พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 601 แขกจากต่างแดน
ผ่านมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่คฤหาสน์สราญรมย์นั้นไม่ได้รับแขกจากต่างแดนที่ห่างไกล
ตอนนี้ชายหนุ่มระดับสวรรค์สามัญสองคนกำลังยืนแสดงสีหน้าภาคภูมิอยู่กลางห้องโถงคฤหาสน์สราญรมย์ ซึ่งหลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ กำลังมองไปที่พวกเขาด้วยสีหน้าสับสน
“น้องสาม เจ้าตัดสินใจได้รึยัง?” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น “เมื่อในอดีต พ่อแม่ของพวกเราถูกศัตรูตามล่าจนมาถึงทะเลชางหมางและเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นพวกเขาจึงตัดสินใจวางเจ้าทิ้งไว้หน้าเรือนของใครของสักคน จากนั้นพวกเขาจึงล่อเหล่าศัตรูให้ติดตามพวกเขาไปอีกทาง หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตรอด”
“และต่อมาเมื่อพ่อแม่ของเรากลับไปหาเจ้าอีกครั้ง เจ้าก็หายไปแล้ว ซึ่งพวกเราคิดว่าเจ้าคงตายไปแล้ว พวกเราไม่คาดคิดเลยว่าเจ้ายังมีชีวิตรอดอยู่ สันเขาทรราชของพวกเราเป็นกลุ่มกองกำลังที่นับได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทำไมเจ้าถึงยังลังเลคิดถึงเรื่องการรั้งอยู่ในสถานที่เล็ก ๆ เช่นนี้อีก?”
“แน่นอนว่าข้ารู้ว่าพวกเขาเลี้ยงดูเจ้ามาและเจ้าคงคิดที่จะตอบแทนพวกเขา ซึ่งอันที่จริงแล้วเจ้าจะพาพวกเขาไปอยู่ร่วมกับเจ้าที่สันเขาทรราชก็ได้ ข้ารับประกันได้ว่าพวกเขาจะมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีแต่ผู้คนให้เกียรติ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยู่ชานก็ยังคงไม่ตอบอะไร เนื่องจากเขากำลังรู้สึกสับสนอยู่
ชีวิตในตอนนี้ของเขาสามารถพูดได้ว่าเขามีความสุขและพึงพอใจมากที่สุดอยู่แล้ว แต่แล้วจู่ ๆ กลับมีพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเขามาตามหาเขา ซึ่งมันทำให้เขาสับสน
ส่วนเรื่องที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเขานั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่นี่นั้นก็เพราะจากคำบอกเล่าของพี่ชายของเขาทั้งสองที่มาเกลี้ยกล่อมเขาอยู่ตอนนี้เล่าให้ฟังว่า
ก่อนหน้านี้ในตอนที่ตัวของเขาอยู่ในสนามรบ ในตอนนั้นเขาได้ปะทะกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 10 ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมันทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกซะจากต้องเปิดใช้พลังแห่งสายเลือดของเขาเองในการต่อสู้และสถานการณ์ตอนนั้นมันก็มีผู้คนจำนวนมากได้เห็น
หนึ่งในผู้คนที่เห็นในวันนั้นก็คือคนของสันเขาทรราชด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าการที่เขาเปิดเผยสายเลือดทรราชสวรรค์มันจะต้องเตะตาผู้คนของสันเขาทรราช
หลังจากนั้นเมื่อเรื่องการเจอตัวผู้มีสายเลือดทรราชสวรรค์ถูกส่งกลับไปที่สันเขาทรราช บรรดาผู้คนของสันเขาทรราชก็เริ่มทำการสืบสวนเรื่องนี้ทันที ซึ่งสุดท้ายมันก็ไปตรงกับเรื่องของเทียนซ่งหยูและภรรยาที่พลัดพรากกับลูกชายในทะเลชางหมางเมื่อครั้งอดีต
