พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 727 ตราประทับผนึกวิญญาณ
โม่หยูถังรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่จู่ ๆ หลิงตู้ฉิงก็หยุดเขาไม่ให้ส่งศพของอันซุยคืนไป
“นี่เจ้าจะทำกันเกินไปแล้วนะ!” เฮ่ยอี้ตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาล “ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ธรรมดา แต่ก็อย่าได้ทำให้ข้าไม่มีทางเลือก!”
หลิงตู้ฉิงหันไปหาคนของเขาและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยอธิบายให้พวกเจ้าฟังแล้วใช่ไหมว่าการถูกฆ่ากับการตายมันคนละเรื่องกัน ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดคงคิดว่าอันซุยตายไปแล้ว แต่จริง ๆ แล้วสภาวะของเขาตอนนี้คือแค่ถูกฆ่าเท่านั้น ตอนนี้ข้าคิดวิธีได้เป็นสิบอย่างเพื่อทำให้เขาคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง ดังนั้นหากพวกเจ้าต้องการจะฆ่าใครสักคนให้ตายจริง ๆ พวกเจ้าต้องทำแบบนี้…”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เริ่มท่องบทสวดส่งวิญญาณ
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเฮ่ยอี้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที จากนั้นเขาตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาลว่า “เจ้าทำกันเกินไปแล้ว! ในเมื่อเจ้าบีบให้ข้าจนมุมแบบนี้ถ้างั้นก็อย่าได้โทษข้าที่จำเป็นต้องฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด!”
เมื่อพูดจบ ระดับการบ่มเพาะของเฮ่ยอี้ก็ปะทุขึ้นไปถึงขอบเขตจักรพรรดิในทันที ซึ่งลำพังแค่หยูเจิ้นไห่และหยูคงหมิงคงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้แน่นอน!
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าเองก็นึกว่าเจ้าจะทนได้นานกว่านี้อีกสักหน่อย เป็นไงตอนนี้ทนไม่ไหวแล้วสินะ?”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เรียกง้าวเทวะพินาศจำลองมาถือไว้ ซึ่งหมิงยู่ก็รู้หน้าที่ นางหลอมรวมร่างของนางเข้ากับหลิงตู้ฉิงโดยไม่จำเป็นต้องบอก
“ปล่อยลูกชายของข้าเดี๋ยวนี้!” เฮ่ยอี้พูดขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยรังสีฆ่าฟัน
มันเหมือนกับที่หลิงตู้ฉิงพูดไว้ไม่มีผิด หากเขาได้รับร่างของลูกชายกลับมา เขาจะสามารถใช้วิชาลับของเขาในการคืนชีพให้ลูกชายของเขาได้ แต่ถ้าหากหลิงตู้ฉิงทำลายดวงวิญญาณของลูกชายเขา นั่นจะกลายเป็นว่าลูกชายของเขาต้องตายไปจริง ๆ ซึ่งเขาเองก็หมดหนทางที่จะช่วยได้
ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือก เขาจึงจำเป็นต้องเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา
อย่างมากที่สุดเขาก็แค่ต้องฆ่าพวกของหลิงตู้ฉิงให้หมด และจากนั้นตัวตนของเขาก็จะยังคงไม่ถูกเปิดเผย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและจากนั้นเขาก็โบกมือ ส่งผลให้จู่ ๆ ประตูยมโลกปรากฏขึ้นเหนือร่างของอันซุย จากนั้นดวงวิญญาณของอันซุยก็ถูกประตูยมโลกดูดเข้าไปในทันที และบานประตูก็ปิดลงและค่อย ๆ สลายหายไป…
ตอนนี้อันซุยตายไปแล้วแบบจริงแท้แน่นอน
เมื่อเห็นการกระทำเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิง เฮ่ยอี้ตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาลจนแทบกระอักเลือด “พวกเจ้าทั้งหมดต้องตายไปพร้อมกับลูกของข้า!”
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรพวกข้าได้งั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น “ว่าแต่เจ้าเป็นคนสาขาไหนของตำหนักดับเซียน? เจ้าเป็นผู้พิพากษาอยู่ภายใต้อำนาจของเทพมรณะหมายเลขไหน? อย่าได้พยายามปกปิดความลับนี้ต่อข้าอีก แค่ข้าเห็นเจ้าสามารถใช้ตราประทับผนึกวิญญาณกับลูกชายของเจ้าได้ ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นผู้พิพากษา”
“นี่เจ้ารู้เรื่องตราประทับผนึกวิญญาณได้ยังไง?” สีหน้าของเฮ่ยอี้เปลี่ยนเป็นตกตะลึง แต่รังสีฆ่าฟันของเขากลับยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “เอาเป็นว่าข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับตำหนักดับเซียนของเจ้าเป็นอย่างมากจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็แล้วกัน”
เฮ่ยอี้จ้องไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาอาฆาต “นับจากวันนี้ไป ข้าขอสาบานว่าข้าจะอุทิศชีวิตให้กลายเป็นฝันร้ายของเจ้า ข้าจะฆ่าทุก ๆ คนที่เจ้ารู้จักจนหมดให้ไม่มีเหลืออยู่บนโลกนี้แม้แต่คนเดียว!”
