พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 856 ข้าต้องการปกป้องมวลมนุษย
ผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทั้งสี่นั้นได้แก่ หลิงยี่เทียน ฉินหวง เจียงหวง และ ซ่งว่านหลุน
หลังจากได้รับการแจ้งเตือนจากทำเนียบราชันมนุษย์ ทั้ง 4 คนจึงรีบเดินทางมาในทันที ซึ่งหลิงยี่เทียนและฉินหวงนั้นมาถึงแล้วเรียบร้อย แต่เจียงหวงกับซ่งว่านหลุนนั้นยังคงอยู่ในระหว่างการเดินทาง
ดังนั้นเมื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกยังมาถึงกันไม่ครบ ทำเนียบราชันมนุษย์จึงจัดที่พักให้กับคนทั้งสองที่มาถึงก่อนให้แยกกันอยู่ห่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันการกระทบกระทั่งกันระหว่างคนทั้งสองที่นับได้ว่าเป็นคู่แข่งกัน
หลังจากหลิงยี่เทียนเข้าไปถึงที่พักของเขา ฟู่เซียนก็รีบพาคนของเขาเข้ามาหาในทันที
แต่แล้วเมื่อฟู่เซียนเห็นว่าบรรดาผู้ที่มาสนับสนุนของหลิงยี่เทียนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน เขาจึงวางใจขึ้นมากและพูดว่า “ฝ่าบาทยี่เทียน ข้าได้จัดแจงให้คนของข้าทั้งหมดเลือกที่จะสนับสนุนท่านแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงเวลาท่านไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แต่ว่าข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะขอฝ่าบาท ฝ่าบาทพอจะอนุญาตให้ข้าได้ดูตราประทับหยกของท่านสักหน่อยจะได้ไหม?”
หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ผู้อาวุโสฟู่ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้พ่อของข้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ท่านพาข้าไปพบกับเขาสักหน่อยจะได้รึเปล่า?”
ฟู่เซียนส่ายหัว “ตอนนี้บิดาของฝ่าบาทอยู่ในท้องพระโรงหลัก ซึ่งมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ฝ่าบาทจะเข้าไปที่นั่นในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทจะต้องเจอการต่อต้านจากทุกคนที่อยู่ที่นี่ แต่ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวล เมื่อไหร่ที่การคัดเลือกเริ่มขึ้น ฝ่าบาทจะได้พบกับบิดาของฝ่าบาทแน่นอน”
“แต่ถ้าหากฝ่าบาทไม่ไว้ใจในตัวข้า ข้าสามารถบอกได้เลยว่าข้ารู้ว่าบิดาของฝ่าบาทแท้จริงแล้วเป็นใครและข้าเองก็รู้จักกับเขามานานมากแล้ว ข้าหมายถึงรู้จักกับเขามาตั้งแต่ที่เขายังไม่ได้เป็นแบบปัจจุบันนี้ แถมเขายังเล่าสถานะที่แท้จริงของฝ่าบาทให้ข้าฟังแล้วด้วย ดังนั้นฝ่าบาทสามารถวางใจในตัวข้าได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยี่เทียนจึงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นเขาพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะให้ท่านดูหรอกนะ แต่ตอนนี้ตราประทับหยกไม่ได้อยู่กับข้า มันอยู่ที่พี่สี่ของข้า เพราะว่าเขาต้องใช้ปราณมังกรจักรพรรดิในการบ่มเพาะ ดังนั้นเขาจึงให้เขายืมมันไป”
ฟู่เซียนขมวดคิ้วทันที “ฝ่าบาทของสำคัญขนาดนั้นท่านมอบให้คนอื่นรักษาได้ยังไง?”
“คนอื่นที่ท่านพูดถึงคือพี่สี่ของข้า ซึ่งเป็นคนที่ข้าไว้ใจจนถึงขนาดที่ข้าสามารถฝากชีวิตได้!” หลิงยี่เทียนตอบกลับ
“แต่ว่าฝ่าบาท ถ้าหากว่าท่านไม่มีตราประทับหยกท่านจะปกครองอาณาจักรได้ยังไง?” ฟู่เซียนถามต่อ
“ผู้อาวุโสฟู่ ท่านคิดเหรอว่าแค่ตราประทับหยกอันเดียวมันจะมีผลอะไรมากมายกับการปกครองบ้านเมือง? ข้าขอพูดกับท่านตรง ๆ ต่อให้ตราประทับหยกจะไม่ได้อยู่ในมือพี่ชายของข้าแต่ไปอยู่ในมือของผู้อื่น คนผู้นั้นก็ไม่สามารถปกครองอาณาจักรของข้าได้อยู่ดี เพราะว่าคนที่มีสิทธิ์ปกครองอาณาจักรจันทรานั้นมีแค่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปกครองมันได้!” หลิงยี่เทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟู่เซียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แต่ว่าฝ่าบาท หากไม่มีตราประทับหยกแล้วท่านจะว่าราชการยังไง? เมื่อไม่มีมันท่านจะสั่งคนของท่านแบบไหน?”
หลิงยี่เทียนยิ้ม “เอาเป็นว่าข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถปกครองอาณาจักรของข้ามาได้จนถึงปัจจุบันนี้จริงไหม?”
ฟู่เซียนได้แต่ลอบถอนหายใจ ถ้าหากว่าเขาไม่เห็นแก่หลิงตู้ฉิง เขาคงไม่มีวันสนับสนุนหลิงยี่เทียนแน่นอน!
จากนั้นฟู่เซียนจึงเปลี่ยนประเด็น “ฝ่าบาท ข้าขอทูลถามสักหน่อยว่าทำไมตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของฝ่าบาทถึงยังอยู่แค่ระดับสวรรค์สามัญ? หากว่ากันตามหลักการแล้วผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่บ่มเพาะกันได้อย่างรวดเร็วแทบทั้งสิ้นนี่นา”
ในความคิดของฟู่เซียน ต่อให้หลิงยี่เทียนจะมีพรสวรรค์ที่ต่ำต้อยแค่ไหน แต่เขาก็ยังเป็นจักรพรรดิที่มีทรัพยากรมากมายให้ได้ใช้ ดังนั้นมันก็ไม่ควรที่ระดับการบ่มเพาะของเขาจะพัฒนาช้าแบบนี้
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ที่ข้าไม่เพิ่มระดับการบ่มเพาะของข้าเองมันเป็นเพราะข้ามีเหตุผลส่วนตัวของข้า ซึ่งถ้าหากข้าอยากจะทะลวงระดับเมื่อไหร่ข้าเองก็สามารถทำได้ทุกเมื่อผู้อาวุโสไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้”
“ท่านพ่อของท่านบอกกับข้าว่าท่านบ่มเพาะเต๋าที่ไม่เหมือนใคร ข้าสงสัยว่าฝ่าบาทพอจะให้ข้าดูมันได้รึเปล่า? บางทีข้าอาจสามารถช่วยเหลือท่านได้บ้างไม่มากก็น้อย” ฟู่เซียนถามขึ้น
หลิงยี่เทียนนั่งคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาจึงพยักหน้าและพูดว่า “ถึงแม้ว่าระดับที่ข้าฝึกฝนอยู่ในตอนนี้มันจะสำเร็จไปได้แค่เศษเสี้ยวเท่านั้น แต่ในเมื่อท่านอยากจะดูมัน งั้นข้าจะแสดงให้ท่านดูก็ได้ในฐานะที่ท่านอุตส่าห์ช่วยสนับสนุนข้า”
หลิงยี่เทียนคิดไว้แล้วว่าต่อให้เขาไม่แสดงให้ฟู่เซียนดูในตอนนี้ เขาก็ต้องไปแสดงให้กับคนอื่น ๆ เห็นที่ท้องพระโรงอยู่ดี ดังนั้นการแสดงให้ฟู่เซียนเห็นก่อนตอนนี้มันก็ถือว่าไม่มีผลเสียอะไร
“ท่านพร้อมแล้วใช่ไหม?” หลิงยี่เทียนถามขึ้น
ฟู่เซียนพยักหน้า “ฝ่าบาท ท่านใช้มันออกมาได้เลยไม่ต้องยั้งมือ ถึงแม้ว่าข้าผู้นี้จะแก่มากแล้ว แต่ข้าเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด ดังนั้นข้าคิดว่าข้าสามารถรับมือท่านไหว”
หลิงยี่เทียนพยักหน้า “ถ้างั้นข้าจะไม่เกรงใจล่ะนะ ท่านจงจับตาดูมันให้ดีก็แล้วกัน!”
เมื่อพูดจบ หลิงยี่เทียนก็จ้องไปที่ฟู่เซียนโดยไม่ได้ลงมือทำอะไร
แต่ในทางกลับกัน ฟู่เซียนกลับรู้สึกว่าในตอนนี้หลิงยี่เทียนเหมือนกลายเป็นคนละคน
ในตอนนี้หลิงยี่เทียนมีแรงกดดันที่ไม่ต่างอะไรกับราชันแห่งมวลมนุษย์รุ่นก่อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันส่งผลให้ฟู่เซียนที่ในตอนแรกยังมั่นใจในตัวเอง แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าเขาก้มหน้าไม่กล้ามองหลิงยี่เทียนตรง ๆ เพราะเขารู้สึกได้ว่าในตอนนี้ตัวตนของหลิงยี่เทียนนั้นเหนือกว่าเขาราวกับว่าเขากลายเป็นบ่าวรับใช้ไปจริง ๆ!
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หลิงยี่เทียนจึงถอนอำนาจของเขากลับมา ส่งผลให้ฟู่เซียนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเงยหน้าขึ้นและพูดกับหลิงยี่เทียนว่า “ความสามารถของฝ่าบาทนั้นช่างเหนือล้ำยิ่งนัก ตาแก่ผู้นี้รู้สึกละอายจริง ๆ ที่เมื่อครู่พูดจาโอ้อวดออกไป”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ไม่หรอก ๆ อันที่จริงมันมีบางอย่างที่ท่านเองก็พูดถูกเหมือนกัน ข้าจำเป็นต้องให้ท่านช่วยจริง ๆ! เต๋าที่ข้าบ่มเพาะอยู่ในตอนนี้มันจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากพลังความเชื่อของผู้คน ดังนั้นขอข้าเพียงท่านเชื่อในตัวข้า มันก็หมายความว่าท่านได้ช่วยเหลือข้าแล้ว!”
ฟู่เซียนแสดงสีหน้าซับซ้อน จากนั้นเขาถามขึ้นว่า “ฝ่าบาท ข้าขอถามสักหน่อยได้ไหมว่าในตอนนี้เต๋าที่ท่านกำลังบ่มเพาะอยู่นั้นสำเร็จไปถึงระดับไหนแล้ว?”
หลิงยี่เทียนตอบกลับตามตรง “ในตอนนี้ข้าฝึกมันสำเร็จไปแค่หนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น! ท่านอาจจะเห็นว่ามันมหัศจรรย์แล้วตอนนี้ แต่ในความคิดของข้ามันยังอยู่ห่างจากความฝันที่ข้าวาดเอาไว้มาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เซียนถอนหายในทันทีและพูดว่า “ฝ่าบาทช่างปกปิดความสามารถของตัวเองไว้ได้มิดชิดจริง ๆ…คนอื่น ๆ ต่างมองว่าท่านนั้นมีความแข็งแกร่งด้อยที่สุด แต่หารู้ไม่ท่านกลับคือคนที่มีความแข็งแกร่งที่สุดแล้วจากผู้เข้าร่วมการคัดเลือกทั้งหมด เอาล่ะฝ่าบาทตอนนี้ข้าคงต้องขอถามคำถามที่สำคัญที่สุดกับท่าน ทำไมท่านถึงได้อยากเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์? ท่านมีเป้าหมายอะไร?”
ในตอนนี้ฟู่เซียนมั่นใจแล้วว่า หลิงยี่เทียนมีคุณสมบัติที่เป็นองค์ประกอบเพียงพอที่จะเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์ได้ ดังนั้นเขาจึงอยากขุดลึกลงไปถึงคุณสมบัติหลักที่ราชันแห่งมวลมนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องมี ซึ่งก็คือเป้าหมายในการรับหน้าที่เป็นราชันแห่งมวลมนุษย์ว่าหลิงยี่เทียนนั้นมีเป้าหมายที่เหมาะสมพร้อมอยู่ด้วยรึเปล่า?
เมื่อได้ยินคำถามของฟู่เซียน หลิงยี่เทียนจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงร่างสีทองเจิดจรัสที่เขาเคยเห็นเมื่อในอดีตตอนที่เขาปลุกสายเลือดของเขาได้เป็นครั้งแรก
ร่างสีทองนั้นได้มอบหมายภารกิจไว้ให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว!
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ หลิงยี่เทียนจึงตอบกลับด้วยสีหน้าที่หนักแน่นว่า “เป้าหมายของข้าคือการปกป้องมวลมนุษย์ทุกคน!”