พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 843 หายนะของตระกูล
สมาชิกของตระกูลหลินทั้งหมดต่างเคยเห็นป้ายชื่ออันน่าแปลกประหลาดของบรรพบุรุษพวกเขาที่ไม่มีชื่อสลักมาแล้วกันทุกคน
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าความลับของบรรพบุรุษผู้ไม่ถูกจารึกนามไว้จะเปิดเผยขึ้นก็ต่อมีคนในตระกูลที่สามารถทะลวงระดับไปถึงระดับนภาครามได้ ดังนั้นเมื่อตอนนี้หลิงตู้ฉิงหยิบเอาเรื่องนี้มาพูด มีหรือที่หลินจ้านเผิงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร?
“นี่ท่านเป็นบรรพบุรุษผู้นั้นของข้างั้นเหรอ? ว่าแต่ท่านมีสิ่งใดมายืนยัน?” หลินจ้านเผิงพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าจับผิด
หลิงตู้ฉิงแสดงสีหน้าเหนื่อยใจและพูดว่า “หากเจ้าไม่ทะลวงระดับขึ้นมาถึงระดับนภาคราม ข้าก็ไม่มีวันจะบอกเจ้าแน่ว่าข้าเป็นใครเพราะอย่างน้อย ๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่าเจ้าจะเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ถึงแม้ว่าเจ้าจะต้านทานผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นที่สามารถค้นวิญญาณเจ้าไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ เจ้าก็มีความสามารถที่จะฆ่าตัวตายได้ทัน! และอีกอย่างหากเจ้าไม่ใช่ทายาทของพี่ชายของข้า ข้าจะยอมเสียเวลาช่วยเหลือเจ้าแบบนี้ทำไม?”
หลินจ้านเผิงขมวดคิ้วไม่แน่ใจว่าเขาจะเชื่อคำพูดของหลิงตู้ฉิงดีหรือไม่ จากนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาจึงพูดว่า “ข้าจำเป็นต้องยืนยันสิ่งที่ท่านพูดโดยการไปเปิดความลับที่เหล่าบรรพบุรุษของข้าซ่อนเอาไว้ที่คฤหาสน์ก่อน ซึ่งถ้าหากท่านเป็นบรรพบุรุษของข้าจริง ๆ ข้าจะรีบกลับมาคุกเข่าคารวะท่านทันที!”
หลังจากพูดจบ หลินจ้านเผิงก็รอให้หลิงตู้ฉิงคลายม่านพลังที่ล้อมรอบหอคอยเสียงสวรรค์ออกก่อน จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ เดินลงไปจากหอคอยเสียงสวรรค์
เมื่อเห็นว่าร่างกายของหลินจ้านเผิงนั้นเต็มไปด้วยพลังชีวิต หลินหงเหวินก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ทะลวงระดับนั้นคือพ่อของเขาแน่นอน เขารีบพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อนี่ท่านกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามแล้วงั้นเหรอ? ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้นเหรอท่านพ่อ?”
หลินจ้านเผิงตอบกลับด้วยสีหน้าเบิกบาน “ตอนนี้พ่อทะลวงระดับได้แล้วจริง ๆ แต่ตอนนี้พ่อมีเรื่องบางอย่างต้องไปทำก่อน ดังนั้นพ่อจึงยังคุยกับเจ้าไม่ได้หงเหวิน เจ้าจงเอาตราผู้นำตระกูลมาให้พ่อ พ่อจำเป็นต้องใช้มันเพื่อดูข้อมูลบางอย่าง”
หลินหงเหวินรีบส่งเหรียญตราผู้นำตระกูลให้กับพ่อของเขาทันที จากนั้นเขาเตรียมที่จะตามพ่อของเขาไปดูว่าพ่อของเขาอยากจะดูข้อมูลอะไรของตระกูล แต่เขากลับถูกหยุดไว้โดยหลินจ้านเผิง
“เจ้าไม่ต้องตามไป รอข้าตรงนี้ ข้าใช้เวลาไม่นานเดี๋ยวจะกลับมาที่นี่ใหม่!”
ในเมื่อเขากำลังจะเข้าไปดูความลับของตระกูลที่ถูกอนุญาตให้ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะนภาครามขึ้นไปเท่านั้นที่ดูได้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่อนุญาตให้ลูกชายของเขาตามไป
หลินจ้านเผิงรีบตรงดิ่งไปที่ห้องเก็บป้ายชื่อบรรพบุรุษ และจากนั้นเขาโคจรพลังวิญญาณของตนเองลงในเหรียญตราผู้นำตระกูลเพื่อเชื่อมมันกับป้ายชื่อที่ไม่มีชื่อสลักไว้
ตัดกลับมาที่ทางด้านกลุ่มคนของตระกูลหลินที่ยืนรายล้อมหอคอยเสียงสวรรค์อยู่
พวกพวกเขาทุกคนต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ตาย แต่ตอนนี้บรรพบุรุษของพวกเขากลับทะลวงระดับขึ้นไปถึงระดับนภาครามได้แล้ว ซึ่งมันสรุปได้ว่าตอนนี้บรรพบุรุษของพวกเขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตหนานหัว และยิ่งไปกว่านั้นความลับของตระกูลกำลังจะเปิดเผย ซึ่งพวกเขาแน่ใจว่านับจากนี้ตระกูลของพวกเขาจะรุ่งโรจน์เหนือกว่าที่เคยเป็นมา!
จากนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่าม่านพลังที่ปกคลุมหอคอยอยู่มันได้หายไปสักพักแล้ว พวกเขาจึงค่อย ๆ เดินกันขึ้นไปชั้นบนสุดของหอคอยเสียงสวรรค์ และจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาซับซ้อน
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” หลินหงเหวินถามขึ้น
ในตอนนี้หลินหงเหวินไม่แน่ใจแล้วว่าหลิงตู้ฉิงนั้นเป็นปรมาจารย์จิตรกรขอบเขตนภาจริงหรือไม่ เพราะเขาคิดว่ามันคงไม่มีปรมาจารย์จิตรกรขอบเขตนภาที่ไหนที่สามารถทำให้พ่อของเขาทะลวงระดับได้แบบนี้
หลิงตู้ฉิง ชยิ้มและตอบกลับ “อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง!”
คนอื่น ๆ ต่างมองหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาสงสัยกันอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะคู่พ่อลูกแซ่ถัง ซึ่งในหัวของพวกเขาตอนนี้มีความคิดผสมปนเปกันเต็มไปหมด
พวกเขาได้ส่งข่าวไปหาเจ้านายของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงของเกาะหนานชานตอนนี้มันมากมายเกินไปจนพวกเขาไม่แน่ใจว่าเจ้านายของพวกเขาจะรับมือไหวหรือปล่า?
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หลินจ้านเผิงก็กลับมาถึงหอคอยเสียงสวรรค์ด้วยสีหน้าสับสนเป็นอย่างมาก และเมื่อเขาเห็นว่าคนอื่น ๆ ต่างขึ้นมาอยู่ชั้นบนสุดของหอคอยกันหมดแล้ว เขาจึงตะโกนสั่งทันที “พวกเจ้าทั้งหมดจงลงไปก่อน ข้ามีบางอย่างต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว”
คนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างก็เดินลงจากหอคอยไปด้วยสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเดิมไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ แล้ว หลินจ้านเผิงจึงถามขึ้นทันที “แท้จริงแล้วตระกูลของเราคือแซ่หลิงงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว และถามหลินจ้านเผิงกลับไปว่า “ข้อความอะไรที่พี่ชายของข้าทิ้งเอาไว้จนเจ้าถึงกับต้องแสดงสีหน้ามึนงงขนาดนี้?”
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเห็นป้ายชื่อของตัวเอง แต่เมื่อเขาไม่มีตราผู้นำตระกูล ดังนั้นเขาจึงเปิดดูข้อมูลที่อยู่ด้านในไม่ได้เหมือนกัน
“ท่านบรรพบุรุษหลานซู บันทึกเอาไว้ว่าท่านคือหายนะของตระกูล ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนในตระกูลต้องเปลี่ยนแซ่ของตัวเองและเขายังบันทึกด้วยว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดของตระกูลเราเป็นมาอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือเขาได้เตือนเอาไว้ว่าหากพวกเราไม่แข็งแกร่งเพียงพอ พวกเราไม่ควรกลับไปใช้แซ่เดิมอีกเป็นอันขาด!” หลินจ้านเผิงเล่าทุกอย่าง
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวกับตัวเองเพราะเขาไม่นึกเลยว่าพี่ชายของเขาจะบันทึกข้อความเอาไว้แบบนี้ ซึ่งตัวตนของเขานั้นแทบจะไม่ถูกเอ่ยถึงเลยว่าเขาเคยเป็นอะไร
หลิงตู้ฉิงไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่พี่ชายของเขาไม่บันทึกไว้ว่าเขาคือตัวตนแบบไหน เพราะว่าพี่ชายของเขาไม่รู้หรือว่าพี่ชายของเขาไม่กล้าเปิดเผยให้คนอื่น ๆ รับรู้เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะมาเยือนตระกูลกันแน่?
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ จากนั้นเขาพูดว่า “ถ้างั้นตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า?”
หลินจ้านเผิงหัวเราะ “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าท่านคือบรรพบุรุษของข้าจริง ๆ แต่ท่านพอจะบอกได้ไหมว่าในอดีตมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? และหนึ่งแสนปีที่ผ่านมานี้ทำไมท่านถึงไม่กลับมาที่ตระกูลเลย? และทำไมท่านถึงได้แข็งแกร่งนัก? และท่านกลับมาที่นี่ตอนนี้เพราะอะไรกัน?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าขี้เกียจเล่าเรื่องในอดีตที่มันผ่านมานานแล้ว ส่วนเหตุผลที่ข้ากลับมาที่นี่เป็นเพราะข้าอยากจะรู้ว่าตอนนี้พวกเจ้าเป็นยังไงกันบ้าง และมาเสนอทางเลือกว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตที่สงบสุขอยู่แบบนี้ต่อไปหรือจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของพวกเจ้าเป็นอีกแบบหนึ่งที่เหนือล้ำกว่านี้ แต่อันตรายที่พวกเจ้าจะต้องเผชิญจะเหนือกว่านี้นับหมื่นนับแสนเท่า เจ้าจงเลือกมันให้ดี ๆ และถ้าเจ้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่แบบนี้ต่อไป ข้าจะทำการลบความทรงจำบางส่วนของพวกเจ้าทุกคนเพื่อให้พวกเจ้ากลับไปใช้ชีวิตกันได้ตามเดิม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินจ้านเผิงเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นเขาตอบกลับว่า “ท่านบรรพบุรุษ ถึงแม้ว่าชีวิตในตอนนี้จะดูสุขสงบ แต่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายอะไรนัก ดังนั้นข้าขอเลือกพาตระกูลเปลี่ยนเส้นทางการใช้ชีวิตใหม่ที่เหนือล้ำกว่าเดิมต่อให้มันจะมีอันตรายมากขึ้นกว่าเดิมข้าก็พร้อมที่จะเสี่ยง!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่หลินจ้านเผิงต้องการ จากนั้นเขาตอบกลับว่า “เอาล่ะในเมื่อเจ้าเลือกทางนี้ งั้นข้าก็จะสนองให้แต่เจ้าอย่าได้มาโทษข้าเมื่อถึงเวลาที่ในอนาคตเจ้าต้องเผชิญกับหายนะต่าง ๆ ที่จะต้องถาโถมเข้ามาหาก็แล้วกัน! มาเข้ามาใกล้ ๆ ข้า ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าพลังของโลกภายนอกนั้นน่ากลัวแค่ไหน!”