พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 565 วิกฤตในทะเลชางหมาง
บทที่ 565 วิกฤตในทะเลชางหมาง
ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็ทำให้เล้งเจี้ยนชิวกลายเป็นทาสรับใช้ของเขา และช่วยเฉินจี้ซีออกมาจากเขตแดนหมอก ตามการจ้างวานของทั้งสามตระกูลใหญ่แห่งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
ส่วนเรื่องของเล้งหวงนั้น หลิงตู้ฉิงไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยหลังจากได้ทราบข่าวว่าเล้งหวงหนีออกไปจากสำนักแล้ว
สำหรับหลิงตู้ฉิง การที่เขาเอาตัวเล้งเจี้ยนชิวมาเป็นทาสรับใช้นั้นถือว่าเขาได้จบเรื่องกับตระกูลเล้งแล้ว
“ในตอนแรกข้าได้สัญญากับพวกเจ้าไว้ว่าหากเจอตำแหน่งของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เมื่อไหร่ ข้าจะให้สิทธิ์คนของสำนักเจ้าสองสิทธิ์!” หลิงตู้ฉิงพูดกับหมิงยู่ “ตอนนี้เจ้าจงบอกกับคนของสำนักเจ้าได้แล้วว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่อาณาเขตเทียนหยู”
อันที่จริงเหตุผลในตอนแรกที่เขามาที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะว่าเขารู้ว่าในเขตแดนหมอกมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ ซึ่งเขาต้องการมันมาครอบครองไว้ แต่แล้วเอาไปเอามามันกลับกลายเป็นว่ามันคืออาวุธของตัวเขาเองในอดีต แถมมันยังไม่ยอมไปกับเขาอีก ดังนั้นเมื่อทำอะไรไม่ได้เขาจึงได้แต่วางมือจากมันไว้ก่อนและค่อยหาวิธีการครอบครองมันอีกครั้งในอนาคต
ดังนั้นเมื่อตอนนี้เขาเสร็จธุระของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปหาสมบัติสำหรับครอบครัวของเขาต่อ
“ขอบคุณนายท่าน” หมิงยู่เอ่ยขึ้น “ถ้างั้นข้าจะบอกกับพวกเขาทันที ให้พวกเขาไปรอท่านที่อาณาเขตเทียนหยู”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “บอกให้เขาไปรออยู่แถว ๆ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เลยก็แล้วกัน ในเมื่อตอนนี้ข่าวของตำหนักศักดิ์สิทธิ์มันโด่งดังจนคนรู้กันมากมายแล้ว พวกของเจ้าคงไม่น่าจะหาเบาะแสที่ตั้งของมันยากเท่าไหร่ ดังนั้นให้พวกเขาไปรอข้าในบริเวณใกล้เคียงนั่นแหละ”
เย่ชิงเฉิงยิ้มและพูดว่า “สามี ข้าหวังว่าที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จะมีของที่เป็นประโยชน์กับเรานะ”
ในตอนนี้ปัญหาเรื่องพ่อของนางที่คาใจมากนานได้ถูกแก้ไขแล้ว ดังนั้นนับจากนี้ต่อไป เย่ชิงเฉิงตั้งใจว่าจะติดตามหลิงตู้ฉิงไปทุกหนทุกแห่งจนกว่าจะมีความตายมาพรากจากพวกเขา
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “มันต้องมีแน่นอน แต่ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเรากำลังจะไปมันเป็นของยุคไหนกันแน่”
“โชคดีมากเลยที่ตอนนี้เรามีคนรับใช้ที่แข็งแกร่งมากมายอยู่กับตัว ในตอนที่เราเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ พวกเราคงไม่ต้องไปกลัวแล้วว่าใครจะลอบทำร้ายพวกเรา!” เย่ชิงเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าโล่งใจ
โดยเฉพาะการที่พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิอยู่ข้างกาย มันจึงยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นางโล่งใจมากยิ่งขึ้น
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คนรับใช้ที่ได้มาใหม่พวกนี้ข้าวางแผนไว้ว่าจะให้พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันลูก ๆ ของพวกเรา ดังนั้นข้าจะไม่นำพวกเขาเข้าไปด้านในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หรอก”
“ในตอนนี้ข้าเองก็เริ่มคิดถึงพวกเขาแล้วเหมือนกัน!” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ จากนั้นนางก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเขินอาย “สามี…พวกเรามีลูกของพวกเราเองบ้างสักคนดีไหม?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่ชิงเฉิง และส่ายหัว “มันไม่ง่ายนักหรอกที่เราจะมีลูกกันเอง เนื่องจากสถานการณ์ของข้ามันค่อนข้างพิเศษ อย่างน้อย ๆ มันก็คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ที่เราจะมีลูกได้”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “มันมีหลายอย่างที่ข้ายังไม่สามารถอธิบายได้ เอาเป็นว่าเราไว้ค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง ในตอนนี้พวกเราควรรีบไปที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้นพวกเราก็พาเหล่าคนรับใช้ใหม่พวกนี้ไปให้กับว่านถิงและจากนั้นพวกเราก็กลับบ้านกัน การออกมารอบนี้มันน่าจะเป็นรอบที่พวกเราออกมานานที่สุดแล้วก็ว่าได้ ข้าอยากกลับไปโดยเร็วที่สุด”
เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “งั้นก็เอาตามนั้น เมื่อพวกเราเสร็จเรื่องของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าสวรรค์ทันที!”
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องลูก ๆ พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าในตอนนี้ที่ทะเลชางหมางนั้นเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว
เนื่องจากหลังจากที่จักรพรรดิของอาณาจักรอี้จิ๋น สีจิ้งหมิงได้ส่งกองทัพของตนเองไปเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทราในทะเลชางหมาง ความแข็งแกร่งของอาณาจักรจันทราก็พุ่งสูงขึ้นเสียดฟ้าจนไม่มีอาณาจักรไหนในทะเลชางหมางเทียบได้ติด
เมื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ อาณาจักรอื่น ๆ ในทะเลชางหมางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพวกเขาจำเป็นต้องเกิดความคิดรวมกลุ่มกันเป็นพันธมิตรขึ้นเพื่อคอยรับมือกับอาณาจักรจันทรา
แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกทำลายภายในพริบตาจากกองกำลังใหม่ที่บุกรุกเข้ามาในทะเลชางหมาง
ในขณะที่เหล่าอาณาจักรในทะเลชางหมางไม่ทันตั้งตัว กองทัพของสันเขาหมื่นอสูรนับพันที่นำโดยอสรพิษหายนะและเสือทมิฬก็บุกตะลุยเข้ามาด้านในทะเลชางหมาง และเข่นฆ่าผู้คนไปนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่มีอาณาจักรไหนที่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้
ไม่ว่าจะเป็นเกาะใด ๆ ที่พวกมันเดินทัพผ่าน เกาะนั้น ๆ ก็กลายเป็นนรกบนดินที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนเหลือเลือดแม้แต่ชีวิตเดียว
รอบนี้จุดประสงค์การมาของสันเขาหมื่นอสูรถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน พวกมันไม่ได้มาเพราะต้องการสืบหาความลับของสมบัติในทะเลชางหมางหรืออะไรทั้งนั้น รอบนี้พวกมันมาเพราะต้องการแก้แค้นคนในทะเลชางหมางที่กล้ากินพวกของพวกมัน โดยการฆ่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้งหมด
ดังนั้นรอบนี้พวกมันจึงฆ่าอย่างเดียวโดยไม่มีการปราณีใด ๆ!
แต่แล้วเมื่อการสังหารหมู่ดำเนินไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดมันก็ถูกหยุดโดยกองทัพของอาณาจักรจันทรา
เมื่อเห็นว่ากองทัพของอาณาจักรจันทราสามารถหยุดผู้บุกรุกได้ บรรดาอาณาจักรต่าง ๆ ในทะเลชางหมางต่างก็รีบส่งคำขอเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรจันทราทันที
“พันธมิตรงั้นเหรอ?” หลิงยี่เทียนครุ่นคิดอยู่สักพัก และเอ่ยขึ้นว่า “ตอบกลับไปให้หมดว่าข้าไม่ตกลงให้พวกเขาเป็นพันธมิตร! ทางเลือกเดียวที่พวกเขาจะอยู่รอดได้ก็คือต้องยอมผนึกร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับอาณาจักรจันทราของข้าเท่านั้น ไม่งั้นต่อให้อาณาจักรของพวกเขาจะถูกล้างบางโดยกองทัพของสันเขาหมื่นอสูรข้าก็ไม่สนใจ!”
หากเขายอมตกลงให้อาณาจักรอื่น ๆ เป็นพันธมิตรของเขา เมื่อถึงเวลาที่เขาจัดการกับกองทัพสันเขาหมื่นอสูรเสร็จเมื่อไหร่ อาณาจักรเหล่านี้ก็คงไม่วายจะมาแว้งกัดเขาอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นปัญหามันจะยิ่งยุ่งยากมากกว่าที่ทะเลชางหมางถูกสันเขาหมื่นอสูรบุกหลายเท่า
และที่สำคัญเมื่อมีแรงกดดันจากสันเขาหมื่นอสูรมาแบบนี้มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะใช้แรงกดดันนี้ในการบีบบังคับให้อาณาจักรอื่น ๆ ยอมจำนนต่ออาณาจักรจันทรา
ในความคิดของเขาการยอมเสียสละคนส่วนน้อยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา เพื่อแผนการที่ใหญ่กว่าของตนเองย่อมคุ้มค่ากว่า
และก็เป็นจริงอย่างที่หลิงยี่เทียนคิด หลังจากที่บรรดาอาณาจักรต่าง ๆ ถูกปฏิเสธ แผนการต่าง ๆ ที่พวกเขาวางไว้กับอาณาจักรจันทราก่อนหน้านี้ก็พังทลายลง พวกเขาต้องหันกลับไปคิดถึงทางเลือกสุดท้ายของพวกเขาก็คือการยอมจำนนต่ออาณาจักรจันทรา แต่มันก็ยังมีบางส่วนที่เลือกที่จะยอมจำนนต่อสันเขาหมื่นอสูรเช่นกัน
ไม่ว่าสันเขาหมื่นอสูรจะโหดร้ายสักแค่ไหน แต่ถ้าหากเป็นพวกเดียวกันพวกเขาก็ปลอดภัยเช่นกัน
ทางด้านของสันเขาหมื่นอสูร เมื่อพวกเขาได้รับสารจากเหล่ามนุษย์ที่อยู่ในทะเลชางหมางบางกลุ่มว่าต้องการยอมจำนน พวกเขาก็ยอมตอบตกลงเช่นกันและจากนั้นสันเขาหมื่นอสูรก็เริ่มทำการจัดกองทัพใหม่ ซึ่งในคราวนี้เป็นกองทัพผสมรวมกันระหว่างสัตว์อสูรและมนุษย์เพื่อสู้ตายกับอาณาจักรจันทรา!