พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 811 ปรับทัศนคติอุลบา
หลิงตู้ฉิงยุ่งอยู่กับการสร้างมหาค่ายกลจนหัวหมุน ในระหว่างที่คนอื่น ๆ เองก็ยุ่งอยู่กับธุระของตนเองเช่นกัน
โดยเฉพาะหลิงฟ่างหัวได้ออกเดินทางไปยังอาณาเขตเหยาชานเรียบร้อยแล้วพร้อมกับซวนหยวนตู่และหยูเจิ้นไห่ เพื่อไปช่วยเหล่าภูตดินสร้างประตูเคลื่อนย้าย ซึ่งบรรดาภูตดินที่เหลือนั้น ซวนหยวนตู่ได้สั่งให้พวกเขารั้งอยู่ที่อาณาจักรจันทราเพื่อความปลอดภัย
ภูตดินทุกตนตอนนี้ต่างมีสีหน้าที่เบิกบานสุดขีด เนื่องจากในเวลานี้เหล่าหญิงสาวจากเผ่าต่าง ๆ ที่พวกเขาขอแต่งงานด้วยนั้นให้กำเนิดทายาทกันจนหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เหล่าภูตดินยิ่งเบิกบานมากขึ้นไปอีกก็คือหลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงอาณาจักรจันทรา หลิงยี่เทียนได้จัดงานดูตัวให้กับเหล่าภูตดินเพื่อให้เหล่าหญิงสาวมนุษย์ลองมาเลือกพวกเขา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็มีหญิงสาวชาวมนุษย์หลายคนตกลงปลงใจเป็นภรรยาของพวกเขาเช่นกัน
ถึงแม้ว่าพวกภูตดินจะมีรูปร่างเหมือนลิง แต่ถ้าหากพวกเขาแสดงกิริยาเหมือนกับมนุษย์และแต่งตัวดี ๆ หน่อย สภาพของพวกเขาก็พอรับได้ในสายตาของมนุษย์บวกกับจุดเด่นเรื่องความแข็งแกร่ง หญิงสาวหลายคนจึงเต็มใจลองคบหากับพวกเขาดู
ท้ายที่สุดหลังจากแต่งงานไปเพียงแค่ 3 ปี เหล่าหญิงสาวชาวมนุษย์ทั้งหลายก็ให้กำเนิดทายาทคนแรก ซึ่งเป็นสายเลือดผสมระหว่างมนุษย์และเผ่าภูตดินขึ้นมา
เด็กผู้นั้นมีรูปร่างเป็นเหมือนมนุษย์ไม่มีผิดจะแตกต่างก็ตรงที่เขามีหางยาวของลิงงอกออกมาตรงก้นและยังมีความสามารถในการควบคุมพลังธาตุดิน
หลังจากที่เด็กน้อยสายเลือดผสมมนุษย์และภูตดินคนแรกกำเนิดขึ้น เหล่าภูตดินนั้นดีใจจนน้ำตาไหล พวกเขารีบพาตัวเด็กคนนั้นมาหาหลิงตู้ฉิงเพื่อให้เขาตั้งชื่อ ซึ่งเด็กผู้นั้นก็ได้รับชื่อว่า ซวนหยวนฉู่
ส่วนหญิงสาวชาวมนุษย์ที่ให้กำเนิดเด็กน้อยสายเลือดผสมมนุษย์และภูตดินคนแรก เหล่าภูตดินต่างยกย่องให้สถานะนางเป็นชนชั้นสูงของเผ่าพร้อมกันนั้นพวกเขาต่างมอบสมบัติมากมายให้กับครอบครัวของหญิงสาวผู้นี้เพื่อเป็นการตอบแทน
แต่แล้วเมื่อข่าวการกระทำเช่นนี้ของภูตดินแพร่กระจายออกไป มันส่งผลทำให้เหล่าหญิงสาวชาวมนุษย์คนอื่น ๆ ในอาณาจักรจันทราที่ในตอนแรกไม่สนใจเหล่าภูตดินก็เริ่มหันมามองพวกเขาใหม่และหลาย ๆ คนก็กลายเป็นมีความปรารถนาที่จะแต่งงานกับเหล่าภูตดินหนุ่มจนตัวสั่น
แน่นอนว่าเหล่าภูตดินไม่ปฏิเสธพวกนางเลยสักคน หญิงสาวชาวมนุษย์คนไหนที่เข้ามาหาพวกเขาต่างรับพวกนางเอาไว้ทั้งหมด และจ่ายสินสอดจนมือเป็นระวิง ซึ่งสินสอดเหล่านั้นอันที่จริงไม่ใช่ของเหล่าภูตดิน พวกเขาได้ยืมมันมาจากหลิงยี่เทียนก่อน จากนั้นเมื่อประตูเคลื่อนย้ายสร้างเสร็จเมื่อไหร่พวกเขาถึงจะสามารถเอาสมบัติที่อยู่ในเผ่าของพวกเขามาชดใช้คืนให้
เรื่องราวของเหล่าภูตดินนั้นเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่มันก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรจันทรา และน่าสนใจไม่แพ้กัน
เรื่องนั้นก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุลบา
อุลบาติดตามหลิงตู้ฉิงเพื่อบ่มเพาะเป็นเวลานานแล้วจนตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาได้ก้าวขึ้นมาอยู่ขอบเขตนภาขั้นสูงสุด ซึ่งเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงไปถึงระดับสวรรค์สามัญ
ในตอนแรกที่เขาเดินทางมาถึงอาณาจักรจันทราและได้เห็นเหล่ามนุษย์มากมายที่มีร่างกายอันสุดแสนจะบอบบาง เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะนึกดูแคลนในใจ
“หากข้ามีแขนขาลีบแบบนั้นข้าขอยอมตายซะจะยังดีกว่า!” อุลบารำพึงอยู่ในใจ
โชคดีที่เขายังมีหลิงตู้ฉิงเป็นแบบอย่างอยู่ในใจ ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็ดูเป็นเผ่ามนุษย์เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดคำนี้ออกมาดัง ๆ พยายามข่มมันไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้ามากที่สุด
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามข่มความคิดและสีหน้าของเขามากแค่ไหน เหล่าลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง และคนอื่น ๆ ก็ยังคงดูออกอยู่ดีว่าอุลบารู้สึกยังไง ดังนั้นหยิงยู่ชาน เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหัวและพูดว่า “อุลบา เจ้ามาฝึกกับพวกข้ามา!”
อุลบาหัวเราะ “คุณชายใหญ่ ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะจำเป็นหรอกมั้ง? และอีกอย่างหากข้าพลั้งมือทำท่านบาดเจ็บขึ้นมา เดี๋ยวอาจารย์ก็มาเล่นงานข้าพอดี”
หลิงยู่ชานหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า อุลบา หากเจ้าสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ไม่เพียงแค่พ่อของข้าจะไม่ตีเจ้า แต่ข้ามั่นใจว่าเขายังจะให้รางวัลเจ้าด้วยอีกต่างหากข้ารับรอง!”..
หลิงยู่ชานเป็นกังวลในเรื่องทัศนคติของอุลบา หากอุลบาไม่ใช่ลูกศิษย์ของพ่อเขา เขาจะไม่ใส่ใจอะไรเลย แต่ในเมื่ออุลบาเป็นลูกศิษย์ของพ่อเขาแล้ว มันก็นับได้ว่าอุลบาเป็นเหมือนน้องชายของเขา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องแก้ไขทัศนคติของอุลบาที่มีมุมมองดูถูกมนุษย์ให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นในอนาคตมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ได้
แน่นอนว่าวิธีการของหลิงยู่ชานนั้นเรียบง่ายมาก ซึ่งก็คือการให้อุลบาได้เห็นความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์!
