พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 858 ลอบดึงผู้สนับสนุน
หลิงยี่เทียนไม่ได้สนใจกับสายตาเย้ยหยันของคนอื่น ๆ เลย
เพราะมันไม่ใช่ว่าเขาไม่มีปัญญาจะยึดอาณาเขตอื่น ๆ แต่เป็นเพราะหลิงตู้ฉิงนั้นห้ามเขาเอาไว้ไม่ให้ทำแบบนั้นต่างหาก ดังนั้นเขาจึงทนเก็บตัวอยู่แต่ในอาณาเขตนภามาเป็นเวลาหลายร้อยปี
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปบุกอาณาเขตอื่นเลย ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามสั่งสมกำลังเพิ่มอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอวันที่หลิงตู้ฉิงอนุญาตให้เขาลงมือได้
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของหลิงยี่เทียน พวกเขาต่างก็พยักหน้าทันทีโดยเฉพาะเจียงหวงที่พูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินข่าวที่เจ้าส่งคนของเจ้ามาที่ตงซวนแล้วเช่นกัน”
ในระหว่างที่ผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทั้งสี่กำลังประกาศจำนวนอาณาเขตกันอยู่นั้น หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ
“ไอ้หนู เจ้ามาที่นี่ทำไม?” หลิงตู้ฉิงส่งเสียงของเขาไปก้องอยู่ในดวงวิญญาณของเสี่ยหนานเทียน
ทางด้านของเสี่ยหนานเทียน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาเผยรอยยิ้มขมขื่นทันทีเพราะเขารู้ตัวว่าตอนนี้ปัญหาได้มาเยือนเขาแล้ว
ในเมื่อเขามากับฉินหวง ดังนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าสำนักเบญจธาตุคือผู้สนับสนุนฉินหวงจริงไหม?
แต่สิ่งที่เขานึกไม่ถึงมาก่อนก็คือหนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์กลับเป็นลูกชายของหลิงตู้ฉิง…
เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน เสี่ยหนานเทียนยิ้มอย่างขมขื่น และส่งสายตาไปหาหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าจนใจ เขาไม่มีความสามารถที่มหัศจรรย์เหมือนหลิงตู้ฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสื่อสารทางวิญญาณได้ ส่วนเรื่องการสื่อสารด้วยโทรจิตนั้นลืมไปได้เลยเพราะมันคงจะถูกตรวจจับได้แน่นอนโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไป ฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกและได้แต่สื่อสารกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเช่นนี้
หลิงตู้ฉิงรู้เช่นกันว่าเสี่ยหนานเทียนนั้นไม่สามารถสื่อสารกับเขาผ่านทางดวงวิญญาณได้ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าตอบกลับไม่ได้ ดังนั้นเจ้าแค่พยักหน้าหรือส่ายหัวในการตอบคำถามของข้าก็พอ เอาล่ะคำถามแรกสำนักเบญจธาตุของเจ้าตั้งใจว่าจะสนับสนุนฉินหวงใช่ไหม?”
เสี่ยหนานเทียนพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สำนักเบญจธาตุของเจ้าอยากอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้างั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงถามต่อ
สีหน้าของเสี่ยหนานเทียนเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันที จากนั้นเขารีบส่ายหัว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนยังอยู่ในความทรงจำของเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลิงตู้ฉิงแน่นอน!
“อืม ถ้างั้นเจ้าจงเปลี่ยนฝั่งมาสนับสนุนลูกของข้าแทน” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่งตรง ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยหนานเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าจนใจ จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ พยักหน้า
เขาจะพูดอะไรมากได้ยังไง? ในตอนนี้เขาอยากจะหาเหตุผลดี ๆ สักเหตุผลเป็นอย่างมากเพื่อขอตัวกลับไปที่สำนักของเขา ไม่เช่นนั้นเขารู้ได้เลยว่าหลังจากนี้เขาจะต้องถูกบรรพบุรุษของเขาตำหนิแน่นอนที่จู่ ๆ ก็ย้ายฝั่ง!
เมื่อทำความเข้าใจกับเสี่ยหนานเทียนเสร็จเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็เปลี่ยนเป้าทันทีไปคุยกับชายชราผู้หนึ่ง “เจ้าคือคนของตำหนักเทพยุทธใช่ไหม? ไม่ต้องมองไปทางอื่น ข้านั่งอยู่บนบัลลังก์! แค่เจ้าพยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหัวก็พอในการตอบคำถามของข้า ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าไม่มีความสามารถแบบข้า!”
ชายชราจ้องหลิงตู้ฉิงอยู่สักพัก จากนั้นเขาค่อย ๆ พยักหน้า
“เจ้ามาที่นี่เพราะมาสนับสนุนเจียงหวงรึเปล่า?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น “ว่าแต่กวนหลิงอู่ตายแล้วรึยัง?”
ชายชราส่ายหัวพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจ
ชายผู้นี้บังอาจเรียกบรรพบุรุษของเขาด้วยชื่อห้วน ๆ งั้นเหรอ? เขาไม่รู้รึไงว่าบรรพบุรุษของเขาได้รับการขนานนามว่า ‘มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์’
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่เขาก็ยังส่ายหัวเพื่อยืนยันว่าบรรพบุรุษของเขายังไม่ตาย
เหตุผลที่เขาคิดตอบกลับก็เพราะเขารู้ดีว่า หลิงตู้ฉิงนั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่เขาจะสามารถดูถูกได้ แค่วัดจากทักษะที่สามารถสื่อสารผ่านดวงวิญญาณได้แค่นี้มันก็พอที่จะบอกอะไรกับเขาได้มากมายแล้วว่า หลิงตู้ฉิงเหนือกว่าเขาแค่ไหน
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดว่า “ในเมื่อไอ้หนูกวนหลิงอู่ยังไม่ตาย ถ้างั้นเจ้าจงรีบกลับไปบอกเขาเดี๋ยวนี้ว่าให้รีบมาที่นี่ทันที! บอกกับเขาว่าข้าคือคนที่เคยปฏิเสธไม่ให้เขาติดตามในอดีต และตอนนี้ข้ากำลังจะให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่งรวมไปถึงให้โอกาสคนของเขาด้วยที่จะได้ติดตามลูกชายของข้า!”
ชายชราขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยออกมา
คนผู้นี้กลับกล้าพูดจาสามหาวแบบนี้ได้ยังไง? คนผู้นี้รู้หรือเปล่าว่าบรรพบุรุษของเขานั้นนับได้ว่าเป็นตัวตนที่อยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลกใบนี้!
แต่แล้วเมื่อเขาลองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีตให้ถี่ถ้วน เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก ซึ่งส่งผลให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงในทันที
หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “ถูกต้องแล้วข้าเอง! เอาล่ะตอนนี้เจ้ารีบกลับไปบอกข่าวดีไอ้เจ้าหนูนั่นได้แล้ว และให้เขารีบมาที่นี่ทันที!”
ชายชราพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน จากนั้นเขารีบพุ่งตัวออกไปจากท้องพระโรงในทันที
จากนั้นต่อมาก็มีอีกหลายคนที่อยู่ในท้องพระโรง จู่ ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เอาล่ะ ต่อไปผู้เข้ารับการคัดเลือกทุกท่านโปรดแสดงให้กับทุกคนในที่แห่งนี้ได้ประจักษ์ด้วยว่าเหล่าผู้คนที่สนับพวกท่านอยู่ในตอนนี้นั้นมีใครบ้างและมีความพิเศษมากแค่ไหน!” ฟู่เซียนประกาศขึ้น
ฉินหวง เจียงหวง และ ซ่งว่านหลุน ต่างมองหน้ากัน จากนั้นฉินหวงก็เป็นผู้พูดขึ้นก่อนว่า “ข้ามีความคิดเห็นว่ารอบนี้น้องยี่เทียนควรจะเป็นผู้ที่ได้เริ่มแสดงความสามารถก่อน ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าเขาจะเสียเปรียบพวกข้ามากเกินไป!”
เจียงหวงพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย ข้ายอมสละสิทธิ์ให้น้องยี่เทียนแสดงก่อน”
“เจ้าเริ่มก่อนได้เลย!” ซ่งว่านหลุนพูดขึ้นเช่นกัน
หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับว่า “ข้าขอขอบคุณพี่ชายทั้งสามจริง ๆ ที่เอ็นดูข้าจนมอบโอกาสให้ข้าแบบนี้ ถ้างั้นข้าเองก็ไม่เกรงใจแล้วล่ะนะ! นับตั้งแต่ตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์และสำนักโอสถนิรันดร์ถูกทำลายลงไป โลกของเราก็ขาดแคลนทั้งโอสถและสมบัติระดับสูงเป็นอย่างมาก”
“แต่โชคดีที่อาณาจักรจันทราของข้าบังเอิญได้รับมรดกของสำนักทั้งสองมา ซึ่งในวันนี้ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านได้พบกับผู้สืบทอดสำนักโอสถนิรันดร์ หวงอี้เฟย และ ผู้สืบทอดตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์ เหลียนปู้ชิง! และข้าขอประกาศตรงนี้เลยว่าถ้าใครหันมาสนับสนุนข้า ข้าจะให้สิทธิ์กองกำลังนั้นได้ทำการค้ากับข้าเป็นอันดับต้น ๆ!”
จี้กงซวนรีบตะโกนขึ้นแทรกทันที “พวกเราได้ยินข่าวนี้มานานแล้ว! แต่พวกเราจะเชื่อท่านได้ยังไงว่ามันเป็นเรื่องจริง?”
เนื่องจากเขาสนับสนุนผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์คนอื่นอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้หลิงยี่เทียนได้รับแรงสนับสนุนจากผู้คนมากมายไปได้ และอีกประเด็นก็คือเขาเองก็ไม่เชื่อว่าหลิงยี่เทียนจะได้รับมรดกของสำนักทั้งสองมาจริง ๆ
หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับ “ข้ารู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่ในเมื่อข้ากล้าพาคนของข้ามาที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าก็เตรียมวิธีพิสูจน์มาด้วยเช่นกัน เจ้าสำนักเหลียน เจ้าสำนักหวง ข้าขอรบกวนพวกท่านทั้งสองช่วยแสดงให้ทุกคนได้เห็นทีว่าความจริงมันเป็นอย่างไร”
เหลียนปู้ชิงและหวงอี้เฟยต่างมองหน้ากัน แต่แล้วเหลียนปู้ชิงกลับพูดขึ้นก่อนว่า “การพิสูจน์ของข้ามันง่ายนิดเดียว ดังนั้นให้ข้าออกไปก่อนไหม?”
“อืม ท่านออกไปก่อนก็แล้วกัน!” หวงอี้เฟยพยักหน้า