พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 611 สายเลือดที่ถูกถอดถอน
ในเวลานี้หลิงยู่ชานได้เดินตามเทียนหลีเข้าไปยังห้องเส้นชีพจรตระกูล ซึ่งแต่เพียงก้าวแรกที่เดินเข้าไป หลิงยู่ชานรู้สึกได้ทันทีว่าสายเลือดในร่างกายเขามันโคจรด้วยตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
เสียงการโคจรของเลือดในร่างกายของหลิงยู่ชานนั้นมันรุนแรงจนเทียนหลีที่เดินนำหน้าอยู่ยังต้องหันมามอง และพูดว่า “ชาน สายเลือดในร่างกายของเจ้านั้นช่างแข็งแกร่งจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่พรสวรรค์ของเจ้านั้นด้อยไปสักหน่อย แต่ก็ช่างเถอะหลังจากที่สายเลือดของเจ้าได้รับการปรับแต่งจากเส้นชีพจรตระกูลแล้ว ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะได้กลายเป็นโอรสสวรรค์คนที่สองของสันเขาทรราชของเราแน่นอน!”
หลิงยู่ชานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ท่านปู่ทวด ข้ารู้สึกได้เลยว่าในตอนนี้สายเลือดของข้ามันกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ!”
เทียนหลีหัวเราะ “เยี่ยมเลย! นี่ขนาดพวกเรายังไม่ได้เข้าใกล้เส้นชีพจรตระกูลมากนักเจ้าก็ได้รับผลประโยชน์ขนาดนี้แล้ว หากเจ้าได้ไปสัมผัสเส้นชีพจรตระกูลเมื่อไหร่ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวทีเดียว!”
ในระหว่างที่พูดคุยกัน หลีเทียนก็นำหลิงยู่ชานเดินมาถึงด้านข้างบ่อน้ำพุ ซึ่งน้ำทั้งหมดในบ่อมันคือโลหิต!
เทียนหลีกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “นี่คือเส้นชีพจรตระกูลของพวกเรา! เอาล่ะ ชาน เจ้าจงก้าวเข้าไปในบ่อและแช่ตัวอยู่ในนั้นเพื่อปรับแต่งพลังของสายเลือดเจ้าซะ ข้าจะคอยจับตาดูเจ้าอยู่ตรงนี้ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
หลิงยู่ชานพยักหน้า จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ก้าวขาลงไปในบ่อน้ำพุโลหิต และจากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาและโคจรสายเลือดของเขาให้เชื่อมต่อกับบ่อน้ำพุแห่งนี้
เมื่อเขาเชื่อมต่อกับน้ำพุโลหิตได้ เขาก็สัมผัสได้ว่าภายในบ่อน้ำพุโลหิตแห่งนี้มีบัลลังก์อยู่ตรงกึ่งกลาง ซึ่งมันดึงดูดใจเขาเป็นอย่างมาก
ด้วยความสนใจ หลิงยู่ชานจึงเดินไปที่บัลลังก์นั้นและค่อย ๆ นั่งลงบนมัน ซึ่งหลังจากที่เขาได้นั่งลงไป ร่างกายของเขาก็เหมือนกับถูกตรึงไว้กับบัลลังก์ทันที
ถึงแม้ว่าหลิงยู่ชานจะรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร เขาเพียงแค่คิดไปเองว่านี่มันอาจจะเป็นหนึ่งในขั้นตอนการปรับแต่งสายเลือดของเขา
แต่แล้วเมื่อผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว หลิงยู่ชานก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในตอนนี้สายเลือดของเขามันไม่ได้ถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้นแต่มันกลับค่อย ๆ โดนดูดออกไปเรื่อย ๆ ต่างหาก!
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่มันไม่ใช่เรื่องดี หลิงยู่ชานก็พยายามดิ้นอย่างสุดแรงเกิดทันทีเพื่อให้ตัวเขาเองหลุดพ้นออกไปจากบัลลังก์ที่ตรึงเขาเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถขยับได้เลยสักนิดแม้กระทั่งจะส่งโทรจิตไปบอกเทียนหลี เขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาได้แต่นั่งมองพลังในสายเลือดของเขาค่อย ๆ ถูกดูดออกไปเรื่อย ๆ ทีละนิด ๆ
เทียนหลี ในขณะนี้ที่กำลังยืนจ้องไปที่บ่อน้ำพุโลหิตก็รู้สึกสงสัยเมื่อเขาเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับบ่อน้ำพุ
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้จู่ ๆ บ่อน้ำพุโลหิตกลับเดือดปุด ๆ เป็นฟองขึ้นมา ในอดีตมันไม่เคยเป็นเช่นนี้ก่อนเลยนี่นา?
หรือจะเป็นไปได้ไหมที่เหลนของเขาคนนี้แข็งแกร่งมากซะจนก่อให้เกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ขึ้น?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เทียนหลีก็ยืนลูบเคราตัวเองด้วยความภาคภูมิใจและตั้งใจว่าจะรอต่อไปอีกสักหน่อย
ส่วนทางดานของหลิงยู่ชาน ในตอนนี้เขาได้หมดสติไปแล้วเรียบร้อย
ทางด้านของเทียนเก๋อและเทียนชู หลังจากที่พวกเขารอหลิงยู่ชานและเทียนหลีเข้าไปในห้องเส้นชีพจรตระกูลได้อยู่พักใหญ่ เทียนชูก็เอ่ยขึ้นว่า “มันน่าจะได้เวลาแล้ว พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบ พวกเขาทั้งสองก็เข้าไปในห้องเส้นชีพจรตระกูลจากประตูอีกทางด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับที่เทียนหลีใช้
เมื่อพวกเขาได้เข้ามาในห้องเส้นชีพจรตระกูล พวกเขาก็สัมผัสได้ทันทีถึงความเข้มข้นของสายเลือดของหลิงยู่ชาน
เทียนเก๋อ ในตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาประมาณการณ์เอาไว้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของหลิงยู่ชานขนาดนี้บวกกับพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะของเขาแล้ว ในอนาคตเขาจะต้องไร้เทียมทานอย่างแน่นอน
ทั้งสองรีบเดินเข้าไปด้านในและเดินเลี้ยวไปยังมุมห้องที่เป็นพื้นที่ว่าง ๆ ซึ่งเป็นคนละทิศทางกับที่บ่อน้ำพุโลหิตตั้งอยู่
ในพื้นที่ว่างนั้นมีบัลลังก์ตัวหนึ่งวางอยู่ ซึ่งมันดูคล้ายกับบัลลังก์ที่หลิงยู่ชานนั่งเป็นอย่างมาก
บัลลังก์ทั้งสองตัวนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งของต้องห้ามของตระกูลพวกเขา เนื่องจากความสามารถของพวกมันคือการดูดพลังสายเลือดของคนผู้หนึ่งไปให้กับคนอีกคน และยิ่งโดยเฉพาะการใช้มันกับคนในตระกูลเดียวกันนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องห้ามเข้าไปใหญ่
อันที่จริงตามปกติแล้วการจะนำบัลลังก์ทั้งสองตัวนี้ออกมาใช้งานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย แต่ด้วยสถานะของเทียนชูที่เป็นถึงบรรพบุรุษของตระกูล ดังนั้นเขาจึงมีวิธีนำมันออกมาโดยไม่มีใครรู้
เทียนชูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ช่างมันเป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งจริง ๆ! เอาล่ะ เทียนเก๋อ เจ้าจงไปนั่งที่บัลลังก์และเริ่มดูดซับได้แล้ว!”
เทียนเก๋อพยักหน้าและรีบวิ่งไปนั่งลงที่บัลลังก์เพื่อดูดซับพลังสายเลือดของหลิงยู่ชานทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น
แค่เพียงชั่วครู่เดียวที่เทียนเก๋อเริ่มดูดซับพลังสายเลือดของหลิงยู่ชาน สายเลือดของเขาก็เริ่มโคจรอย่างบ้าคลั่งจากพลังงานที่ถาโถมเข้ามาอย่างล้นหลาม
ที่ด้านนอกของห้องเส้นชีพจรตระกูล เทียนเฟิงที่กำลังเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูก็เห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอีกคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
เมื่อเทียนเฟิงเพ่งมองไปและเห็นว่าผู้ที่กำลังเดินเข้ามาคือศิษย์พี่ของเขา เทียนชิว เขาจึงรู้สึกโล่งใจ
“เริ่มแล้วรึยัง?” เทียนชิวถามขึ้น
เทียนเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณ
เทียนชิวถอนหายใจและเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าครอบครัวของเด็กนั่นจะเข้าใจ!”