“เอางั้นก็ได้ในเมื่อท่านยืนยันแบบนี้ ถ้าหากท่านบาดเจ็บ ข้าจะไปขอรางวัลจากท่านอาจารย์!” อุลบาหัวเราะ
“เจ้าเข้ามาได้เลย” หลิงยู่ชานกวักมือเรียก
แต่แล้วการต่อสู้กลับจบลงในพริบตา…
แค่หมัดเพียงหมัดเดียว หลิงยู่ชานส่งร่างของอุลบาลอยละลิ่วไปชนกับกำแพงลานฝึกเสียงดังสนั่น
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องพละกำลังนั้นอุลบาไม่อาจเทียบกับหลิงยู่ชานได้แม้แต่น้อย
ตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สันเขาทรราช หลิงยู่ชานใช้เวลามากกว่า 100 ปีในการปลุกพลังสายเลือดของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งพลังสายเลือดที่เขาปลุกขึ้นมาใหม่นี้ก็คือแก่นแท้ของสายเลือดทรราชสวรรค์ที่เขาดูดซับมาโดยไม่ตั้งใจในระหว่างที่เขาเชื่อมต่อกับเส้นชีพจรของสันเขาทรราช ซึ่งแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าสายเลือดใหม่นี้แข็งแกร่งขนาดไหน
รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขาชนะได้อย่างขาดลอยก็คือ เจตจำนงแห่งหมัดที่เขาบรรลุ เขาบรรลุมันไปจนถึงระดับที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วหมัดของเขานั้นรุนแรงแค่ไหน เพราะว่าเขาไม่เคยใช้มันแบบเต็มกำลังเลยสักที
มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาใช้พลังแค่ 5 ส่วนเท่านั้น เขาก็สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเหนือล้ำได้ภายในหมัดเดียว
ดังนั้นแม้ว่าอุลบาจะเป็นอมนุษย์ที่มีสายเลือดของมนุษย์หิน ปีศาจยักษ์และวิญญาณอเวจีรวมกันอยู่ในร่าง ซึ่งมันทำให้เขาแข็งแกร่งเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหลิงยู่ชานแล้ว ความแข็งแกร่งที่เขามีก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กอมมือ!
เมื่อเห็นว่าอุลบากำลังแสดงสีหน้าตกตะลึง หลิงยู่ชานจึงเดินเข้าไปตบไหล่และพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินน้องสาวของข้าเล่าว่าเจ้ามีร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่น ๆ โดยเฉพาะยิ่งมีพ่อของข้าเป็นอาจารย์ เจ้ายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปกันใหญ่”
“แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าร่างกายของเจ้านั้นถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน! และที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือเผ่ามนุษย์ไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างที่เจ้าเข้าใจเลยแม้แต่น้อย พวกเราสามารถใช้อาวุธวิเศษต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องช่วยเสริมความแข็งแกร่งได้ พวกเราสามารถใช้กฎของสวรรค์และโลกในการเล่นงานศัตรูแถมพวกเรายังมีเคล็ดวิชาที่หลากหลายมากมาย ดังนั้นนับจากนี้เจ้าห้ามดูถูกคนอื่น ๆ อีก ไม่เช่นนั้นในอนาคตเจ้าจะต้องตายเพราะความคิดแบบนี้ของเจ้า!”
“และถ้าหากเจ้ายังไม่เชื่อ ข้าจะไปตามคนอื่น ๆ ให้มาประลองกับเจ้าต่อเพื่อที่เจ้าจะได้รู้ว่าโลกนี้นั้นกว้างใหญ่กว่าที่เจ้าคิดมาก หลูหลิง จิ๋นชาน พวกเจ้าสองคนออกมาประลองกับอุลบา ส่วนเกาหยู เดี๋ยวเจ้าก็ออกมาประลองกับเขาด้วย แต่เจ้าห้ามกินเขาเด็ดขาด เขาคือลูกศิษย์ของพ่อข้า เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
เกาหยูเกาหัวด้วยสีหน้าจนใจและพูดว่า “ถ้างั้นข้ายืนเฉย ๆ ให้เขาโจมตีก็แล้วกัน…อุลบา ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้นิ่ง ๆ เจ้าสามารถโจมตีข้ามาได้เลยด้วยวิธีการไหนของเจ้าก็ได้ หากเจ้าสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยข้าจะถือว่าข้าแพ้!”
เมื่อพูดจบร่างของเกาหยูทั้งร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำทมิฬ และจากนั้นเขาก็นั่งลงอยู่เฉย ๆ รอให้อุลบาลงมือ