เมื่อพูดจบ ร่างของเฮ่ยอี้ก็ค่อย ๆ จางหายไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะหนี
ในตอนนี้เขาเลือกที่จะไม่สังหารหลิงตู้ฉิง แต่กลับเลือกที่จะหนีไปก่อนเพราะเขารู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ชายคนนี้ที่เขาเผชิญด้วยอยู่ถึงแม้จะมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่สูงเท่าไหร่ แต่กลับมีความคุ้นเคยกับตำหนักดับเซียนเป็นอย่างดี สถานการณ์แบบนี้มันดูแปลกและเสี่ยงเกินไปที่เขาจะลงมือ!
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหนีไปก่อนเพื่อรีบกลับไปแจ้งเรื่องนี้ให้กับเทพมรณะที่ดูแลเขาได้ทราบ และตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับหลิงตู้ฉิง แต่แน่นอนว่าต่อให้เทพมรณะจะตัดสินใจยังไง เขาเองก็ตั้งใจเอาไว้เหมือนกันว่าเขาจะตามฆ่าหลิงตู้ฉิงอีกทีเมื่อเขามีโอกาสแน่นอน
แต่แล้วก่อนที่ร่างของเฮ่ยอี้จะจางหายไปจนสมบูรณ์ หลิงตู้ฉิงก็เขวี้ยงง้าวเทวะพินาศเข้าไปแยกร่างของเฮ่ยอี้ออกเป็น 2 ส่วนภายในพริบตา
“คิดว่าจะหนีรอดเงื้อมมือของข้าไปได้ง่าย ๆ หรือไง?” หลิงตู้ฉิงเย้ยหยันพลางมองไปที่ศพของเฮ่ยอี้ที่ตายตาไม่หลับ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายได้ยังไง ทุกอย่างมันเร็วเกินไป!
“ฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ และทำลายหมู่บ้านราตรีทมิฬอย่าให้เหลือ!” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่งกับทุกคนทันที
อันที่จริง หลิงตู้ฉิงก็ไม่รู้ว่าเฮ่ยอี้เป็นคนของตำหนักดับเซียนตั้งแต่แรก เขารู้เพียงว่าเฮ่ยอี้ซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้
แน่นอนว่าในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ว่าร่างของอันซุยนั้นมีตราประทับผนึกวิญญาณอยู่ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเฮ่ยอี้ที่เป็นคนประทับตรานี้เองหรือไม่
แต่แล้วเมื่อเฮ่ยอี้เปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองและเตรียมจะลงมือ ในตอนนั้นหลิงตู้ฉิงก็รู้ได้ทันทีว่า เฮ่ยอี้ คือผู้พิพากษา เนื่องจากเขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายพลังของพวกสมาชิกตำหนักดับเซียน
แต่มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่หลิงตู้ฉิงเสียดายก็คือ ง้าวเทวะพินาศที่เขาใช้ในการสังหารเฮ่ยอี้มันเป็นแค่ของจำลอง ซึ่งมันไม่สามารถดึงความลับที่อยู่ในร่างของเฮ่ยอี้ได้
ส่วนเหตุผลที่เขาทำลายล้างหมู่บ้านราตรีทมิฬนั้นก็เป็นเพราะในเมื่อเฮ่ยอี้เป็นถึงผู้พิพากษา ดังนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหมู่บ้านราตรีทมิฬจะต้องเป็นแหล่งกบดานหนึ่งของตำหนักดับเซียนแน่นอน เขาจึงจำเป็นที่จะต้องทำลายล้างมันให้หมด
“นายท่านตราประทับผนึกวิญญาณคืออะไรงั้นเหรอ?” โม่หยูถังถามขึ้น
“ตราประทับผนึกวิญญาณคือสุดยอดวิชาลับของพวกตำหนักดับเซียนที่สามารถผนึกให้ดวงวิญญาณไม่สามารถออกจากร่างได้!” หลิงตู้ฉิงอธิบาย “อันที่จริงตอนแรกวิชานี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อไว้ใช้ทรมานเป้าหมายให้ได้รับความเจ็บปวดเหนือจินตนาการ แต่ต่อมาพวกตำหนักดับเซียนก็คิดได้ว่าวิชานี้สามารถเอามาใช้เพื่อรักษาชีวิตของพวกตนเองมันก็ได้เหมือนกัน เพราะผู้ที่ถูกประทับตรานี้ลงไปที่ร่าง ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะถูกฆ่าแต่เขาก็ยังไม่ตายจริง ๆ เพราะวิญญาณของเขายังไม่หลุดออกจากร่างไปยมโลก ดังนั้นตราบใดที่ศพถูกเก็บกู้ไปได้ คนที่มีตราประทับนี้ก็ยังสามารถถูกคืนชีพและมีชีวิตรอดต่อไป แต่ถ้าเป็นสำหรับเป้าหมายหรือศัตรู ต่อให้จะถูกฆ่าไปแล้วเขาก็ยังถูกคืนชีพมาทรมานต่อได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้นจนกว่าผู้ทรมานจะเบื่อไปเอง”
“ท่านพ่อข้าอยากฝึก!” หลิงฟ่างหัวตะโกนขึ้นทันที..
