พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 555 เหล่าบรรพบุรุษลงมือ
บทที่ 555 เหล่าบรรพบุรุษลงมือ
เมื่อเย่เจียงไห่ได้รับโอสถไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจคิดถึงสิ่งที่หลิงตู้ฉิงบอกกับเขาให้ต้องหามาจ่ายเพิ่มอีก
แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังคงอยู่ในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาและกำลังจัดการกับเหล่าสิ่งของที่ได้รับมาจากเย่เจียงไห่และเย่ฉิงเฟิง จากนั้นเขาก็เริ่มทำการหยิบเหล่าสมุนไพรและเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่เขายังพอมีอยู่กับตัวเองเข้าผสมกันจนมันออกมาเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาดและรุนแรง
สำหรับมนุษย์ เครื่องปรุงเหล่านี้ที่หลิงตู้ฉิงผสมขึ้นมามันไม่ได้น่าเย้ายวนใจแม้แต่น้อย แต่หลิงตู้ฉิงกลับผสมมันขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน
ผ่านไปไม่นาน เย่เฟิงหลิวก็กลับมาพร้อมกับหินจันทราศักดิ์สิทธิ์และหินแก่นแท้ปฐพี แต่เมื่อหลิงตู้ฉิงได้รับพวกมันมา เขาก็ไม่ได้ทำอะไรกับพวกมันทั้งนั้น
หลิงตู้ฉิงยังคงง่วนอยู่กับการผสมเครื่องปรุงและหลอมโอสถบางอย่างอยู่เหมือนเดิม
ผ่านไปอีกหนึ่งปีกว่า ในที่สุดโม่เอ๋อก็กลับมาพร้อมกับเนื้อของสัตว์วิเศษและเนื้อของอสูรปีศาจระดับสูงมากมาย
“นายท่าน สำหรับเนื่องของสัตว์วิเศษข้าได้เนื้อระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มา ส่วนเนื้อของพวกอสูรปีศาจข้าหาได้เพียงแค่เนื้อระดับเหนือล้ำเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันพอจะให้ท่านใช้ได้ไหม?” โม่เอ๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
ทางด้านความคืบหน้าของเฉินจี้ซีที่อยู่ในเขตแดนหมอกด้านหลังสำนัก ขณะนี้เวลาผ่านไป 8 ปีแล้ว ซึ่งเขาสามารถฝ่าเข้าไปยังพื้นที่ส่วนในจนเหลืออีกเพียงแค่ 4 กิโลเมตรก็จะถึงจุดศูนย์กลางของเขตแดนหมอกได้แล้ว ความคืบหน้าระดับนี้มันทำให้ทั้งเฉินจี้ซีและผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก
แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่ติดใจพวกเขาอยู่เช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมาตั้งแต่พวกเขาได้เข้ามาในเขตพื้นที่ส่วนใน พวกเขาก็ยังไม่เจอกับบรรดาผู้คนที่หายเข้าไปในพื้นที่ส่วนนี้แม้แต่คนเดียว
พวกเขาต่างสงสัยกันว่าบรรดาผู้คนที่หายไปจะไปอยู่รวมตัวกันที่จุดศูนย์กลางของเขตแดนหมอกหรือเปล่า?
“ท่านเฉิน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” หานเว่ยฮุยถามขึ้น
เฉินจี้ซีหัวเราะ “ไม่ต้องเป็นห่วง จากการคำนวณของข้ามันอีกไม่เกิน 4 กิโลเมตรแน่นอน พวกเราก็จะได้พบกับความจริงแล้วว่าเขตแดนหมอกนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งข้าคิดว่าในเวลานั้นพวกเราก็คงจะได้เจอบรรดาผู้คนที่หายเข้ามาในนี้เช่นกัน”
ในตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิคอยเดินตามหลังเฉินจี้ซีอยู่ถึง 8 คน พวกเขาทุกคนต่างอยู่ที่นี่เพื่อคอยทำตามคำสั่งของเฉินจี้ซี ในการช่วยเปิดเขตแดนหมอก
เฉินจี้ซีพูดต่อ “แต่ 4 กิโลเมตรที่เหลือนั้นสำคัญมาก ข้าคงต้องขอแรงพวกท่านมากกว่าเดิมในการช่วยกันเปิดทางหมอกเหล่านี้ออกไป”
เย่ฉิงเสี่ยวยิ้มและพูดว่า “ท่านเฉิน ไม่ต้องเกรงใจในเมื่อเมื่อพวกเรามากันไกลถึงขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าพวกเราจะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่แน่นอน หรือแม้กระทั่งหากความแข็งแกร่งของพวกเราไม่เพียงพอ พวกเราก็ยังสามารถขอให้เหล่าบรรพบุรุษออกมาช่วยเหลือท่านได้”
หยูยงเห่าพยักหน้าและพูดขึ้นเช่นกัน “เมื่อถึงเวลา พวกเราจะกลับไปบอกให้บรรพบุรุษของพวกเราทั้งสามตระกูลออกมาช่วยกันเปิดพื้นที่บริเวณจุดศูนย์กลาง เพื่อที่งานของท่านจะได้ง่ายขึ้นและพวกเราจะได้รู้กันสักทีว่าจริง ๆ แล้วหมอกนี้มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
หานเว่นฮุยหัวเราะ “ข้าเห็นด้วยกับความคิดของพี่หยู เมื่อถึงเวลาพวกเราจะแยกกันไปขอให้บรรพบุรุษของพวกเราแต่ละตระกูลออกมาช่วยกันอีกแรง!”
ในท้ายที่สุดถึงแม้ว่าในเวลาปกติพวกเขาจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงเวลาทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของสำนักพวกเขาเองก็เต็มใจร่วมมือกันโดยไม่ใส่ใจว่าพวกเขาจะเคยแก่งแย่งกันถึงขนาดไหนก่อนหน้านี้
เฉินจี้ซีพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เมื่อถึงเวลาข้าก็ขอรบกวนพวกท่านให้ไปแจ้งเหล่าบรรพบุรุษพวกท่านด้วยก็แล้วกัน!”
ในระหว่างที่เฉินจี้ซีและบรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ยังคงง่วนอยู่กับการเปิดทางในเขตแดนหมอก สถานการณ์ทางด้านเรือนของเย่ชิงเฉิงก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ให้คนภายนอกได้สังเกต
โม่เอ๋อ และคนอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงที่ย่างเนื้ออยู่ทุกวี่วัน ซึ่งในระหว่างที่มองดูสีหน้าของพวกเขาก็แสดงออกถึงความขัดแย้งในใจอยู่มาก เนื่องจากในเวลานี้พวกเขาเห็นได้ชัดว่าหลิงตู้ฉิงกำลังย่างเนื้ออยู่
เนื้อที่เขาย่างนั้นดูจากหน้าตามันค่อนข้างที่จะดูดี แต่กลิ่นของมันที่โชยออกมานั้นมันฉุนอย่างรุนแรงและแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก และที่สำคัญกลิ่นอายที่ออกมาจากเนื้อย่างนี้มันไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอาหารเลย เนื่องจากมันมีกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นจนมันเหมือนกับว่ามันเป็นอาวุธซะมากกว่า
แต่ไม่ว่าเนื้อย่างนี้มันจะออกไปมาเป็นรูปแบบไหน หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจอะไรนัก เขายังคงใช้วิธีการเดียวกับที่เขาสร้างสมบัติวิเศษในการย่างเนื้อเหล่านี้ขึ้นมา
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้อีกหลายวัน จู่ ๆ พลังวิญญาณที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เรือนก็เริ่มผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งต้นเหตุมันมาจากภายในห้องของเย่ชิงเฉิง ซึ่งนางกำลังนั่งบ่มเพาะอยู่ด้านใน
โม่เอ๋อเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายินดี “ดูเหมือนว่านายหญิงกำลังจะทะลวงไปยังขอบเขตสวรรค์ได้แล้ว!”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ห้องของเย่ชิงเฉิงด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “อืม! นางทำได้จริง ๆ นั่นแหละ ต่อไปนี้ความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่นางยังคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการปรับรากฐานของตัวให้มั่นคง”
เนื่องจากเย่ชิงเฉิงนั้นได้บ่มเพาะวิชามหาจันทราศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อรวมกับสมบัติแห่งชะตาชีวิต คันฉ่องสวรรค์หยินหยาง ที่เกื้อหนุนอยู่ในร่างกายนาง เมื่อนางทะลวงขอบเขตขึ้นไปสู่ขอบเขตสวรรค์ได้แล้ว ความแข็งแกร่งของนางจะเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกันอยู่หลายเท่า
หลังจากนั้นต่อมาอีกไม่กี่เดือน บรรดาครอบครัวของเย่ชิงเฉิงก็ค่อย ๆ ทยอยทะลวงระดับการบ่มเพาะกันได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง เย่ฉิงเฟิง เย่เฟิงหลิว เย่เจียนไห่ พวกเขาทุกคนต่างทะลวงการบ่มเพาะได้กันหมด เนื่องจากโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่หลิงตู้ฉิงมอบให้พวกเขา
“พี่น้องครอบครัวนี้มันยังไงกัน? ทำไมพวกเขาทุกคนถึงได้ทะลวงระดับการบ่มเพาะได้ในเวลาใกล้เคียงกันหมดเลย?” ผู้คนในสำนักจำนวนมากต่างคิดแบบเดียวเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้
เนื่องจากมันเป็นการทะลวงระดับการบ่มเพาะที่ไล่เลี่ยกันเกินไป มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนและทำให้ทุกคนสงสัย
แต่แล้วความประหลาดใจของบรรดาผู้คนในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็บังเกิดขึ้นใหม่อีกระลอก เนื่องจากโดยไม่มีใครได้คาดคิดว่ามู่หลงหยาน จู่ ๆ ก็ทะลวงขอบเขตไปถึงขอบเขตจักรพรรดิได้ซะอย่างนั้น ซึ่งมันทำให้ทุกคนในสำนักต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
บรรดาตระกูลเล็ก ๆ ที่อยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์บางตระกูลก็ต่างกันพาอิจฉากับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น แต่สามตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหยู ตระกูหาน และตระกูลเย่ นั้นพวกเขาต่างรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
เนื่องจากการมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็หมายความว่ารากฐานของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็มั่นคงเพิ่มขึ้นมาอีกระดับ
แต่เหตุการณ์อันน่ายินดีที่มู่หลงหยานทะลวงขอบเขตได้นั้นก็คงอยู่เพียงแค่ครู่เดียว และจากนั้นมันก็ถูกบดบังจนหายไปจากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่ามาก
ด้วยความพยายามอย่างหนักของเฉินจี้ซี ในที่สุดความคืบหน้าภายในเขตแดนหมอกก็ได้มาถึงจุดสำคัญ ในตอนนี้พวกเขาได้มาถึงบริเวณจุดแบ่งเข้าไปยังเขตศูนย์กลางของเขตแดนหมอก ซึ่งในจุดนี้มันมีกำแพงพลังวิญญาณขวางกั้นอยู่มันส่งผลให้พวกเขาไม่อาจฝ่าไปข้างหน้าต่อได้อีก
เมื่อเจอกับอุปสรรคเช่นนี้ ทั้งสามตระกูลใหญ่ ตระกูลเย่ ตระกูลหาน ตระกูลหยู ต่างก็พากันไปตามบรรพบุรุษของตระกูลตนเองกันมาตระกูลละหนึ่งคน ซึ่งบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลที่ส่งออกมานั้นแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตมหาจักรพรรดิทั้งหมด
บรรพบุรุษทั้งสามเมื่อถูกส่งตัวออกมา พวกเขาก็มุ่งไปที่เขตแดนหมอกทันที และใช้เส้นทางที่เฉินจี้ซีได้เปิดเอาไว้ก่อนหน้า เพื่อเข้าไปถึงจุดที่มีกำแพงวิญญาณขวางกั้นจนไม่อาจไปต่อได้
“คารวะเหล่าผู้อาวุโส” เฉินจี้ซีรีบโค้งคำนับทันที
เขาไม่กล้าที่จะทำตัวตามสบายกับเหล่าตัวตนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เนื่องจากตัวตนเหล่านี้คือผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดมาเป็นเวลานานและถือตัวเป็นอย่างมาก หากเขาบังเอิญทำอะไรที่ดูไม่เข้าท่าเมื่อไหร่มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย ๆ
ทางด้านของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันคารวะบรรพบุรุษจากทั้งสามตระกูลอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน
ส่วนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิทั้งสามต่างก็มองไปที่กำแพงวิญญาณที่ขวางกั้นอยู่ด้านหน้าของพวกตน และพูดกับเฉินจี้ซีว่า “พวกเราขอบคุณตำหนักความลับสวรรค์มากที่ช่วยเหลือพวกเราจนมาไกลได้ขนาดนี้ เอาล่ะ หากเจ้าต้องการให้พวกเราทำอะไรก็บอกมาเถอะ”
เฉินจี้ซีรีบตอบกลับทันที “ข้าผู้น้อยไม่บังอาจรับคำขอบคุณจากผู้อาวุโสทั้งสาม! แต่ว่าในตอนนี้พวกเราได้ฝ่ามาจนถึงอุปสรรคสุดท้ายแล้ว ซึ่งพวกเราไม่สามารถทำลายกำแพงที่ขวางกั้นนี้ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผู้น้อยจึงขอรบกวนผู้อาวุโสให้ใช้พลังทั้งหมดของพวกท่านช่วยทำลายมันให้ที”
เมื่อฟังจบ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิไม่ตอบกลับอะไร พวกเขาทั้งสามคนต่างโคจรพลังของตัวเองจนถึงจุดสูงสุดและจากนั้นก็ปล่อยคลื่นพลังเจตจำนงของตนเอง เข้าไปปะทะยังกำแพงวิญญาณตามจุดที่เฉินจี้ซีชี้ให้พวกเขาโจมตีใส่
หลังจากนั้น กำแพงพลังวิญญาณที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวันพังและคงอยู่ไปได้อีกตราบนานแสนนานก็ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อ ยและหมอกที่อยู่ด้านหลังกำแพงก็เหมือนกับว่ามันจะถูกผลักออกไปอย่างช้า ๆ ซึ่งทุกคนต่างก็ลุ้นว่าหากหมอกด้านในถูกผลักออกไปเรื่อย ๆ พวกเขาจะได้เห็นความลับอยู่ด้านในว่ามันมีอะไรบ้าง
แต่แล้วในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิทั้งสามลงมือปล่อยพลังอยู่ได้เพียงครู่เดียว ทุก ๆ ที่ในบริเวณรอบ ๆ ต่างก็ได้ยินประโยคหนึ่งที่ลอยเข้ามาในหัวพวกเขา
“พวกมดปลวก!”