ดังนั้นเมื่อสืบทราบได้ขนาดนี้ คนของสันเขาทรราชก็แจ้งข่าวนี้ให้กับเทียนซ่งหยูและภรรยาของเขาให้ได้ทราบ ซึ่งเทียนซ่งหยูและภรรยาเมื่อรู้ข่าวก็รีบเดินทางมาที่อาณาเขตนภาด้วยความตื่นเต้นทันที แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่นั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูงเกินกว่าจะเข้ามาในทะเลชางหมางได้ พวกเขาจึงได้แต่รออยู่ด้านหน้าและลูกชายของตนเองอีก 2 คนเข้ามาแทน
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงมีแค่เทียนฟางและเทียนคงเท่านั้นที่มาปรากฏตัว
ในตอนแรก หลิงยู่ชานก็ไม่เชื่อเรื่องนี้เช่นกัน
แต่จากนั้นเมื่อเทียนฟางและเทียนคงเปิดใช้งานสายเลือดของพวกเขาเองให้กับหลิงยู่ชานดู มันก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขามีสายเลือดเดียวกันบวกกับที่เรื่องราวต่าง ๆ มันช่างประจวบเหมาะกับภูมิหลังในอดีตของเขาตอนที่เขาพอจะจำความได้ว่าตัวเองถูกทิ้ง มันจึงทำให้เขาเริ่มเชื่อขึ้นมา
ในตอนนี้เมื่อพวกเขาพูดคุยกันไปสักพัก เทียนฟางและเทียนคงก็ต้องการที่จะพาตัวหลิงยู่ชานกลับไปที่สันเขาทรราชกับพวกเขา
เทียนฟางหัวเราะ “น้องสาม เนื่องจากท่านพ่อกับท่านแม่มีความแข็งแกร่งมากเกินไปที่จะเข้ามาที่ทะเลชางหมางได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะมาอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าตั้งแต่ที่เจ้าหายตัวไป ท่านแม่โทษตัวเองและเป็นทุกข์อยู่ทุกวัน นางพยายามส่งคนมาตามหาเจ้าในทะเลชางหมางอยู่นับสิบครั้งในเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็ควรที่จะออกไปพบท่านพ่อและท่านแม่สักหน่อย แต่ถ้าหากเจ้ากลัวว่าความเป็นอยู่ของเจ้าจะแย่ลงเมื่อออกไปอยู่กับพวกเรา ข้าขอบอกเจ้าตรงนี้เลยว่ามีไม่กี่ตัวตนบนโลกนี้ที่กล้าล่วงเกินตระกูลเทียนของพวกเรา!”
หลิงฟ่างหัวถามขึ้นแทรก “ถ้าหากตระกูลของเจ้ายิ่งใหญ่จริงอย่างที่เจ้าว่า ทำไมในอดีตถึงถูกไล่ล่าจนถึงขนาดทิ้งพี่ใหญ่ของข้าเอาไว้?”
เทียนฟางยิ้มและตอบกลับ “ในตอนนั้นกลุ่มคนที่ไล่ล่าพ่อแม่ข้าไม่รู้ว่าพ่อแม่ของข้าคือใคร แต่พอมารู้ตอนหลังว่าพ่อแม่ข้าคือคนของสันเขาทรราช กลุ่มคนเหล่านั้นก็ยิ่งต้องการที่จะสังหารมากไปเข้าไปใหญ่เพราะต้องการปิดปาก แต่โชคดีที่พวกมันทำไม่สำเร็จและพ่อแม่ของข้าหนีรอดกลับไปถึงสันเขาทรราชได้ และหลังจากนั้นทั้งกลุ่มคนเหล่านั้น ทั้งสำนักของพวกมัน ทั้งคนใกล้ชิดและทุก ๆ อย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกมันล้วนถูกสังหารสิ้นรวมแล้วเกือบ 10 ล้านชีวิตเพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าคนของสันเขาทรราชนั้นไม่อาจถูกดูหมิ่นได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงฟ่างหัวพยักหน้าเบา ๆ
“ว่าแต่น้องสาม ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะมีภรรยาแล้ว ถ้าหากท่านแม่รู้เรื่องเข้า นางคงดีใจเป็นอย่างมากแน่นอน!”
สีหน้าของหลิงยู่ชานในตอนนี้ค่อนข้างสับสน เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “พี่ใหญ่ พี่สอง ข้าขอเวลาคุยกับภรรยาและพี่น้องและบรรดาแม่ของข้าก่อนก็แล้วกัน”
เทียนฟางหัวเราะ “ได้แน่นอน ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็เป็นครอบครัวของเจ้าเช่นกัน แต่เจ้าก็เร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน อย่าลืมว่าท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าก็รออยู่ด้วย”
หลิงยู่ชานพยักหน้า จากนั้นเขาก็นำเทียนฟางและเทียนคงไปพักผ่อนที่ห้องนอนสำหรับแขกก่อน
จากนั้นหลิงยู่ชานก็เดินมาหาจ้าวเหมิงลู่เป็นคนแรก และถามขึ้นว่า “ท่านแม่ข้าควรไปดีไหม?”
จ้าวเหมิงลู่ยิ้มและพูดว่า “หากพวกเขาใช่ญาติพี่น้องที่แท้จริงของเจ้าจริง ๆ เจ้าก็ควรไปเพราะพวกเจ้าได้พลัดพรากกันมานานมากแล้ว แต่มันก็ยังมีคำถามสำคัญอยู่ก็คือ เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าพวกเขาคือพี่ชายของเจ้าจริง ๆ?”
หลิงยู่ชานพยักหน้า “สายเลือดของพวกเรามันพิเศษมาก มันไม่สามารถโกหกกันได้ง่าย ๆ ซึ่งหลังจากที่ข้าตรวจสอบแล้วข้าแน่ใจว่าพวกเขากับข้ามีสายเลือดเดียวกัน”
จ้าวเหมิงลู่แสดงสีหน้าครุ่นคิดและพูดว่า “พ่อของเจ้าตอนนี้ก็ไม่อยู่ที่นี่ซะด้วยสิ ถ้าให้แม่พูดตามตรง แม่เองก็ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดีเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดมันก็คือความคิดของเจ้าว่าจะเอายังไง หากเจ้าตัดสินใจจะไป พวกเราก็จะไม่ขัดขวาง แต่แม่ก็ไม่สนับสนุนเหมือนกัน หรือถ้าจะให้ดีที่สุดเลยแม่คิดว่าพวกเราควรรอให้พ่อของเจ้ากลับมาก่อน”
“ข้าอยากไป!” หลิงยู่ชานพยักหน้า “พวกเขาเป็นพ่อแม่ของข้า พวกเขาคงไม่ทำร้ายข้าหรอก”
แน่นอนว่าเขาต้องอยากไป นับตั้งแต่ในอดีตเขาก็ครุ่นคิดมาตลอดว่าทำไมพ่อแม่ของเขาถึงต้องทิ้งเขาเอาไว้แบบนี้ และในเมื่อตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้ไปเจอหน้าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาแล้วเพื่อพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ที่ค้างคาในใจ ดังนั้นเขาจะอดใจไม่ไปได้อย่างไร?
หากพ่อของเขา หลิงตู้ฉิงอยู่ที่นี่เรื่องราวทุกอย่างมันคงจะง่ายกว่าเดิมมาก แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้พ่อของเขาก็ออกเดินทางไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์กว่าร้อยปีแล้ว ซึ่งเขาเองก็รู้ว่าที่นั่นกับทะเลชางหมางมันอยู่ห่างไกลกันมาก
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่พ่อของเขาจะกลับมา?
หากหลิงตู้ฉิงไม่กลับมาในอีก 200 ปีข้างหน้านี้ และเขาต้องให้พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขาต้องรอไปอีก 200 ปีด้วยแล้วล่ะก็ เขาเองก็ทำไม่ได้มันดูอกตัญญูเกินไป
จ้าวเหมิงลู่ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นนางก็พยักหน้า “ถ้างั้นเจ้าก็จงไปเถอะ”
ทางด้านคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครออกความเห็นอะไรออกไป
จะมีก็เพียงแค่เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดขึ้นว่า “เจ้าสามารถไปพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้าได้ แต่ก่อนเจ้าออกเดินทางเจ้าจงมาหาแม่ก่อน เจ้าเข้าใจไหม?”
ในเมื่อหลิงยู่ชานจะต้องไปเผชิญกับสถานการณ์ไม่แน่นอน ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องอวยพรโชคลาภให้กับเขา