พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 776 วิหารภูตดิน
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เหล่าภูตดินด้วยสีหน้าจนใจ และไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี
หากภูตดินเหล่านี้ต่อต้านเขาต่อ เรื่องมันจะจบลงง่ายมากเพราะเขาก็แค่ฆ่าพวกภูตดินเหล่านี้ให้ตาย ๆ ไปซะให้หมดก็แค่นั้น
ตอนนี้ไม่ใช่แค่บรรดาภูตดินเหล่านี้ไม่ต่อต้านเขา เหล่าภูตดินกลับกลายเป็นแสดงท่าทีเคารพและสุภาพต่อเขาราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้ายังไงหยั่งงั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะลงมือต่อได้ยังไง?
ที่สำคัญด้วยความสามารถเต๋าอารมณ์ของเขา เขากลับบอกได้อีกว่าภูตดินเหล่านี้ไม่ได้โกหกเขาเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสับสนอยู่ดีว่าไอ้ผู้ส่งสาสน์ของพระเจ้าที่เหล่าภูตดินพูดถึงและนับถือนักนับถือหนามันคืออะไร?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก หลิงตู้ฉิงจึงพูดขึ้นว่า “อันดับแรกพาข้าไปสถานที่ที่มีพลังธาตุดินหนาแน่นที่สุดก่อน ข้าต้องการที่จะบ่มเพาะร่างกายของข้า!”
ไม่ว่าผู้ส่งสาสน์นั่นมันคืออะไร อันดับแรกเขาต้องบ่มเพาะร่างกายของเขาให้เสร็จก่อน
เหล่าภูตดินรีบตอบกลับทันที “เชิญตามพวกเรามาได้เลยท่านผู้ส่งสาสน์ สถานที่ที่มีพลังธาตุดินอยู่หนาแน่นที่สุดก็คือวิหาร ซึ่งอยู่ใจกลางอาณาเขตเหยาชานของพวกเรา!”
“อืม งั้นจงนำทางข้าไปเดี๋ยวนี้!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง บรรดาภูตดินก็รีบกุลีกุจอนำทางหลิงตู้ฉิงไปยังวิหารของพวกเขาในทันที โดยใช้พลังธาตุดินเคลื่อนแผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่มุ่งหน้าไปที่วิหารด้วยความเร็วที่เร็วเหนือกว่าหลงเฉินบินซะอีก
ไม่นานต่อมาทุกคนก็เดินทางมาถึงเนินดินสูง ซึ่งมีวิหารสีทองอร่ามตั้งอยู่บนยอดอย่างโดดเดี่ยว
“ท่านผู้ส่งสาสน์ สถานที่แห่งนี้นับได้ว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเผ่าภูตดิน วิหารที่ท่านเห็นอยู่บนยอดเนินดินนั้นคือสถานที่ที่มีพลังธาตุดินหนาแน่นที่สุดในอาณาเขตเหยาชาน!” ภูตดินชราหรือก็คือผู้นำของเผ่าภูตดิน อธิบายสถานที่ด้วยท่าทีเคารพ
“อืม!” หลิงตู้ฉิงมองไปยังวิหารที่อยู่บนเนินดินสูงราวกับภูเขาและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เพราะเขาสัมผัสได้เช่นกันว่าสถานที่แห่งนี้มีพลังธาตุดินสถิตอยู่หนาแน่นจริง ๆ จากนั้นเขาหันมาพูดกับภูตดินชราว่า “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?”
ภูตดินชรารีบตอบกลับทันที “เรียนท่านผู้ส่งสาสน์ ข้าผู้ต่ำต้อยมีนามว่า ซวนหยวนตู่! สมาชิกเผ่าภูตดินทั้งหมดล้วนใช้แซ่เดียวกันหมดคือ ซวนหยวน และตอนนี้สมาชิกเผ่าของพวกเราทุกตนล้วนอาศัยอยู่แต่ในอาณาเขตเหยาชาน ซึ่งถ้านับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษมาพวกเราอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าล้านปีแล้ว และเพื่อคงความบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ พวกเราจึงไม่เคยที่จะมีคู่เป็นสายพันธุ์อื่น ๆ มาก่อน”
“ตั้งแต่ข้าเกิดมามีจำนวนนับครั้งได้ที่คนของเผ่าข้าจะเดินทางออกไปติดต่อกับเผ่าอื่นเพื่อทำธุระที่จำเป็น และถ้าหากไม่ใช่ธุระที่คอขาดบาดตายจริง ๆ พวกเราก็จะไม่อนุญาตให้คนนอกย่างกรายเข้ามาในดินแดนของพวกเราเด็ดขาด แต่แน่นอนว่าสำหรับท่านผู้ส่งสาสน์และคณะของท่านย่อมเป็นข้อยกเว้นที่พวกเราเต็มใจ”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยสีหน้าจนใจและถามว่า “ข้าไม่เคยมาเยือนดินแดนของเจ้าหรือเคยเจอบรรพบุรุษของพวกเจ้าเลยสักครั้ง ดังนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย ทำไมเจ้าถึงมั่นใจนักว่าข้าเป็นผู้ส่งสาสน์อะไรนั่น?”
ในมุมมองของหลิงตู้ฉิง หากเขาจะเป็นผู้ส่งสาสน์หรือผู้กอบกู้ของภูเขาฟีนิกซ์หรือกองกำลังอื่น ๆ ที่เขาเคยเดินทางไปในอดีตมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่สำหรับภูตดินเหล่านี้ที่เขาไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจะกลายมาเป็นผู้ส่งสาสน์ของภูตเหล่านี้ได้ยังไง? และที่สำคัญการปรากฏตัวของเขามันช่างประจวบเหมาะกับในเวลาที่ภูตดินเหล่านี้กำลังจะสูญพันธุ์อีกต่างหาก
หรือจะเป็นไปได้ไหมว่าเขาถูกจัดฉากโดยพวกที่อยู่เบื้องบนอีกแล้ว?
ซวนหยวนตู่ส่ายหัว “บรรพบุรุษของพวกเราได้ทำนายเอาไว้นานมากแล้วว่าท่านจะปรากฏตัวขึ้น ซึ่งอันที่จริงพวกเราเองก็มีความคิดที่จะออกไปตามหาท่านเหมือนกัน แต่ด้วยเบาะแสที่บรรพบุรุษให้ไว้มีเพียงแค่ให้เรารอท่านมาปรากฏกายที่นี่ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แต่รอท่านอย่างอดทนหวังให้ท่านปรากฏกายขึ้นเร็ว ๆ เพื่อช่วยเหลือพวกเรา”
“หะ?” หลิงตู้ฉิงแสดงสีหน้าประหลาดใจ “บรรพบุรุษของเจ้าทำนายไว้นานแล้วงั้นเหรอ?”
นี่มันมีคนที่ทำนายได้ว่าเขาจะมาที่นี่นานมากแล้วงั้นเหรอ?
ซวนหยวนตู่พยักหน้า “ใช่แล้วท่านผู้ส่งสาสน์ หลักฐานที่บรรพบุรุษของข้าทำนายไว้ยังอยู่ในวิหารอยู่เลย เมื่อท่านเข้าไปด้านในวิหารท่านก็จะเห็นมันเองทั้งหมด แต่วิหารของพวกเราเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเผ่าภูตดิน ดังนั้นนอกจากพวกเราแล้วก็มีแต่ท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในวิหารได้ ดังนั้นข้าจึงต้องขออภัยด้วยที่คณะของท่านคงต้องรออยู่ด้านนอกก่อน”
หลิงตู้ฉิงหรี่ตามองภูตดินชราและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เจ้าต้องทำให้แน่ใจว่าในระหว่างที่คนของข้ารออยู่ข้างนอกมันจะต้องไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นวันนี้คือวันสุดท้ายที่ทั้งเผ่าของเจ้าจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”
ซวนหยวนตู่รีบตอบกลับทันที “โธ่ท่านผู้ส่งสาสน์ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้นเลย ในฐานะที่พวกเขาเป็นคนของท่าน มันก็เท่ากับว่าพวกเขาเป็นสหายของเรา ดังนั้นพวกเราจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีที่สุดในฐานะแขกคนสำคัญของเผ่าเรา”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาจึงหันไปสั่งให้คนของเขาตั้งที่พักชั่วคราวรอเขาอยู่ตรงนี้ก่อน ส่วนตัวเขาเองก็เดินตามซวนหยวนตู่ขึ้นไปยังวิหารที่ตั้งอยู่บนยอดเนินดินสูง
แต่แล้วในทันทีที่หลิงตู้ฉิงเดินเข้าไปด้านในวิหาร เขาก็รู้ได้ว่าจริง ๆ แล้วภายในวิหารของเผ่าภูตดินนั้นคือมิติที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งความกว้างขวางของมันนั้นใหญ่พอ ๆ กับวิหารศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น หลิงตู้ฉิงยังเห็นจิตรกรรมที่อยู่บนผนัง ซึ่งเป็นรูปของตัวเขาเองเต็มไปหมดและที่สำคัญจิตรกรรมพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งถูดวาดขึ้นขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ จากที่เขาลองเพ่งดูพวกมันเขาก็บอกได้ว่าพวกมันวาดขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายแสนปีมาแล้ว!
ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือคำทำนายที่บอกว่าหลิงตู้ฉิงจะมาที่นี่นั้นได้ถูกทำนายไว้เป็นแสนปี ซึ่งมันก่อนที่เขาจะเกิดด้วยซ้ำ
“นายท่าน จิตรกรรมทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บรรพบุรุษของข้าวาดขึ้นมาเองกับมือและบรรพบุรุษยังบอกอีกว่ามีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพาเผ่าพันธุ์ของข้าหลุดพ้นจากหายนะได้” ซวนหยวนตู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อันที่จริงนอกเหนือจากเรื่องของท่าน บรรพบุรุษของข้าก็ทำนายเรื่องต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอาณาเขตเหยาชานไว้มากมาย ซึ่งทุกคำนายต่างก็เกิดขึ้นจริง ๆ ก่อนหน้าที่ท่านจะมาถึงไปจนหมดแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็กวาดสายตามองไปที่ภาพจิตรกรรมบนผนังภาพอื่น ๆ ซึ่งทำนายเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอาณาเขตเหยาชาน
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาถามขึ้นว่า “บรรพบุรุษของเจ้าตนไหนที่เป็นคนทำนายเหตุการณ์พวกนี้? หรือว่าแต่ละคำทำนายเหล่านี้ถูกทำนายขึ้นจากบรรพบุรุษหลายตน?”
ซวนหยวนตู่ส่ายหัว “ทุกคำทำนายล้วนถูกทำนายขึ้นด้วยบรรพบุรุษคนเดียวกันทั้งหมด แต่บรรพบุรุษผู้ที่ทำนายเรื่องราวเหล่านี้นั้นได้สิ้นใจไปแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ เขาได้สั่งพวกเราไว้ว่าหากผู้ส่งสาสน์มาถึง ให้พวกเราพาท่านผู้ส่งสาสน์มาดูร่างของเขา ซึ่งหลังจากที่เขาสิ้นใจพวกเราก็ได้นำร่างของเขามาเก็บไว้ในวิหารแห่งนี้เช่นกัน หากท่านผู้ส่งสาสน์ไม่รังเกียจ ข้าขอพาท่านไปดูร่างบรรพบุรุษของข้าตอนนี้เลยก็แล้วกัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืมพาข้าไปดูได้เลย”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าตัวตนแบบไหนกันที่รู้ว่าเขาจะมาที่นี่ตั้งแต่เขายังไม่เกิดด้วยซ้ำ? และพลังที่ตัวตนนั้นใช้ทำนายมันคือพลังอะไร?
ไม่นานต่อมา ซวนหยวนตู่ก็พาหลิงตู้ฉิงเดินลัดเลาะเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งมีแท่นหินวางอยู่ตรงกลางห้อง
บนแท่นหินนั้นมีร่างของภูตดินที่แห้งเหี่ยวนอนมองดวงดาวที่ประดับประดาอยู่บนเพดานห้องโดยไร้ซึ่งลมหายใจ
“ท่านผู้ส่งสาสน์ นี่คือบรรพบุรุษของข้าผู้ที่ทำนายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตัวของเขาเองก่อนที่เขาจะตาย” ซวนหยวนตู่พูดขึ้นพลางโค้งคำนับไปยังศพบรรพบุรุษของเขา “เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราท่านนี้ที่ทำนายเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเอาไว้จนทุกครั้งที่พวกเราเผ่าภูตดินเผชิญกับหายนะ พวกเราก็สามารถรอดพ้นมาได้ทุกครั้งไป ดังนั้นเขาจึงเป็นบรรพบุรุษที่พวกเราเคารพที่สุดท่านหนึ่ง”
หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่ร่างของบรรพบุรุษภูตดินที่ตายไปแล้วอยู่สักพัก จากนั้นแววตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นและพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “อันที่จริงข้ามีวิธีการช่วยเหลือเผ่าของเจ้าให้รอดพ้นจากการสูญพันธุ์อยู่เหมือนกัน แต่ว่าข้าต้องการใช้มหาวิถีเต๋าธาตุดินของพวกเจ้าก่อน และพวกเจ้าต้องยอมมอบร่างบรรพบุรุษของเจ้าให้ข้าด้วย!”