พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ!
บทที่ 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ!
เสียงที่ดังก้องขึ้นนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณเขตแดนหมอกต่างได้ยินมันอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นหมอกสีเทาที่อยู่รอบ ๆ ก็ม้วนตัวกลับเข้ามาปกคลุมเส้นทางที่เฉินจี้ซีเคยเปิดออก และกลืนกินเฉินจี้ซีกับเล้งเจี้ยนชิวที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น และบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายทั้งสาม ส่วนคนอื่น ๆ นั้นกลับถูกผลักออกจากเขตแดนหมอกไปจนหมด จนท้ายที่สุดเขตแดนหมอกก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่ด้านนอกของเขตแดนหมอก บรรดาผู้คนที่ถูกผลักออกมาต่างก็จ้องไปที่เขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างอยู่สักพัก ก่อนที่กรีดร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น!
คนของสำนักพวกเขาถูกดูดเข้าไปในหมอกอีกแล้ว!
รอบนี้ความสูญเสียของพวกเขานั้นหนักหนากว่ารอบที่แล้วอีกต่างหาก เนื่องจากรอบนี้บรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายของพวกเขาถึงสามคนถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน แถมยังจะมีเฉินจี้ซีที่เป็นแขกพวกเขาถูกดูดเข้าไป รวมไปถึงเล้งเจี้ยนชิว ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักก็ถูกดูดเข้าไปเช่นกัน!
“ไอ้หมอกบ้านี่มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมมันถึงมีการตอบสนองเอาตอนที่พวกเรากำลังจะฝ่าเข้าไปในพื้นที่ศูนย์กลางของมัน?” หานเว่ยฮุยเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดขึ้นราวกับว่าเขากำลังถามสวรรค์
ส่วนทางด้านเล้งหวง เขาจ้องไปยังเขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างโดยไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้
เขาคือผู้ที่เชิญเฉินจี้ซีมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วตอนนี้เฉินจี้ซีกลับทำให้สำนักของเขาต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง แล้วแบบนี้เขาจะเอาอะไรไปอธิบายกับคนในสำนัก?
คนอื่น ๆ ของสำนักที่ไม่ได้เข้าไปในเขตแดนหมอกตั้งแต่ตอนแรก เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็กระเด็นลอยออกมาจากเขตแดนหมอกและแสดงสีหน้าตกตะลึง พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น? เปิดหมอกตรงพื้นที่จุดศูนย์กลางได้รึยัง? ว่าแต่เฉินจี้ซีไปไหนแล้ว?”
แม้จะได้ยินคำถามมากมายที่ประดังประเดเข้ามา กลุ่มของหานเว่ยฮุยก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่เหม่อมองไปที่เขตแดนหมอก
ในขณะนี้ ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน หานหลิงอู่ก็ได้มาถึงที่ด้านหน้าเขตแดนหมอกแล้วเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของหานเว่ยฮุย เขาก็พอจะเดาอะไรออกได้บางอย่าง เขาจึงรีบถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไป?”
ในตอนนี้ในใจของเขานั้นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่มันจะเป็นความจริง ซึ่งนั่นก็คือบรรดาบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลถูกหมอกดูดเข้าไป!
หลังจากอยู่ในอาการตกตะลึงค้างอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหานเว่ยฮุยก็ชี้ไปทางเขตแดนหมอกและเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาทั้งหมดติดอยู่ข้างใน! ที่สำคัญไอ้เขตแดนนี้มันมีชีวิต! เมื่อกี้ข้าได้ยินอย่างชัดเจนว่ามันพูดกับพวกเรา และจากนั้นมันก็ดูดเหล่าบรรพบุรุษเข้าไปและส่งพวกเรากระเด็นลอยออกมา”
เมื่อได้ยินคำพูดของหานเว่ยฮุย สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที
ในเวลาที่ผ่านมาพวกเขาคิดมาโดยตลอดว่าเขตแดนหมอกนี้มันเกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา พวกเขาจึงมีความมั่นใจว่าจะแก้ไขมันได้หากใช้วิธีที่ถูกต้อง
แต่แล้วตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามันมีชีวิตและจิตสำนึกของตัวเอง?
แล้วถ้าหากมันมีจิตสำนึกของตัวเองแบบนี้ แล้วพวกเขาไปก่อกวนมันมาก ๆ จนมันโมโห มันไม่พาลมาพังสำนักของพวกเขางั้นเหรอ?
“เร็วเข้า รีบไปตามทุกคนให้มารวมกันที่ห้องโถงใหญ่ให้เร็วที่สุด พวกเราต้องปรึกษากันทันทีว่าจะเอายังไงกับมัน!” หานหลิงอู่ตะโกนสั่งขึ้น
ในตอนนี้ระดับความอันตรายของเขตแดนหมอกในสายตาของพวกเขาถูกยกขึ้นมาอีกระดับจนพวกเขาไม่สามารถใจเย็นได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา พวกเขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งหากหมอกนี้เคลื่อนตัวมาปกคลุมสำนักของพวกเขาทั้งสำนัก วันนั้นมันคงเป็นวันอวสานของพวกเขาโดยที่พวกเขาคงไม่อาจจะต้านทานอะไรได้ พวกเขาจำเป็นต้องรีบปรึกษาหาทางออกทันที
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสำนักที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าขอบเขตราชันต่างถูกเรียกให้มาที่ห้องโถงใหญ่ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าบรรพบุรุษที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเป็นเวลานานก็ถูกเชิญออกมาเช่นกัน
แม้แต่มู่หลงหยานที่เพิ่งทะลวงขอบเขตเสร็จ และยังไม่ทันได้ปรับระดับการบ่มเพาะของตนเองให้มั่นคงก็ยังถูกเรียกตัวมาด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มู่หลงหยานก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เนื่องจากความเสียหายในรอบนี้มันหนักหนาเป็นอย่างมาก บรรพบุรุษที่เป็นดั่งรากฐานสำคัญของสำนักถึงสามคนกลับถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน นี่มันถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“พวกท่านคิดว่าอย่างไร?” หานเว่ยฮุยถามขึ้นกลางห้องโถง
“ตามความคิดของข้า ข้าคิดว่าหากฝั่งตรงข้ามนั้นมีจิตสำนึก มันก็แปลว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตและเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตเราก็สามารถต่อรองกับเขาได้ เราต้องลองเข้าไปคุยกับเขาดูว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ และให้ในสิ่งที่เขาต้องการเพื่อให้เขาจากไปหรือไม่อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาปล่อยคนของเราออกมา” หยูหงเว่ยกล่าวขึ้น
หยูหงเว่ย คือ ผู้นำตระกูลหยูคนปัจจุบัน ดังนั้นคำพูดของเขาก็เปรียบได้กับคำพูดของคนทั้งตระกูลหยู และอีกอย่างตำแหน่งของเขาในสำนักก็เป็นถึงผู้อาวุโส
หานหลิงอู่หยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปหามู่หลงหยาน และถามขึ้น “ภรรยาท่านเจ้าสำนัก ท่านล่ะมีความว่ายังไง? อ๋อจริงสิ ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยที่สามารถทะลวงขอบเขตจักรพรรดิได้สำเร็จในระหว่างที่สำนักของเรากำลังยืนอยู่บนเส้นด้าย มันมีความหมายหมายกับสำนักของเรามากในช่วงเวลาแบบนี้”
“พี่หาน ชมข้าเกินไปแล้ว” มู่หลงหยานตอบกลับ “แต่อันที่จริงข้ามีคำถามอยากจะถามพวกท่านเช่นกัน”
หานหลิงอู่และหยูหงเว่ย ทั้งคู่รีบตอบรับทันที “เชิญถามมาได้เลย!”
มู่หลงหยานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เขตแดนหมอกนี้ปรากฏขึ้นมาก็หลายพันปีแล้ว ที่ผ่านมามันเคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม?”
“มันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากเท่าไหร่” หานหลิงอู่ตอบกลับพร้อมกับแสดงรอยยิ้มอันขมขื่น “แต่เราก็บอกไม่ได้ว่ามันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถ้าจะถามว่าในตอนนี้เราควรปล่อยมันไว้อย่างนั้นเฉย ๆ จะดีไหม? ในตอนนี้เมื่อเราพิสูจน์ได้แล้วว่ามันคือสิ่งมีชีวิต เรายิ่งไม่สามารถปล่อยมันไว้เฉย ๆ แบบนั้นได้อีกแล้ว”
หยูหงเว่ยกล่าวเสริมขึ้นต่อ “และอีกอย่าง กลิ่นอายของมันก็กำลังข่มมหาวิถีเต๋าของเราอยู่ ซึ่งมันทำให้เราไม่สามารถพัฒนาสำนักไปได้มากกว่านี้ พวกเราไม่สามารถปล่อยมันไว้เฉย ๆ แบบนี้ได้อีกแล้ว!”
มู่หลงหยานพยักหน้า “แน่นอนว่าพวกเราต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง! แต่นี่มันก็กี่พันปีมาแล้วล่ะที่พวกเรายังคงไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย! ในทางกลับกัน ยิ่งเราไปยุ่งกับมัน เราก็ยิ่งมีความสูญเสียมากขึ้น และผลสุดท้ายสิ่งที่เราเสียไปกลับไม่มีอะไรได้คืนมาเลย”
“ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเราจึงออกตามหาผู้ถูกชะตากำหนด ผู้ที่สามารถทำให้หมอกนี้หายไปได้ ผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาให้เราได้ และจากความพยายามอย่างหนักของพวกเราในที่สุดเราก็เจอกับเขาผู้นั้น และเพื่อที่จะเอาชนะใจผู้ถูกชะตากำหนดให้มาที่สำนักของเรา ข้าถึงขนาดยอมยกลูกสาวของตัวเองไปให้กับเขา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก พวกเขานั้นได้เจอผู้ถูกชะตากำหนดจริง แถมยังเชิญคนผู้นั้นมาที่สำนักได้แล้วด้วย แต่พวกเขากลับไม่สนใจผู้ถูกชะตากำหนดเลยแม้แต่น้อย…
เย่ฉิงเสี่ยวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรา หรือแม้กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิยังไม่สามารถทำอะไรกับเขตแดนหมอกนั่นได้ แล้วไอ้หนุ่มนั่นที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณจะทำอะไรกับมันได้ยังไง?”
มู่หลงหยานตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากท่านอยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกับเขา ท่านสามารถดึงยันต์สั่งสวรรค์อันนั้นออกมาได้ไหม?”
เย่ฉิงเสี่ยวก้มหน้าลงหยุดพูดทันที เนื่องจากเขารู้ว่าตัวเองไม่มีวันทำได้
ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่หานหลิงอู่จะพูดขึ้นเป็นคนแรก “ข้าเข้าใจในความหมายของท่าน! ดังนั้นในเมื่อเขาเป็นลูกเขยของท่าน ท่านภรรยาเจ้าสำนักช่วยไปพูดกับเขาหน่อยได้ไหม ให้เขาช่วยพวกเราจัดการกับเขตแดนหมอกนี้ที”
ในตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมีวิธีการไหนที่พอเป็นไปได้บ้าง พวกเขาก็ต้องการที่จะลองเสี่ยง
มู่หลงหยานเบะปากและเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปพูดให้เขามาช่วยพวกเราได้ยังไง?”
“ก็ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกเขยของท่านไม่ใช่เหรอ?” หยูหงเว่ยตอบกลับ “มันจะง่ายกว่ามากถ้าท่านไปพูดกับเขาให้พวกเรา แล้วยิ่งถ้าหากเขาสามารถทำได้สำเร็จ ผลประโยชน์มันก็จะตกมาสู่ท่านด้วย”
“ลูกเขย?” มู่หลงหยานแสดงสีหน้าเย้ยหยัน “แต่ก่อนหน้านี้ พวกท่านยังบอกอยู่เลยว่าเขาไม่ใช่ลูกเขยของข้าแถมยังบีบบังคับให้ลูกสาวของข้าต้องแต่งงานใหม่อีก แล้วแบบนี้จะให้ข้าไปอธิบายกับเขาว่ายังไง?”
บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องโถงในวันนั้น ต่างแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
แต่แล้วหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เอาแบบนี้ไหม ท่านก็ไปเชิญเขาออกมาก่อน หากเขาสามารถแก้ปัญหาหมอกนั่นได้จริง ๆ และพาคนของเราออกมา พวกข้าจะยอมก้มหัวขอขมาเขาเลยเป็นไง?”
หยูยงเห่าก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอับอายเช่นกัน “หากเขาสามารถช่วยบรรพบุรุษตระกูลข้าได้จริง ๆ ข้าจะยอมคุกเข่าขอขมากับเขาทันที!”
“แบบนี้ท่านคิดว่ายังไง ท่านภรรยาเจ้าสำนัก?” หานหลิงอู่ยิ้มพลางเอ่ยถาม
มู่หลงหยานถอนหายใจ “เฮ้อ ยังไงซะข้าเองก็ต้องการช่วยสามีของข้าเช่นกัน เอาเป็นว่าพวกเราค่อยพูดกันเรื่องนั้นทีหลังก็แล้วกัน”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปเชิญเขาออกไปที่เขตแดนหมอกกันก่อนเถอะ!” หยูหงเว่ยหัวเราะ
“ไปกัน!” กลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างพากันออกจากห้องโถง และมุ่งหน้าไปที่ เรือนของเย่ชิงเฉิงทันที!