พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 721 เขตแดนประกาศิต
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ เซียงกวนยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ในความคิดของเขา มันจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยสักนิดหากหลิงตู้ฉิงบอกว่าเขาได้สังหารหยูห้าวหลงไปแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เขาไม่ฆ่าหยูห้าวหลงเท่านั้น แต่หลิงตู้ฉิงกลับใช้งานหยูห้าวหลงให้กลายเป็นสายสืบอีกต่างหาก
ปีศาจตนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ได้ยังไง!
แต่ในทางกลับกัน มู่หลงหยานกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องของหยูห้าวหลงสักเท่าไหร่ สิ่งที่นางกังวลในตอนนี้ก็คือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของนางจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนในอนาคต
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามหลิงตู้ฉิงว่า “ตู้ฉิง เจ้าต้องการให้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราทำอะไรให้เจ้าในอนาคต?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ในอนาคตก็แค่ช่วยข้าจัดการกับศัตรูของข้าบางคน แต่ถ้าเป็นในอนาคตอันใกล้นี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ลูกของข้ากำลังสร้างประตูเคลื่อนย้ายที่ทะเลชางหมางอยู่ ซึ่งถ้าหากมันสร้างเสร็จเมื่อไหร่ข้าคงจะต้องให้พวกท่านช่วยเชื่อมต่อเส้นทางมิติระหว่างประตูเคลื่อนย้ายของพวกท่านเข้ากับประตูเคลื่อนย้ายของลูกข้าด้วย เพื่อที่เวลาพวกเราเดินทางมาที่นี่มันจะได้สะดวกมากขึ้น”
อันที่จริงพิกัดของประตูเคลื่อนย้ายนั้นสามารถถูกเปลี่ยนได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น หลิงตู้ฉิงที่รู้พิกัดของประตูเคลื่อนย้ายสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงสามารถใช้ประตูเคลื่อนย้ายของที่ไหนก็ได้เดินทางมาที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกเวลา แต่ถ้าหากจู่ ๆ วันใดวันหนึ่งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ตั้งค่าพิกัดประตูเคลื่อนย้ายของพวกเขาใหม่ หลิงตู้ฉิงจะไม่สามารถเดินทางผ่านประตูเคลื่อนย้ายมาได้ทันที
แต่ถ้าหากทำการเชื่อมต่อเส้นทางมิติระหว่างประตูเคลื่อนย้ายด้วยกันแล้ว หากฝั่งไหนจะเปลี่ยนพิกัดของประตู ฝั่งที่เปลี่ยนจะต้องแจ้งพิกัดใหม่ให้กับฝั่งตรงข้ามรับรู้อยู่เสมอ เพื่อให้ฝั่งตรงข้ามช่วยยกเลิกการเชื่อมต่อเส้นทางมิติเดิม ไม่อย่างนั้นฝั่งที่จะเปลี่ยนพิกัดจะต้องเสียทรัพยากรจำนวนมากในการฝืนยกเลิกการเชื่อมต่อเดิมด้วยตัวเอง
มู่หลงหยานยิ้มและพูดว่า “อืม คำขอของเจ้าไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย ในอนาคตเมื่อพวกเราเชื่อมประตูเคลื่อนย้ายเข้าหากันแล้ว พวกเราจะได้ช่วยเหลือกันและกันได้ง่ายมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะชิงเฉิงจะได้กลับมาเยี่ยมข้าได้บ่อยกว่าเดิม”
เซียงกวนที่อยู่ด้านข้างกลอกตาทันทีพลางคิดในใจ ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจช่วยลูกเขยของเจ้าด้วยความยินดีขนาดนั้น? นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าศัตรูของลูกเขยเจ้าผู้นี้แต่ละคนน่ากลัวแค่ไหน?
ถึงแม้เขาจะคิดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดมันในขณะที่อยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิงแน่นอน
หลังจากตกลงเรื่องราวกันไปได้สักพัก มู่หลงหยานและเซียงกวนก็ออกมาจากเรือนของเย่ชิงเฉิง
หลังจากออกมาแล้ว มู่หลงหยานถามเซียงกวนด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านบรรพบุรุษ ข้าสังเกตเห็นว่าท่านพยายามจะส่งสัญญาณบอกใบ้อะไรข้าบางอย่างอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ข้างในนั้น ท่านมีอะไรรึเปล่า?”
เซียงกวนยิ้มอย่างขมขื่น “หยานเอ๋อ เจ้ารู้รึเปล่าว่าลูกเขยเจ้าเป็นใคร?”
มู่หลงหยานส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้าคิดว่าบรรพบุรุษน่าจะรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร”
“เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครกล้าจะเอ่ยชื่อถึงในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา” เซียงกวนหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าข้าไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าการที่เขากลายมาเป็นลูกเขยของเจ้ามันเป็นเรื่องดีหรือว่าเป็นเรื่องแย่กันแน่”
เมื่อพูดจบ เซียงกวนก็ส่ายหัวและจากไปปล่อยให้มู่หลงหยานตกอยู่ในอาการตกตะลึงแค่คนเดียว
ที่แท้ก็เป็นเขาเองงั้นเหรอ?
นางเองก็เคยได้ยินเรื่องของคนผู้นี้มาตั้งแต่เด็ก แต่นางไม่คิดเลยว่าปีศาจที่ใคร ๆ ก็ไม่กล้าเอ่ยชื่อจะกลายมาเป็นลูกเขยของนางซะอย่างนั้น
ตอนนี้นางเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกเขยของนางถึงได้มีอุปลักษณะนิสัยที่แปลกแบบนั้น แถมยังมีวิธีการพิสดารมากมายในการกำจัดศัตรู ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ว่าทำไมบรรดาบรรพบุรุษของนางถึงไม่กล้าต่อต้านอะไรหลิงตู้ฉิงเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่หลงหยานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมา เพราะว่าความกังวลทั้งหลายที่นางเคยรู้สึกกลัวว่าหลิงตู้ฉิงจะแก้ไขปัญหาไม่ได้นั้นมันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
จากนั้นนางจึงรีบกลับไปหาเย่ชางคงทันที เพื่อบอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้กับเขาฟัง
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้ก็กำลังพูดกับคนในครอบครัวของเขาอยู่ “เมื่อครู่ตอนที่ข้าใช้พเนจรไร้จำกัดในการต่อสู้ ข้ารู้สึกว่ามันยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ดังนั้นเดี๋ยวถ้าหากข้าปรับปรุงมันเสร็จเมื่อไหร่ข้าจะถ่ายทอดให้พวกเจ้าอีกทีก็แล้วกัน”
หลิงเทียนหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าสับสน “ท่านพ่อ แต่ว่าเมื่อครู่ข้ารู้สึกจริง ๆ นะว่าข้าถูกฆ่าไปแล้ว”
ในความเป็นจริง ทุกคนอาจจะมองว่าเหตุการณ์ตอนที่หลิงเทียนหยุนและจ้าวเหมิงลู่ถูกฆ่านั้นเป็นเพียงแค่ภาพมายา แต่สำหรับพวกเขาทั้งคู่ พวกเขารู้สึกได้จริง ๆ ว่าพวกเขาถูกฆ่าตายไปแล้ว..
ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้มันเกาะกินใจพวกเขาจนอดไม่ได้ที่จะต้องถามหลิงตู้ฉิงให้กระจ่างชัด เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
จ้าวเหมิงลู่ถามขึ้นเช่นกัน “นั่นสิสามี มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “หากจะให้พูดตามจริงก็คือ พวกเจ้าถูกฆ่าไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ แต่ในวินาทีที่พวกเจ้าถูกฆ่า พวกเจ้าก็ได้พลังของข้าช่วยชีวิตเอาไว้”
“พลังในตอนนั้นที่ข้าใช้ก็คือพลังแห่งประกาศิต ซึ่งเป็นในหนึ่งพลังที่ง้าวเทวะพินาศมีอยู่ ภายใต้พลังแห่งประกาศิตนั้นหากข้าไม่ต้องการให้พลังชนิดไหนปรากฏ พลังเหล่านั้นก็จะไม่มีวันปรากฏขึ้นภายในเขตแดนของข้าเด็ดขาด ซึ่งในตอนนั้นข้าได้ทำการปฏิเสธพลังแห่งความตายไม่ให้ดำรงอยู่ในเขตแดน ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าถูกฆ่า พวกเจ้าจึงไม่ถูกความตายมาพรากชีวิตไป”
“แต่ถ้าหากว่าพวกเจ้าทั้งคู่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่านี้ การช่วยชีวิตของพวกเจ้าก็จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นไปอีก”
หลิงเทียนหยุนได้แต่เกาหัว และพูดขึ้นด้วยสีหน้างงงวย “แหะ ๆ ท่านพ่อ ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจสิ่งที่ท่านอธิบายมาสักเท่าไหร่!”
จ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เนื่องจากพวกเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ “งั้นให้ข้าอธิบายแบบนี้ก็แล้วกัน ในสายตาของคนทั่วไปการตายคือการที่ชีวิตของคนผู้นั้นสิ้นลงแล้ว แต่อันที่จริงการตายจริง ๆ คือการที่ดวงวิญญาณของคนผู้นั้นจะต้องถูกดูดไปสู่ยมโลกซะก่อน นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นการตายของแท้”
“ซึ่งสิ่งที่ข้าทำก็คือ ข้าขัดขวางกระบวนการตายของพวกเจ้าด้วยพลังของข้า ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะถูกโจมตีจนสมองระเบิด แต่ข้าใช้พลังของข้าปฏิเสธไม่ให้ดวงวิญญาณของพวกเจ้าถูกดูดลงไปยังยมโลก ดังนั้นพวกเจ้าก็เลยไม่ตาย แต่ถึงแม้ว่าข้าจะมีพลังแบบนี้อยู่ พวกเจ้าก็อย่าได้วางใจว่าข้าจะสามารถช่วยพวกเจ้าไปได้ตลอด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเจ้าควรรีบตั้งใจบ่มเพาะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อที่ในอนาคตมันจะได้ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ คนอื่น ๆ ก็ยังคงรู้สึกไม่เข้าใจอยู่ดี สิ่งเดียวที่พวกเขาแน่ใจก็คือวิธีการของหลิงตู้ฉิงที่ใช้ออกไปนั้นมันไม่ใช่วิธีการที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถเลียนแบบได้แน่นอน
ทางด้านของหมิงยู่ก็ถามขึ้นบ้างเช่นกัน “นายท่าน แล้วการโจมตีด้วยง้าวของท่านนั้นมันคืออะไรกัน ทำไมมันไม่มีใครสามารถหลบหลีกมันได้เลย แถมอาณาเขตสวรรค์ก็ไม่อาจป้องกันมันได้อีกต่างหาก”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ขนาดเรื่องของเขตแดนประกาศิตพวกเจ้ายังไม่เข้าใจ ถ้าให้ข้าอธิบายเรื่องการโจมตีของง้าวเทวะพินาศพวกเจ้าน่าจะยิ่งสับสนไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าถ้าให้พูดง่าย ๆ ก็คือตราบใดที่เป้าหมายอยู่ในระยะที่ข้าสามารถสัมผัสถึงตัวตนได้ ง้าวของข้าจะไม่มีวันพลาดเป้า มีแค่ 2 สิ่งที่เป้าหมายสามารถทำได้เพื่อให้รอดพ้นจากมันก็คือการป้องกันมันด้วยกำลังของตัวเองล้วน ๆ หรือไม่ก็อย่าให้ข้าสัมผัสเจอถึงตัวตนของเขา”
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงงอีกรอบ เพราะพวกเขาไม่ค่อยจะเข้าใจมันอีกเช่นกัน
หลังจากนั้นทุก ๆ คนก็แยกย้ายกันไปเก็บตัวบ่มเพาะกันอย่างเงียบ ๆ ซึ่งมันเงียบซะจนราวกับว่าตัวตนของพวกเขาไม่ได้ดำรงอยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
ส่วนหลิงตู้ฉิงเองก็ใช้เวลาที่เขารอการมาถึงของหลิงฟ่างหัวพยายามฝึกฝนเพื่อชดเชยระดับการบ่มเพาะที่หายไปจากการใช้เขตแดนประกาศิต และในเวลาเดียวกันเขาก็ปรับปรุงเคล็ดวิชาพเนจรไร้จำกัดไปด้วย