ในเวลานี้ เทียนหลีก็กำลังเฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่อ แต่หลังจากที่เขารอมาได้ครึ่งวัน เขาก็เริ่มที่จะอยู่ไม่เป็นสุข โดยเฉพาะที่ในตอนนี้ บ่อน้ำพุโลหิตได้สงบลงไปแล้วสักพักมันยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นกังวล
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่เพียงแต่เหลนของเขาจะปรับแต่งสายเลือดไม่สำเร็จ ทำไมมันดูเหมือนกับว่าบ่อน้ำพุกลับสูญเสียพลังของมันไปบางส่วนอีกต่างหาก?
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างมันไม่ปกติเป็นอย่างมาก เทียนหลีก็รีบใช้เจตจำนงของตัวเองแหวกบ่อน้ำพุโลหิตออกเพื่อดูสถานการณ์ของหลิงยู่ชานทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาคือ หลิงยู่ชานได้หมดสติไปเป็นเวลานานแล้วบนบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่
เทียนหลีรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าหลิงยู่ชาน และตะโกนทันที “ชาน!”
แต่เมื่อเทียนหลีสังเกตเห็นบัลลังก์ในระยะใกล้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวทั้งหมดมันคืออะไร ทั้งการที่พลังของสายเลือดในร่างของหลิงยู่ชานถูกดูดหายไปจนหมดและบัลลังก์ตัวนี้ที่เขาเองก็รู้ดีว่ามันคือสมบัติต้องห้ามของตระกูล
เขาตะโกนร้องดังลั่นทันที “เทียนเก๋อ! มันต้องเป็นเจ้า! มันต้องเป็นเจ้าแน่นอน! เจ้าบังอาจมากที่กล้าขโมยสายเลือดของคนร่วมตระกูลของเจ้า…”
ก่อนที่เทียนหลีจะได้ทันพูดจนจบประโยค เขาก็รู้สึกได้ถึงพายุพลังแห่งสายเลือดที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เทียนหลีก็อุ้มร่างที่ไร้สติของหลิงยู่ชานพุ่งไปที่ต้นตอของพายุพลังสายเลือดที่บังเกิดขึ้นในทันที ซึ่งภาพที่เห็นก็คือ เทียนเก๋อที่ในตอนนี้สายเลือดของเขามีความแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมนับพันเท่า!
“เจ้าบังอาจมากที่ชิงพลังสายเลือดของคนในครอบครัวข้า จงคืนมันมาให้กับชานเอ๋อของข้าเดี๋ยวนี้!” เทียนหลีกู่ร้องขึ้นด้วยความโมโหสุดขีด เขาพุ่งตัวไปหาเทียนเก๋อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้วในระหว่างที่เทียนหลีกำลังพุ่งตัวไปหาเทียนเก๋อ เขาก็ถูกหยุดไว้โดยเทียนชู
เทียนหลีมองไปที่เทียนชูด้วยสายตาคับแค้น “บรรพบุรุษเทียนชู! พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นลูกหลานของพวกเราเหมือน ๆ กัน ท่านไม่คิดว่าการกระทำของท่านมันโหดร้ายเกินไปหน่อยกับชานเอ๋อของข้างั้นเหรอ!”
เทียนชูแสดงสีหน้าอึดอัดและเอ่ยขึ้นว่า “เทียนหลี ใจเย็นลงก่อน ให้ข้าอธิบายก่อน…”
“ข้าไม่ใจเย็นอะไรทั้งนั้น! ข้าต้องการให้ชานเอ๋อของข้าได้รับพลังของเขาคืน และข้าต้องการให้เขาได้รับมันคืนในตอนนี้!” เทียนหลีตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล