พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 765 ปฏิเสธไม่ให้เข้าดินแดนศักดิ์สิทธ
ทั้งอุลบา ทั้งอัจฉริยะผู้มาจากเผ่าปีศาจโลหิตต่างรู้สึกตะลึงงัน เมื่อรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างอยากยอมแพ้เหมือนกัน
“ทักษะการควบคุมสายเลือดในร่างศัตรูของเจ้านั้นน่ากลัวเป็นอย่างมากและเจ้าก็รู้ว่าในร่างของข้ามีเลือดอยู่ ดังนั้นข้าคิดว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้หรอก!” หลังจากหายตกตะลึง อุลบาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “และที่สำคัญต่อให้ข้าไม่มีแต้มนี้ ข้าก็ได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว”
อุลบาไม่ได้กลัวว่าสายเลือดมนุษย์หิน ปีศาจยักษ์หรือสายเลือดวิญญาณอเวจีจะถูกควบคุม แต่ที่เขากลัวก็คือสายเลือดทรราชสวรรค์จะถูกควบคุมต่างหาก
หากสายเลือดทรราชสวรรค์ถูกควบคุม มันมีความเป็นไปได้สูงที่สายเลือดทั้งหมดมันจะปะทะกันอีกรอบ ซึ่งหลังจากนั้นเขาจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่
อัจฉริยะเผ่าปีศาจโลหิตยิ้มและตอบกลับ “ข้าควบคุมพลังสายเลือดเจ้าได้ก็จริง แต่เจ้ายังมีพลังจิตที่ข้าสู้ไม่ได้อยู่ แถมพลังจิตของเจ้ายังเหนือกว่าของเหมิงชิวปิงอีกต่างหาก ดังนั้นมันควรจะเป็นข้าต่างหากที่สู้เจ้าไม่ได้ และที่สำคัญตอนนี้คะแนนของข้าก็น่าจะมีเพียงพอที่จะเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าจงเอาคะแนนนี้ไปและรักษาสถิติชนะรวดไปเถอะ”
“ในบรรดาผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้โดยถือสถิติชนะรวด 99 ครั้งนั้นมีน้อยมากและทุกคนที่ทำได้ต่างก็มีชื่อเสียงกันในอนาคตทั้งนั้น ข้าอยากจะให้เจ้าเป็นหนึ่งในนั้น แต่ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเราเจอกันอีก หากข้าจะขอคำชี้แนะหรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าบ้าง ข้าหวังว่าเจ้าคงสนใจข้าบ้างก็แล้วกัน”
อัจฉริยะเผ่าปีศาจโลหิตรู้ตัวดีเช่นกันว่าถึงแม้เขาจะสามารถควบคุมสายเลือดของอุลบา ได้ แต่อุลบาก็ยังสามารถโจมตีเขาได้ด้วยพลังจิต ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องพลังจิต มันคือจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของเผ่าเขาเองเช่นกัน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวไปหรอก ข้ารู้ขีดจำกัดของข้าดี!” อัจฉริยะเผ่าปีศาจโลหิตหัวเราะอย่างบริสุทธิ์ใจ “ว่าแต่ข้ารู้จักชื่อของเจ้าแล้วแต่เจ้าคงยังไม่รู้จักชื่อของข้า ชื่อของข้าคือ หวางหมิงไห่ ข้าหวังว่าเมื่อเราพบกันอีกในดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกเราจะได้เป็นสหายกัน!”
อุลบาส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องรอเข้าไปถึงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือที่ไหนทั้งนั้น นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้ากับข้าพวกเรามาเป็นสหายกันเลย!”
ที่ด้านล่างเวที เมื่อมี่ไลเห็นการกระทำแบบนี้ของอุลบา นางก็ส่ายหัวและพูดว่า “สามี ศิษย์ของท่านนี่บ้าจริง ๆ ที่จู่ ๆ ก็รับใครก็ไม่รู้ที่เขายังไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อยมาเป็นสหายง่าย ๆ แบบนี้ ขืนเขายังทำตัวแบบนี้ต่อไปในอนาคตเขาจะถูกล่อลวงได้ง่าย ๆ และต้องตายอย่างอนาถแน่นอน!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าสอนแนวทางการบ่มเพาะและประสบการณ์การต่อสู้ได้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นเขาจะต้องเรียนรู้เอาเอง ซึ่งถ้าหากเขาจะตายเพราะเรื่องแบบนี้จริง ๆ ข้าก็คงได้แต่ทำใจยอมรับ เอาล่ะตอนนี้พวกเรารอส่งเขาเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันจะดีกว่า”
ในเมื่ออุลบาได้ที่ 1 แบบนี้ เขาจะต้องได้เข้าไปเจอกับผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยตรงแน่นอน และเมื่อเป็นแบบนั้นแผนการของหลิงตู้ฉิงก็จะสำเร็จอย่างงดงามและอุลบาก็จะไม่มีความเสี่ยงที่จะตาย
หลิงตู้ฉิงรู้ดีว่าผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่คนเลือดเย็นอะไรนัก และเมื่อเขาส่งตัวหลิงเทียนหยุนไปให้กับผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรหลิงเทียนหยุนอีก
ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้ที่ด้านบนเวทีก็เริ่มบางตาลง นอกเหนือจากพวกที่แน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอนก็เหลืออีกประมาณ 30 กว่าคนที่ยังคงรอให้ผู้ดูแลการคัดเลือกประกาศจัดอันดับอีกที
ที่เป็นเช่นนี้เพราะคะแนนของบางคนยังก้ำกึ่งและพวกเขาก็ไม่เห็นคะแนนของคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่รอการประกาศผลอย่างเป็นทางการเท่านั้น
หลังจากที่การต่อสู้ของคู่สุดท้ายจบลง ผู้ดูแลการคัดเลือกก็ประกาศผลการจัดอันดับในทันที “การคัดเลือกสิทธิ์ในการเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้จบลงแล้ว ข้าขอประกาศ 10 อันดับแรกของผู้ที่จะได้รับสิทธิ์เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ อันดับที่หนึ่ง อุลบา 99 คะแนน! อันดับสอง เหมิงชิวปิง 97 คะแนน ….อันดับสี่ หวางหมิงไห่ … อันดับเก้า เหยาเจิ้งคุน ส่วนอันที่สิบในขณะนี้ยังคงไม่อาจตัดสินได้เพราะมี 2 ผู้เข้าคัดเลือกคะแนนเท่ากัน ซึ่งก็คือ โม่หยุน จากเผ่าปีศาจสวรรค์ และ ชิวเจี้ยนปิง จากเผ่าปีศาจสมุทร เอาล่ะพวกเจ้าทั้งคู่ต้องสู้กันอีกรอบ และผู้ชนะจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้เข้าคัดเลือกที่เหลือพวกเจ้าจงลงไปจากเวทีแห่งนี้กันได้แล้ว!”
นอกเหนือจากผู้ที่ถูกขานชื่อ คนอื่น ๆ ต่างก็เดินลงจากเวทีด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่อยากยินยอม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำผิดกฎของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพราะบทลงโทษนั้นรุนแรงสาหัสเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว
ทางด้านของ 11 คนที่ถูกขานชื่อ นอกเหนือจากโม่หยุนและชิวเจี้ยนปิงที่กำลังมีสีหน้ากังวล คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าเปี่ยมสุขออกมาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพวกเขาได้รับการขานชื่อยืนยันแล้วว่าพวกเขาจะได้เข้าไปด้านในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
จากนั้นทุกคนก็ถอยไปยืนข้าง ๆ ปล่อยให้โม่หยุนและชิวเจี้ยนปิง เริ่มการประลองกัน
โม่หยุนจ้องหน้าชิวเจี้ยนปิง และพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าก็แพ้ให้กับข้าไปแล้ว ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรที่พวกเราต้องสู้กันอีก? ทำไมเจ้าไม่ยอมแพ้ให้ข้าไปแต่โดยดีเพื่อที่พวกเราทั้งคู่จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บตัว และอีกอย่างขืนพวกเราสู้กันต่อไปมันมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเราอาจจะตายทั้งคู่”
หากเขาสามารถชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องสู้ โม่หยุนเองก็ไม่อยากจสู้ให้เกิดความเสี่ยงกับชีวิตของเขาเหมือนกัน
“ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้!” ชิวเจี้ยนปิงพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “การประลองก่อนหน้านี้ที่ข้าแพ้เจ้าเพราะว่าข้ายังไม่ทุ่มสุดตัว แต่ในเมื่อตอนนี้ข้าไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะใช้บทเพลงแห่งปีศาจสมุทรให้เต็มความสามารถที่ข้ามีสู้กับเจ้า และพวกเรามาดูกันว่าใครจะได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”..
โม่หยุนเมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเขาก็กลายเป็นเคร่งเครียดในทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่เขาประลองกับชิวเจี้ยนปิง เขาก็โดนบทเพลงแห่งปีศาจสมุทรเล่นงานเหมือนกัน ซึ่งภาพหลอนจากผลของทักษะของนางยังตราตรึงอยู่ในหัวเขาอยู่เลย
ถ้าหากเมื่อครู่ไม่เป็นเพราะหนึ่งในคนของเขาที่ดูการประลองอยู่แอบช่วยทำให้เขาคืนสติมา เขาก็คงแพ้ไปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ตอนนี้เมื่อมีคนดูเยอะขนาดนี้ เล่ห์กลที่เขาเคยใช้เมื่อครู่มันจึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป
โม่หยุน ซึ่งไม่รู้จะใช้วิธีไหนในการรับมือเหมือนกัน เขาจึงทำได้แต่สยายปีกออกและกระพือบินซัดลมความเร็วสูงเพื่อทำลายจังหวะการร้องเพลงของเจี้ยนชิวปิง
ส่วนทางด้านของเจิ้ยนชิวปิง เมื่อนางเปิดปากออกมันกลับไม่มีเสียงใด ๆ เปล่งออกมาให้ได้ยิน แต่มันกลับเป็นคลื่นความถี่เสียงที่ถูกปลดปล่อยออกมาพุ่งไปหาโม่หยุน
“นี่มันท่วงทำนองคลื่นซัดสาด โม่หยุนคงไม่ไหวแน่นอน” ผู้พิทักษ์เต๋าของโม่หยุนได้แต่ยืนมองพลางถอนหายใจ “ท่วงทำนองคลื่นซัดสาดนี้มีอำนาจอยู่ในระดับสวรรค์สามัญเข้าไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่โม่หยุนจะสามารถทานทนได้ เพื่อการเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจสมุทรน้อยนางนี้ถึงขั้นลงทุนยอมแขวนชีวิตของตัวเองบนเส้นด้ายเลยทีเดียว”
ผู้อาวุโสของเผ่าปีศาจสวรรค์คนอื่น ๆ ต่างก็ถอนหายใจเช่นกันเพราะพวกเขารู้แล้วว่านี่เป็นศึกที่โม่หยุนไม่อาจชนะได้
ท่วงทำนองคลื่นซัดสาดนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พลังของคลื่นเสียงที่อันตราย แต่มันยังแฝงไว้ด้วยพลังของกฎธาตุวารี
โม่หยุนอาจจะทำได้ดีที่สุดก็คือการต้านทานคลื่นเสียงได้ แต่เขาคงต้านพลังของคลื่นน้ำไม่ได้แน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคลื่นวารีซัดเข้าถึงตัวโม่หยุนเมื่อไหร่ น้ำจะช่วยนำพาคลื่นเสียงตรงเข้าไปในหัวของโม่หยุนทันที และทำให้เขาเกิดอาการเห็นภาพหลอน
การที่ใครจะสามารถต้านทานท่วงทำนองคลื่นซัดสาดได้นั้น คนผู้นั้นจะต้องลบล้างพลังแห่งกฎได้พร้อม ๆ กัน 2 ประเภท ซึ่งแน่นอนว่าโม่หยุนไม่อาจทำได้
และก็เป็นอย่างที่คาด เมื่อคลื่นน้ำปรากฏและซัดเข้าถึงตัวของโม่หยุน เขาก็ตกอยู่ในสภาวะเห็นภาพหลอนในทันที
ในตอนนี้มันนับได้ว่าโม่หยุนหมดสภาพที่จะสู้ต่อได้แล้วแน่นอน หากชิวเจี้ยงปิงอยากจะให้โม่หยุนฆ่าตัวตายในตอนนี้ นางก็สามารถทำได้ง่าย ๆ แค่เพียงใช้ความคิดของนางเท่านั้น
ผู้ดูแลการคัดเลือกซึ่งเป็นเผ่าเดียวกับโม่หยุน เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ก็พ่นลมหายใจด้วยสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นเขาปลุกโม่หยุนขึ้นจากสภาวะเห็นภาพหลอน และตะโกนขึ้นทันทีว่า “อันดับที่สิบ ชิวเจี้ยนปิง!”
ชิวเจี้ยนปิงเมื่อได้ยินประกาศเช่นนี้ นางก็หยุดใช้ท่วงทำนองคลื่นซัดสาดทันทีและจากนั้นนางก็หมดสติไปทั้งรอยยิ้ม
แน่นอนว่าเหตุผลที่นางหมดสติไปก็เพราะนางใช้พลังที่เกินขีดจำกัดของตัวเอง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่นางจะต้องได้รับผลกระทบ
ส่วนทางด้านโม่หยุน เมื่อเขาถูกปลุกแล้ว ร่างกายของเขาก็ยังคงไม่หยุดสั่น จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ กายด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
การคัดเลือกรอบนี้ทุกอย่างล้วนเป็นใจกับเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้ดูแลการคัดเลือกที่เป็นบรรพบุรุษของเขาหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเตรียมการให้คนจากเผ่าอื่น ๆ ช่วยเขาอีกต่างหาก แต่ในท้ายที่สุดเขากลับพลาดสิทธิ์ในการเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าอนาถ
โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เปี่ยมสุขของอุลบา เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกเพราะก่อนหน้านี้มันเป็นเขาเองที่โอ้อวดไปว่าอุลบาจะไม่มีทางได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
แต่ตอนนี้มันกลับเป็นเขาเองที่ไม่ได้เข้าไป แต่อุลบากลับได้ที่หนึ่งไปครองอีกต่างหาก
“โม่หยุน เจ้ายังรออะไรอยู่อีก รีบลงจากเวทีไปซะ!” ผู้ดูแลการคัดเลือกตะโกนขึ้น
ภายใต้การจ้องมองจากเหล่าผู้คนมากมาย ถึงแม้ว่าเขาจะอยากให้อัจฉริยะในเผ่าของเขาเข้าไปด้านในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากขนาดไหนเขาก็ไม่อาจทำได้
“บรรพบุรุษ ข้าคิดว่าใครบางคนที่ได้รับสิทธิ์เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีปัญหา!” โม่หยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ยินยอม เขาต้องการที่จะลองพยายามอีกสักตั้งเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ “ข้าคิดว่าคนที่มีปัญหาผู้นั้นก็คือ อุลบา! เขาจะต้องเป็นคนที่พวกเผ่าอสูรส่งมาแน่นอนเพื่อให้เข้าไปบ่อนทำลายความสงบในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเราถึงไม่เคยเห็นคนที่มีสายเลือดแปลก ๆ แบบเขาเลย? ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องความสงบสุขของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าเห็นว่าพวกเราไม่ควรที่จะให้เขาได้รับสิทธิ์เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็มองโม่หยุนด้วยสายตาตกตะลึงเพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนที่หน้าหนาขนาดนี้?
แม้แต่บรรพบุรุษของโม่หยุนเอง ซึ่งเป็นคนดูแลการคัดเลือกก็ยังตกตะลึงกับความหน้าหนาของทายาทของเขา
แต่แล้วเมื่อเขาคิดไปคิดมา เขาเองก็ใช้ข้ออ้างนี้ได้เหมือนกัน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้ดูแลการคัดเลือกจึงพยักหน้าและพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล! ที่มาของอุลบาเองก็ไม่ค่อยจะชัดเจนสักเท่าไหร่ ดังนั้นการจะให้เขาเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้มันอาจจะมีความเสี่ยงได้ ดังนั้นข้าขอประกาศแก้ไขอีกรอบว่าสิทธิ์ในการเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอุลบาถูกเพิกถอน!”