พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 573 สามสำนักร่วมมือ
บทที่ 573 สามสำนักร่วมมือ
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงนั้นอยากจะออกเดินทางไปเร็ว ๆ แต่เมื่อเขาได้เห็นการประลองคัดเลือกที่ต้องกินเวลานานเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอ
ความตั้งใจในตอนแรกของเขานั้นมีเพียงแค่การพาเหล่าคนของเขาท่องไปเรื่อยเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ใจเขาต้องการ แต่มันคงเป็นความโชคดีของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เพราะการที่หลิงตู้ฉิงได้มาเห็นภาพแบบนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย
ในชีวิตที่แล้วเขาก็เคยมีเหล่าศิษย์แบบนี้เช่นกัน และเมื่อไหร่ที่เขาจะออกไปไหนทีมันก็จะมีเหล่าศิษย์มากมายที่มารวมตัวกันแบบนี้ขอตามไปด้วย ซึ่งเขาเองก็จัดการคัดเลือกตัวศิษย์ที่จะพาออกไปโดยใช้วิธีเดียวกันกับเย่ชางคงเช่นกัน
ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย แต่เขาก็ยังคงรอ
การคัดเลือกศิษย์ที่จะมีสิทธิ์ไปด้วยนั้นกินเวลากว่าครึ่งเดือนกว่ามันจะจบสิ้นลง ซึ่งผลสุดท้ายก็มีศิษย์จำนวน 200 กว่าคนที่ร่วมเดินทางไปด้วย จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางไปที่อาณาเขตเทียนหยวนทันที
เหล่าคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ไปทั้งหมดประกอบไปด้วยเหล่าศิษย์ 200 กว่าคน บรรพบุรุษของสำนักอีก 3 คนที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ เย่ชางคงและเหล่าผู้อาวุโสระดับสุงอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดต่างขึ้นไปบนพาหนะวิเศษของสำนักขนาดใหญ่เพื่อใช้มันบินมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตเทียนหยวน
ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิงและคนของเขา ต่างก็เลือกที่จะนั่งพาหนะวิเศษของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในการเดินทางไปยังอาเณาเขตเทียนหยวนเช่นกัน
ในระหว่างทาง หลิงตู้ฉิงก็ได้เอ่ยขึ้นถามว่า “เจ้าจะบอกข้าได้รึยังเกี่ยวกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเรากำลังจะเข้าไป?”
เย่ชางคงหัวเราะ “แน่นอน ๆ ข้าบอกเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนอื่นข้าคงต้องขอขอบใจจากอีกครั้ง หากไม่ได้เจ้าพวกเราเองก็คงไม่สามารถเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน”
“พูดเข้าเรื่องสักที!” หลิงตู้ฉิงเตือนขึ้น
เขาเบื่อที่จะฟังคำเยินยอเช่นนี้เต็มทน เขาต้องการที่จะรู้เรื่องที่มีประโยชน์กับเขามากกว่า
เย่ชางคงพยักหน้า “จากบันทึกของสำนักเรา ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่เรากำลังจะไปนั้นมีชื่อเรียกว่าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ซึ่งเป็นของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนที่เคยมีชีวิตอยู่ในยุค 1 ล้านปีก่อนหน้านี้ และว่ากันว่าในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนนั้นคือที่เก็บทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน!”
“อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้อาณาเขตเทียนหยูนั้นมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งก็คืออาณาเขตเพลิงนิรันดร์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน เมื่อ 5,000 ปีที่แล้วอาณาเขตเทียนหยู จู่ ๆ ก็มีเพลิงปริศนาลุกท่วมขึ้นเป็นวงกว้าง ซึ่งมันมีแต่คนคาดเดาไปว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนน่าจะกลับชาติมาเกิด แต่ต่อมามันก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของเขาที่มาเกิดใหม่ปรากฏขึ้น เหล่าผู้คนจึงค่อย ๆ ลืมเรื่องนี้ไป แต่แล้วต่อเมื่อ 800 ปีที่แล้ว สำนักสวรรค์สัประยุทธ์และสำนักเบญจธาตุ กลับพบกับกุญแจประตูของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน 2 ดอก พวกเราจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ตั้งของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนนั้นอยู่ที่ไหน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่ชางคงก็หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนและเล่าต่อ “อันที่จริงแล้ว ที่ผ่านมาเนื่องจากข้าติดอยู่ในเขตแดนหมอกมาโดยตลอดข้าก็เลยไม่รู้เรื่องราวพวกนี้เหมือนกัน ข้าเพิ่งจะมาอ่านข้อมูลพวกนี้เอาก็ตอนที่ออกมาจากเขตแดนหมอกได้ไม่นานนี้นี่แหละ”
“ส่วนตำแหน่งของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนนั้นก็อยู่แถว ๆ ภูเขาไฟเพลิงนิรันดร์ แต่ทางเข้ามันอยู่ตรงจุดไหนนั้นพวกเราก็ยังเองไม่รู้เพราะว่ามันต้องนำกุญแจทั้งสามดอกมาอยู่รวมกันก่อนทางเข้ามาถึงจะปรากฏขึ้น”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจและคิดในใจ
ตำหนักของตัวตนเมื่อ 1 ล้านปีก่อนมันจะต้องมีของดี ๆ อยู่ข้างในนั้นแน่นอนถูกต้องไหม?
ถึงต่อให้ข้างในนั้นมันจะไม่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเขามันก็ไม่เป็นอะไร เพราะเป้าหมายหลักของเขาคือการหาของวิเศษต่าง ๆ เพื่อมาให้กับครอบครัวเขาเป็นหลักอยู่แล้ว
เย่ชางคงพูดต่อ “จากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เคยมีบันทึกไว้ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่เวลามันเปิดขึ้นมันจะอนุญาตให้แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่เกินขอบเขตราชันเข้าไปได้เท่านั้น ดังนั้นในครั้งนี้ที่มาข้าจึงเลือกแต่เหล่าคนของสำนักที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตราชันมาเป็นส่วนใหญ่”
“และอีกอย่างที่ผ่านมาตำหนักศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเวลาเปิดขึ้นส่วนใหญ่มันจะจำกัดจำนวนคนเข้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่เกิน 1,000 คนหากมีคนเข้าไปเพิ่มผนึกป้องกันมันจะทำงานทันทีเพื่อขับไล่ผู้คนที่มาที่หลังไม่ให้เข้าไป ซึ่งในรอบนี้มันน่าจะมีสำนักมหาอำนาจก็แค่พวกเรา และสำนักสวรรค์สัประยุทธ์และสำนักเบญจธาตุที่เข้าไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องจำนวน”
หลิงตู้ฉิงพูดแทรกทันที “ในเมื่อมันเป็นตำหนักของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนจะเข้าไปได้แค่ 1,000 คน ข้าแน่ใจว่าจำนวนคนที่สามารถเข้าไปได้มันจะต้องมหาศาลอย่างแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครในจำนวนของผู้ที่เข้าได้นั้นมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจในกฎของผู้ที่สร้างตำหนัก
หากผู้สร้างตำหนักมีความเข้าใจในกฎอย่างสมบูรณ์แบบและใช้กฎที่สมบูรณ์เหล่านั้นในการก่อสร้างตำหนักของตัวเองขึ้นมา มันก็ไม่มีปัญหาอะไรที่ตำหนักจะรองรับคนได้ถึงหลักแสนหรือถึงหลักล้าน หรือไม่ก็ไม่จำกัดเลยด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ขึ้นไปยืนอยู่จนถึงจุดนี้ได้จะต้องมีความเข้าใจกฎอย่างสมบูรณ์อยู่แล้วเป็นธรรมดา
หลังจากนั้นไม่นานในระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้มาถึงอาณาเขตเทียนหยวนและเมื่อพวกเขามาถึงพวกเขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าอาณาเขตแห่งนี้มันร้อนอบอ้าวมากกว่าอาณาเขตอื่นหลายเท่า เนื่องจากกฎแห่งธาตุไฟในอาณาเขตแห่งนี้นั้นหนาแน่นกว่าอาณาเขตอื่น ๆ
ในขณะเดียวกันกับที่พวกเขาใกล้จะถึงภูเขาไฟเพลิงนิรันดร์ ทุก ๆ คนก็เริ่มรู้สึกตึงเครียดและพยายามที่จะทำสมาธิสงบจิตใจ
พวกเขาทุกคนรู้เป็นอย่างดีว่าเมื่อไหร่ที่ได้ก้าวเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน การต่อสู้เอาชีวิตรอดมันคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และโดยเฉพาะที่เจ้าของตำหนักคือตัวตนอันยิ่งใหญ่เมื่อ 1 ล้านปีก่อน หากภายในตำหนักมีสัตว์ประหลาดที่คอยรอต้อนรับผู้บุกรุกอยู่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
“คนของเจ้าอยู่ที่ไหน?” หลิงตู้ฉิงหันไปถามหมิงยู่
หมิงยู่ยิ้มและตอบว่า “นายท่าน ตอนนี้คนของข้าได้ไปรออยู่ใกล้ ๆ กับภูเขาไฟเพลิงนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว เมื่อไหร่ที่พวกเราเข้าใกล้ ข้าจะแจ้งคนของข้าทันที”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เมื่อพวกเราไปถึง เจ้าจงบอกให้คนของเจ้ามารวมกลุ่มกับพวกเราโดยเร็วที่สุด และเจ้าอย่าลืมบอกพวกเขาว่าเมื่อถึงเวลาจงทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง แต่แน่นอนว่าหากพวกเขาไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่บังคับพวกเขา”
หมิงยู่พยักหน้าทันทีและรีบพูดว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล หากพวกเขากล้าที่จะไม่เชื่อฟังท่าน ข้าจะเป็นคนสั่งสอนพวกเขาเอง แต่ในรอบนี้ผู้ที่เดินทางมาก็คือ หนิงฉิง และ เล้งหยวน พวกเขาน่าจะฟังคำสั่งของท่านโดยไม่มีปัญหาอะไร”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้ารับรู้และไม่พูดอะไรต่อ
ในเวลาเดียวกับที่พวกเขาไปถึงภูเขาไฟเพลิงนิรันดร์ จู่ ๆ ก็มีชายสองคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาและถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่?”
เย่ชางคงยิ้มและตอบกลับไปทันที “ทำไมข้าจะมาที่นี่ไม่ได้กันล่ะ พี่จิ๋น พี่ฟาน?”
เมื่อทั้งสองคนเห็นเย่ชางคง พวกเขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจทันที พวกเขาต่างรีบถามทันที “นี่เจ้าออกมาได้แล้วงั้นเหรอ?”
เย่ชางคงยิ้ม “ปัญหาของสำนักข้าได้รับการแก้ไขแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะออกมาได้”
ถึงแม้ว่าเขตแดนหมอกหลังสำนักของเขาจะยังคงไม่หายไป แต่ตราบใดที่เขาไม่ไปยุ่งอะไรกับมัน มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเย่ชางคงจึงสรุปเอาสั้น ๆ ว่าปัญหามันได้ถูกแก้แล้ว
ในระหว่างที่เย่ชางคงกำลังคุยอยู่กับชายทั้งสอง มู่หลงหยานก็อธิบายกับหลิงตู้ฉิง “ทั้งสองคนที่กับกำลังอยู่กับสามีข้าตอนนี้คือ จิ๋นฉีฮ่าว จากสำนักเบญจธาตุ ส่วนอีกคนหนึ่งคือ ฟานหู่ จากสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ ระดับการบ่มเพาะของคนทั้งคู่ต่างอยู่ในระดับเดียวกันคือขอบเขตจักรพรรดิขั้นกลาง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ
ในสายตาของเขา คนเหล่านี้มันก็แค่งั้น ๆ
ในเวลานี้ จิ๋นฉีฮ่าวหรี่ตามองและพูดว่า “ต่อให้เจ้าจะออกมาได้แล้ว แต่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าอยู่ดี! ดังนั้นเจ้าอย่าคิดว่าข้าจะไว้หน้าเจ้ายอมให้เจ้าเข้าไปแบ่งสมบัติกับพวกเรา”
เย่ชางคงหัวเราะ “ท่านแน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้ข้าเข้าไป? ถ้างั้นพวกท่านก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าไปเหมือนกันนั่นแหละ!”
ฟานหู่สีหน้าเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาครุ่นคิดอยู่สักพักและถามขึ้น “หรือว่าเจ้าหากุญแจดอกสุดท้ายเจอแล้ว!?”