พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 818 ครอบครัวเดียวกัน
ภาพวาดแบบไหนกันที่จำเป็นต้องใช้เลือดมนุษย์ในการดู?
ในความเป็นจริง หลิงตู้ฉิงแค่ต้องการเลือดของหลินเหรินเจี๋ยเพื่อยืนยันว่าตระกูลหลินนั้นคือตระกูลของเขา
ส่วนทางด้านของหลินเหรินเจี๋ยที่ไม่เคยพบกับปรมาจารย์จิตรกรมาก่อน เขาจึงคิดว่ามันคงเป็นปกติของภาพวาดบางแบบที่เวลาจะดูนั้นคงจะต้องใช้เลือดในการดูมัน
จากนั้นในทันทีที่เขาหยดเลือดลงบนม้วนภาพวาดของหลิงตู้ฉิง จู่ ๆ ม้วนภาพวาดก็คลายออกและปราณกระบี่สายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากภาพวาดพุ่งเข้ามาหาตัวเขา ซึ่งปราณกระบี่นี้มันลึกลับและน่าดึงดูดจนหลินเหรินเจี๋ยอยากจะทำความเข้าใจกับมัน
ด้วยความมั่นใจในตัวเองของเขาที่เขาประเมินแล้วว่าเขาน่าจะพอรับมือกับปราณกระบี่นี้ได้ หลินเหรินเจี๋ยจึงต่อต้านมันอย่างสุดฤทธิ์โดยที่ระหว่างต้านทานปราณกระบี่ เขาก็พยายามทำความเข้าใจเต๋ากระบี่ที่แฝงอยู่ในปราณกระบี่ไปด้วย
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงเองก็ฉวยโอกาสตอนที่หลินเหรินเจี๋ยกำลังยุ่งอยู่กับการทำความเข้าใจปราณกระบี่ เอาหยดเลือดของหลินเหรินเจี๋ยมาตรวจสอบดูว่าแท้จริงแล้วต้นตระกูลหลินเป็นใคร
หลังจากผ่านไปสักพัก เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยบางคน เขาก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา จากนั้นเขาจึงเก็บภาพวาดเพลงกระบี่นั้นกลับมาเพื่อใช้มันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
หลินเหรินเจี๋ยเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้อยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นและพูดออกมาว่า “ช่างเป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งอะไรขนาดนี้!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ในอดีตมีอัจฉริยะผู้หนึ่งคิดค้นมันขึ้นมาและบังเอิญว่าข้าไปเห็นมันพอดีข้าเลยบันทึกมันไว้ เพลงกระบี่นี้มีชื่อว่าดารากระพริบ แต่ว่าอำนาจของมันที่ข้าบันทึกไว้นั้นข้าสามารถบันทึกเอาไว้ได้แค่ 8 ส่วนจากเพลงกระบี่ของจริง”
“เหล่าจิตรกรนี่ช่างทรงพลังจริง ๆ” หลินเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสัตย์จริง
จากนั้นเมื่อเขาลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขากำลังอยู่ในสภาวะหยั่งรู้อยู่เกือบชั่วโมงเมื่อครู่ มุมมองที่เขามีต่อหลิงตู้ฉิงก็กลายเป็นบวกมากขึ้น เพราะในช่วงเวลานั้นหากหลิงตู้ฉิงคิดที่จะฆ่าเขาจริง ๆ มันคงง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
แน่นอนว่าการที่หลิงตู้ฉิงไม่ทำอะไรเขาแบบนี้ เขาก็ยินดีที่จะมอบความไว้วางใจให้ในระดับหนึ่ง
“พี่อู๋ ในเมื่อท่านอยากจะเห็นความงดงามของเกาะหนานชาน ถ้างั้นพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านไปชมรอบ ๆ เอง แต่ว่าหลังจากที่ท่านดูเสร็จแล้วข้าแนะนำว่าท่านควรจากไปในทันที ข้าต้องขอย้ำกับท่านอีกทีว่าที่นี่มันไม่ปลอดภัย!” หลินเหรินเจี๋ยพูดขึ้น “แต่ถ้าท่านยังปฏิเสธที่จะไม่ไปอีก หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ ท่านก็อย่าโทษข้าหาว่าข้าไม่เตือนท่าน”
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงเอาแต่ยิ้มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หลินเหรินเจี๋ย จึงจากไปโดยที่ไม่โน้มน้าวอะไรอีก
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะได้รับความเชื่อใจจากเขาแล้วก็จริง แต่มันก็แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมันยังไม่พอที่จะทำให้เขาเล่าปัญหาของตระกูลเขาออกไป
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงนั้นก็ตัดสินใจแล้วว่าในเวลานี้เขาไม่จากไปแน่นอน เพราะว่าผลการตรวจสอบสายเลือดมันบ่งบอกว่าตระกูลหลินก็คือตระกูลหลิง ตระกูลของเขาเอง!
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเขาที่ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนแซ่แบบนี้ แต่สิ่งที่เขาแน่ใจมากที่สุดก็คือ หลินเหรินเจี๋ย นั้นคือทายาททางสายของพี่ชายเขา ไม่ว่าจะยังไงเขาต้องสืบรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลนี้และทำไมตระกูลของเขาถึงยังคงอาศัยอยู่ที่เดิมโดยที่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเหล่าศัตรูของเขาเลย?
ในชีวิตที่แล้วถึงแม้ว่าเขาจะตัดขาดความสัมพันธ์ของตัวเขากับตระกูลไปจนหมด แต่มันก็ใช่ว่าเขาจะไม่เหลือร่องรอยของเขาทิ้งไว้ที่ตระกูลเลย
ดังนั้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาจึงได้แต่คิดว่าอาจเป็นเพราะสวรรค์ช่วยปกปิดตระกูลของเขาเอาไว้ให้ ไม่เช่นนั้นปัจจุบันตระกูลหลินคงไม่อยู่ดีได้ถึงขนาดนี้..
หลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะแหงนมองฟ้าและถอนหายใจ จากนั้นเขาก็หยิบยันต์เคลือบหยกแผ่นหนึ่งขึ้นมาและเริ่มวาดอะไรบางอย่างลงบนมัน
ในเมื่อจริง ๆ แล้วตระกูลหลินก็คือตระกูลหลิงของเขาเอง ดังนั้นไม่ว่าปัญหาอะไรที่ตระกูลหลินกำลังเผชิญอยู่ เขาจะช่วยแก้ไขมันให้ทั้งหมด ซึ่งถ้าเขาจะคงรักษาเงื่อนไขที่เขาไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ดังนั้นเขาจำเป็นต้องใช้ทักษะของจิตรกรในการแก้ไขสถานการณ์
หลิงตู้ฉิงหยิบยันต์เคลือบหยกออกมาอีกหลายแผ่นและวาดภาพลงบนพวกมันมากมาย จากนั้นเขาจึงสร้างม่านพลังปิดผนึกห้องของเขาเอาไว้และจากนั้นเขาใช้ร่างธาตุดินของเขามุดดินลงไปและไปโผล่ที่ห้องวางป้ายชื่อบรรพบุรุษตระกูล
บนชั้นวางป้ายชื่อนั้นมีป้ายชื่อวางไว้อยู่มากมายเรียงรายกัน แต่ที่สะดุดตาที่สุดก็คือมีอยู่ 2 ป้ายที่วางอยู่บนชั้นสูงสุดซึ่งวางคู่กัน ป้ายหนึ่งสลักชื่อไว้ว่า หลินหลานซู แต่อีกป้ายหนึ่งที่วางไว้ข้าง ๆ กันกลับไม่มีชื่อใดสลักลงไป ซึ่งหลิงตู้ฉิงสามารถเดาได้เลยว่าป้ายอันไหนเป็นป้ายของใคร!
“ข้ายังไม่ได้ตายสักหน่อย พวกเจ้าจะสร้างป้ายระลึกชื่อให้ข้าทำไม?” หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างขมขื่น
หลินหลานซู คือพี่ชายของเขาเอง ซึ่งจากที่เขาเดาก็น่าจะเป็นเพราะพี่ชายเขาคนนี้ที่เป็นคนเปลี่ยนแซ่ตระกูลใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นกับตระกูลด้วยเหตุผลเพราะหลิงตู้ฉิงคือคนในตระกูล!
ส่วนเรื่องป้ายชื่อนี้ที่ไม่มีชื่อใด ๆ สลักลงไปก็คงเป็นเพราะเหตุผลเดียวกันคือไม่อยากจะให้ใครรู้ว่าแท้จริงแล้วตระกูลหลินนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเขา แต่ว่าถ้ากลัวมากจริง ๆ จะเอาป้ายเปล่าที่ไร้ชื่อมาวางไว้ให้มันดูน่าสงสัยทำไมกัน?
“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมข้าถึงพิสูจน์เต๋าของข้าได้ยากเย็นนักที่แท้ข้าก็ถูกรมควันธูปอยู่ทุกวันนี่เอง!” หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “แต่ก็เอาเถอะ ถึงแม้ว่าไอ้พวกลูกหลานพวกนี้จะโง่เง่าอยู่บ้าง แต่เพื่อเห็นแก่ความกตัญญู ข้าจะช่วยพวกเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน!”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็รู้สึกได้ว่าม่านพลังที่เขาสร้างขึ้นปิดผนึกห้องของเขาไว้ จู่ ๆ มันมีความคลื่อนไหว เขาจึงรีบกลับไปที่ห้องของเขาเองทันทีในชั่วพริบตา
เมื่อกลับถึงห้อง เขาเปิดประตูห้องออกและแสร้งทำทีเป็นว่าเพิ่งตื่นและถามผู้ที่มาเยือนว่า “แม่นางหรูซวน นี่เจ้ามาหากลางดึกแบบนี้เจ้ามีอะไรงั้นเหรอ เอ๋? หรือว่าเจ้าเหงาไม่มีใครคุยด้วย?”
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วไอ้คนบ้า! ข้าแค่มาที่นี่เพราะข้าจะเอาแหวนหยกที่เจ้ามอบให้มาคืน และจากนั้นเจ้าก็รีบ ๆ ไสหัวไปจากเกาะของข้าสักที และนับจากนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากลับมาที่นี่อีกเจ้าเข้าใจไหม!?” หลินหรูซวนตะคอกกลับด้วยสีหน้าโมโห
“ทำไมพวกเจ้าถึงชอบไล่ข้ากันจริง ๆ?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “หรือว่าเป็นเพราะสมบัติที่ข้ามอบให้มันกระจอกเกินไป? หรือว่ามันเป็นเพราะข้าไร้เสน่ห์? หากพวกเจ้ายังคงไม่อธิบายอะไรกับข้าเลยแบบนี้ข้าก็ไม่ไปไหนหรอก”
หลินหรูซวนยิ่งโมโหมากกว่าเดิม “ก็เพราะเจ้ามันสารเลวและทำตัวเด่นเกินไปยังไงล่ะ! ตอนนี้ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเจ้าเป็นปรมาจารย์จิตรกรผู้เก่งกาจแถมยังร่ำรวยและเจ้าดันเอาแหวนบ้า ๆ นี่มามอบให้กับข้าอีก ทุกคนเลยพาลคิดกันไปหมดว่าเจ้าชอบข้าและด้วยคุณสมบัติของเจ้า ญาติของข้าทุกคนก็ดันเห็นดีเห็นงามอยากให้ข้าแต่งงานกับเจ้าด้วยอีกต่างหาก แต่ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้า ข้าไม่ได้ชอบเจ้า ดังนั้นเจ้ารีบ ๆ ไสหัวไปจากที่นี่สักทีได้ไหม อย่ามาทำให้ข้าลำบากมากไปกว่านี้!”
หลิงตู้ฉิงแสร้งทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “อะไรกัน นี่เจ้าหมายความว่าข้าไม่ดีพอสำหรับเจ้างั้นเหรอ? เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคือจิตรกรผู้เก่งกาจ หากเจ้าได้ข้าเป็นสามีเจ้าจะมีอนาคตที่สดใสเชียวนะ…”
หลิงตู้ฉิงวางแผนไว้ว่าเขาจะพยายามลองยั่วอารมณ์หลินหรูซวนดูเผื่อว่านางจะพอหลุดข้อมูลอะไรมาบ้าง ส่วนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นั้นเขาไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว เพราะนางมีสายเลือดเดียวกับเขารวมไปถึงจากอารมณ์ของนาง หลิงตู้ฉิงก็บอกได้เช่นกันว่านางไม่ชอบเขาเลย เขาจึงสามารถใช้แผนยั่วอารมณ์แบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
“ต่อให้เจ้าจะเก่งกาจข้าก็ไม่สนใจเจ้า!” หลินหรูซวนตะคอกขึ้น “ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่ไป? ถ้าหากเจ้ายังไม่ไปข้าสาบานว่าข้าจะหักขาเจ้าและจับเจ้าโยนลงทะเลสาบหยกกระจ่าง!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้ารัว “ข้าเข้าใจแล้ว ๆ ที่แท้เจ้าก็มีคนรักอยู่แล้วนี่เอง ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าชายผู้โชคดีผู้นั้นเป็นใครกันถึงสามารถกุมหัวใจของคุณหนูหลินหรูซวนผู้สูงศักดิ์เอาไว้ได้”
“ต่อให้ข้าจะชอบใครมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคนอย่างเจ้าอยู่ดี รีบไสหัวไปได้แล้ว!” หลินหรูซวนตะคอกอีกรอบ
“แล้วนี่หวานใจของเจ้ารู้ไหมเนี่ยว่าเจ้าชอบเขาอยู่?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “นี่ถ้าเขารู้ว่าเจ้าเป็นคนรุนแรงขนาดนี้ข้าคิดว่าเขาคงกลัวเจ้าจนหัวหดแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า เอาล่ะส่วนไอ้เจ้าแหวนนั่นที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าก็เก็บเอาไว้เถอะหรือถ้าเจ้าไม่ต้องการมันจริง ๆ ก็โยนมันลงทะเลสาบไปก็ได้ข้าไม่ว่าเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าหรอก อ๋อและอีกอย่าง อันที่จริงมีใครบางคนกำลังตามดูเจ้าอยู่ด้วยแน่ะ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพ่อหรือเป็นปู่ของเจ้ากันแน่”
“แค่ก แค่ก แค่ก!” หลังจากสิ้นเสียงไอ ชายวัยกลางก็ปรากฏกายขึ้นและแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจและถามว่า “ซวน นี่เจ้าออกมาทำอะไรที่นี่ดึก ๆ ดื่น ๆ?”
หลินหรูซวนส่งสายตาอาฆาตให้กับหลิงตู้ฉิง จากนั้นนางก็หันกลับไปตอบพ่อของนางว่า “ท่านพ่อ ข้าแค่ออกมาเดินเล่นน่ะ และบังเอิญว่าเขาก็ออกมาทักข้า ข้าจึงคุยด้วย…”
หลินเหวินปิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดว่า “อ๋อ ๆๆ พ่อเข้าใจ ๆ ว่าเจ้าแค่เดินเล่นนั่นล่ะนะแล้วบังเอิญว่ามาเจอกับเขาพอดี ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเดี๋ยวพ่อขอตัวก่อนก็แล้วกัน เพราะบังเอิญพ่อก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกัน ส่วนท่านคือคุณชายอู๋สหายของลูกชายข้าสินะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พวกเราจะจัดงานเลี้ยงขึ้นหากท่านสะดวกข้าขอเชิญให้ท่านมาเข้าร่วมกับพวกเราทีเพื่อที่พวกเราจะได้รู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิม ฮ่าฮ่าฮ่า”
เมื่อพูดจบเขาก็จากไปทันทีด้วยรอยยิ้มแบบมีเลศนัย