือลูกชายของเทพกระบี่งั้นเหรอ? ว่าแต่ซากศพที่ไม่สมประกอบนั่นใครกัน? ทำไมเขาถึงสามารถฝ่าไปได้ถึงกระบี่ที่เจ็ดได้?
ทางด้านของมู่หยุนชานก็ยังคงเงียบไม่เอ่ยอะไร
เขามองไปยังศพของมหาจักรพรรดิอุปราคา และจากนั้นเขาก็ขุดหลุมที่ด้านล่างของหน้าผาและผนึกศพของมหาจักรพรรดิอุปราคาไว้ในหลุม พร้อมกับนำหินขนาดใหญ่มาปิดทับและสลักอักษรไว้ว่า ‘หลุมศพของมหาจักรพรรดิอุปราคา มู่หยุนชาน ขอคารวะ!’
จากนั้นเขาก็จากไป
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ที่เกิดขึ้นในตระกูลกู๋
อันที่จริงเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับชะตากรรมของตระกูลกู๋นัก เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าตระกูลกู๋จะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน หลังจากที่พวกเขาปล่อยข่าวเรื่องตำหนักศักดิ์สิทธิ์ออกไป
“สามี ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์แล้ว ซึ่งพวกเราสามารถใช้ประตูเคลื่อนย้ายของที่นั่นในการไปถึงอาณาเขตอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้” เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางมองไปที่หลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ไม่ต้องกังวล เมื่อไหร่ที่เราไปถึงสำนักของเจ้าและเมื่อข้าได้เห็นหมอกนั่นกับตาตัวเอง ข้าคิดว่าข้าคงแก้ปัญหามันให้สำนักของเจ้าได้”
ในโลกนี้มีปัญหาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เขาไม่สามารถแก้ได้
สำหรับปัญหาใหญ่ในตอนนี้ของเขามีเพียงอย่างเดียวคือระดับการบ่มเพาะ
หากเขามีระดับการบ่มเพาะที่เพียงพอไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรเขาก็แก้ได้หมด
“อื้ม!” เย่ชิงเฉิงพยักหน้ารับ
“นายท่าน พวกเราได้มาถึงเหวมรณะแล้ว!” หลงเฉินเอ่ยขึ้น
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็ใช้วิธีเดิมในการผ่านเหวมรณะอีกครั้ง ซึ่งก็คือการเปิดใช้ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาในการผ่านมันไป และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักพวกเขาก็ได้เข้าสู่อาณาเขตวารีทมิฬ
หลังจากที่เข้ามาในอาณาเขตวารีทมิฬ พวกเขาทุกคนก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบ ๆ มันค่อนข้างเปียกชื้นมากกว่าทุกอาณาเขตที่พวกเขาผ่านมา
“สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาเขตวารีทมิฬ จงบินไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นไม่นานพวกเราก็จะได้เห็นสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์” เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นแนะนำ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงเฉินก็บินมุ่งหน้าต่อไปยังทิศทางที่เย่ชิงเฉิงบอกทันที
หลังจากนั้นเมื่อบินไปได้ถึงระยะประมาณ 1 หมื่นกิโลเมตร ทุกคนก็ได้เห็นภาพของทะเลสาบขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตรงหน้าพวกเขา เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นทันที “ทะเลสาบนี้เรียกว่า ทะเลสาบคลื่นสีคราม เกาะที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบแห่งนี้คือที่ตั้งของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหากเป็นคนธรรมดาไม่มีทางที่จะสามารถไปถึงได้แน่นอน หลงเฉิน เมื่อถึงริมฝั่งทะเลสาบแล้วจงลงจอดอย่าได้บินข้ามไป ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะถูกโจมตีโดยค่ายกลป้องกันของสำนักพวกเขา”
สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกันเป็นอย่างมากหาก นางล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์โดยไม่บอกล่วงหน้าก่อน มันอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของสำนักแย่ลง
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฉิง เมื่อบินมาถึงริมทะเลสาบ หลงเฉินก็ร่อนลงจอดทันที
เย่ชิงเฉิงเดินลงจากรถม้าและตะโกนขึ้นไปยังทิศทางของทะเลสาบ “สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เย่ชิงเฉิง ขอผ่านเข้าไปยังสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์!”
หลังจากตะโกนไปสักพัก สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีการตอบกลับมาแม้แต่น้อย
เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “สามี ข้าคิดว่าเราอาจจะต้องรอสักหน่อย ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีใครอยู่ในสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ไม่งั้นมันก็ต้องมีคนออกมารับพวกเราแล้ว”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครอยู่ในสำนักหรอก มันเป็นเพียงแค่พวกเขาไม่อยากจะคุยกับเจ้ามากกว่าต่างหาก”
เย่ชิงเฉิงรู้สึกประหลาดใจ “สามี ท่านหมายความว่ายังไง?”
หลิงตู้ฉิงไม่เอ่ยตอบอะไร แต่เขาเรียกค่ายกลกระบี่เหินเมฆาออกมาและบังคับกระบี่บินให้พุ่งเข้าโจมตีไปที่ผิวน้ำของทะเลสาบ
แต่ก่อนที่กระบี่บินเล่มนั้นจะพุ่งไปถึงผิวน้ำ จู่ ๆ ก็มีพลังสายหนึ่งปะทุขึ้นจากใต้ผิวน้ำเข้าสกัดกระบี่บินเอาไ ว้ซึ่งพลังที่ปะทุขึ้นนั้นเป็นพลังระดับนักบุญ
จากนั้นในเวลาเดียวกับที่กระบี่บินถูกหยุด ร่างของชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากผิวน้ำบริเวณที่กระบี่บินพุ่งไป ซึ่งเขาตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “บังอาจนัก! ใครกันที่กล้าล่วงเกินพื้นที่ของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้!”
หลิงตู้ฉิงชี้ไปยังชายผู้นั้น และพูดกับเย่ชิงเฉิง ว่า “เห็นไหม มีคนอยู่จริง ๆ”
เย่ชิงเฉิงมองไปยังผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ และเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “ผู้อาวุโส นี่ท่านไม่ได้ยินที่ข้าตะโกนเมื่อครู่งั้นเหรอ?”
ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่าสถานการณ์ที่นางกำลังเผชิญมันค่อนข้างแปลก ๆ
ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นกรอกตามองบนและตอบกลับว่า “ข้าไม่สนใจ! พวกเจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าพวกเจ้าเป็นใครกัน? ทำไมถึงบังอาจโจมตีสำนักของข้า? จงขอขมาให้กับสำนักของข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่าพวกเจ้าจงใจท้าทายสำนักของข้า!”
สีหน้าของเย่ชิงเฉิงเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดหม่นเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ “ข้าคือคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์!”
ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญแสดงสีหน้าเย้ยหยัน และไม่สนใจในคำตอบของนาง เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นใครกันถึงกล้าแอบอ้างตัวเองเป็นคุณหนูเย่? ช่างบังอาจยิ่งนัก! หากเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคุณหนูเย่จริง เจ้ามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ตัวตน?”
เย่ชิงเฉิงเก็บอารมณ์ความโกรธอย่างสุดฤทธิ์ และเอ่ยตอบว่า “ท่านต้องการให้ข้าพิสูจน์แบบไหนกัน?”