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลูกสาวของเขาด้วยความเหนื่อยใจ “ก็ได้ เดี๋ยวพ่อจะถ่ายทอดให้เจ้าทีหลังก็แล้วกัน”
บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวของเขาคนนี้ถึงได้ชอบวิธีการที่โหดเหี้ยมแบบนี้นัก
หลังจากตอบกลับหลิงฟ่างหัว หลิงตู้ฉิงก็หันไปพูดกับคนอื่น ๆ ต่อ “พวกเจ้าทุกคนต้องจำไว้ให้ดี แค่การฆ่าอย่างเดียวมันไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะต้องตาย ถ้าพวกเจ้าต้องการให้ศัตรูของพวกเจ้าตายจริง ๆ พวกเจ้าต้องทำลายวิญญาณของศัตรูให้สิ้นซาก หรือไม่ก็ส่งวิญญาณของศัตรูไปยมโลก พวกเจ้าเข้าใจกันแล้วใช่ไหม”
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้ารับทราบกันอย่างพร้อมเพรียงพลางคิดในใจว่า ต่อไปหากพวกเขาจะฆ่าใคร พวกเขาคงต้องบดขยี้ทั้งร่างและวิญญาณของเป้าหมายให้แหลกละเอียดไปซะทั้งหมด
แต่แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น อย่างเช่น ดวงวิญญาณของหลิงตู้ฉิงนั้นไม่มีวันที่จะถูกทำลายได้ เนื่องจากมันคือดวงวิญญาณของตัวตนที่เคยเกือบจะกลายเป็นนิรันดร์
หลังจากที่จัดการทำลายหมู่บ้านราตรีทมิฬจนเรียบร้อยแล้ว หลิงตู้ฉิงก็พาทุกคนเดินทางมุ่งหน้าต่อไปที่อาณาเขตอเวจี
ในระหว่างทาง หลิงฟ่างหัวก็พยายามทำความเข้าใจกับวิธีการใช้ตราประทับผนึกวิญญาณ ส่วนหลิงเทียนหยุนก็หลอมรวมชิ้นส่วนของ ‘มายาเที่ยงแท้’ เข้าไปในร่างของตนเองอย่างเงียบ ๆ
ชิ้นส่วนที่ก่อนหน้านี้หลิงเทียนหยุนได้รับมามันมีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น แต่ชิ้นที่เขาได้รับมาจากอันซุยนั้นมีขนาดเกือบเท่าเก้าอี้ ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมร่างแยกของอันซุยถึงมีระดับนักบุญ
“ท่านพ่อทำไมข้ารู้สึกว่า ‘มายาเที่ยงแท้’ มันดูเหมือนจะเป็นผ้าคลุมหรือไม่ก็เสื้อ?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “พ่อเองก็เคยแต่ได้ยินเรื่องราวของมันมาเท่านั้น พ่อไม่เคยเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันหรอก ดังนั้นพวกเราก็คงได้แต่รอจนกว่าจะเก็บชิ้นส่วนของมันได้ครบ จากนั้นพวกเราถึงจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่”
หลิงเทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นเขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “ว่าแต่ท่านพ่อรู้สึกแปลกใจเหมือนข้าไหมว่า ทำไมช่วงนี้พวกเราถึงได้เจอคนของตำหนักดับเซียนติด ๆ กันแบบนี้?”
หลิงตู้ฉิงมองขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นเขาถอนหายใจและพูดว่า “มันคงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตำหนักดับเซียนหรือไม่ก็คงมีใครบางคนที่พยายามจะยืมมือพวกเราในการจัดการกับตำหนักดับเซียน แต่ก็เอาเถอะเพราะรางวัลแต่ละครั้งที่พวกเรากำจัดคนเหล่านี้ได้มันก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยเหมือนกัน”