พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 869 ปิดทางไปต่อ
อันที่จริงเหตุผลที่หลิงตู้ฉิงพูดเรื่องร่วมเตียงกับราชาเทพมารหกปรารถนานั้นไม่ใช่เพราะว่าเขาหื่นกระหาย แต่มันเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าราชาเทพมารหกปรารถนากำลังกังวลอยู่กับเรื่องที่เขายินดีจะยอมรับนางให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาหรือเปล่า
ต้องรู้เอาไว้ว่านางนั้นผ่านมือชายมาก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลิงตู้ฉิงจะรังเกียจนางไหม
เมื่อหลิงตู้ฉิงพอจะเดาปัญหาได้คร่าว ๆ เขาจึงถือโอกาสอ้างเหตุผลเรื่องที่นางเคยก่อปัญหาให้กับเขาผูกมัดตัวนางไว้กับตัวเขาเอง เพื่อที่นางจะได้สบายใจว่าเขาอยากได้นางมาอยู่ข้างกาย ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยปากไปแบบนั้นแล้ว และถึงแม้ว่าในตอนนี้นางจะปฏิเสธ แต่ในใจของนางก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เสร็จเรื่องกับราชาเทพมารหกปรารถนาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เดินทางต่อไปยังสำนักเที่ยงธรรม
ในระหว่างที่พวกเขายิ่งเข้าใกล้สำนักเที่ยงธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็เริ่มเห็นผู้คนหนาแน่นมากขึ้น
ต้องรู้ไว้ว่าถึงแม้งานคัดเลือกราชันแห่งมวลมนุษย์จะเป็นงานใหญ่ แต่มันก็เป็นงานใหญ่ที่สำคัญแต่กับเผ่ามนุษย์เท่านั้น ซึ่งมันยังเทียบไม่ได้กับงานคัดเลือกมหาปราชญ์ของสำนักเที่ยงธรรมที่เกี่ยวข้องกับทุกเผ่าที่มีอยู่ในโลกนี้
“ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าใครจะได้เป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้” ฟู่เซียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเห็นคนจำนวนมากมายที่กำลังเดินไปที่สำนักเที่ยงธรรมเพื่อสนับสนุนปราชญ์ของตนเอง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็ได้แต่ยิ้มพลางคิดสงสัยเช่นกันว่าหลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ตอนนี้ถังชี่หยุนจะพัฒนาไปแค่ไหนแล้ว
ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะพาลูก ๆ ของเขาทุกคนมาช่วยสนับสนุนถังชี่หยุน แต่การที่นางจะได้เป็นมหาปราชญ์หรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวนางเป็นส่วนใหญ่ หากนางไร้ความสามารถจริง ๆ เขาเองก็ไม่อาจช่วยได้เหมือนกัน
แต่แล้วในขณะที่พวกเขาเดินทางใกล้จะถึงสำนักเที่ยงธรรม จู่ ๆ พวกเขาก็ถูกหยุด
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“เจ้ามีปัญหาอะไร?” หลงเฉินถามสวนไปในทันที
“พวกเจ้ากำลังเดินทางเข้าในสำนักเที่ยงธรรมใช่ไหม?” ผู้ที่ขวางทางกลุ่มของหลิงตู้ฉิงเอ่ยถามขึ้น
หลงเฉินแสดงสีหน้าเหนื่อยใจและพูดว่า “ก็เห็นชัด ๆ อยู่ไม่ใช่รึไงว่าเส้นทางที่พวกข้ากำลังมุ่งไปมันคือสำนักเที่ยงธรรม? ถ้าพวกข้าไม่ไปสำนักเที่ยงธรรมแล้วพวกข้าจะไปที่ไหนได้อีก?”
“ถ้างั้นข้าขอถามสักหน่อยว่าพวกเจ้าเป็นใครมาจากที่ไหน และปราชญ์คนไหนที่พวกเจ้าสนับสนุนอยู่?” หนึ่งในกลุ่มของเหล่าผู้คนที่ขวางทางถามต่อ
“นั่นมันเรื่องของพวกข้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวุ่นวายด้วย?” หลงเฉินถามย้อน
“หากพวกเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสนับสนุนปราชญ์จางไป๋ฟาน ถ้างั้นก็จงกลับไปซะ!” หนึ่งในผู้ขวางทางตวาดกลับ “ข้าคือลูกศิษย์ของปราชญ์จางไป๋ฟาน เสี่ยไป๋เจิ้ง! นอกเหนือจากผู้ที่สนับสนุนอาจารย์ของข้า หากพวกเจ้าต้องการผ่านเข้าไปพวกเจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
หลงเฉิน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะทำยังไงต่อดีเพราะผู้ที่ขวางทางเขาอยู่ตอนนี้คือผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามที่แข็งแกร่งกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงรอให้หลิงตู้ฉิงออกคำสั่งต่อไป
“เทียนหยุน เจ้าจงไปจัดการกับเขาซะเพื่อสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ของเจ้า” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เสี่ยไป๋เจิ้ง
เมื่อได้ยินคำสั่ง หลิงเทียนหยุนกระโดดออกจากรถมังกรทันที และบินไปหาเสี่ยไป๋เจิ้งและพูดว่า “ก่อนข้าจะอัดเจ้าจนเละ ข้าบอกไว้ก่อนว่าข้ามาที่นี่เพราะมาสนับสนุนครูถังชี่หยุน!”
เสี่ยไป๋เจิ้งขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเทียนหยุน “เจ้าเนี่ยนะเป็นศิษย์ของปราชญ์ถัง? ปราชญ์ถังนั้นมีชื่องเสียงที่ไม่ธรรมดา มันจะเป็นไปได้ยังไงที่นางจะมีศิษย์ที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะแค่ระดับหลุดพ้นสามัญอย่างเจ้า?”
หลิงเทียนหยุนหัวเราะ “ต่อให้ระดับการบ่มเพาะของข้าจะอยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญ ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางเทียบข้าได้หรอก ว่าแต่เจ้าเถอะ คิดยังไงที่มาทำตัวเหมือนโจรคอยปิดทางสัญจรของชาวบ้านเขาแบบนี้? นี่ปราชญ์จางอะไรนั่นของเจ้าไม่ได้สอนเจ้าหรอกเหรอว่าการที่เจ้ามาทำแบบนี้มันทุเรศ เอ๊ะ? หรือว่าปราชญ์ของเจ้าไม่มั่นใจในตัวเองจนถึงขนาดส่งเจ้ากับพวกมาดักผู้สนับสนุนของปราชญ์คนอื่นแบบนี้?”
เสี่ยไป๋เจิ้งยิ้มโดยที่ไม่มีท่าทีโกรธสักนิดกับสิ่งที่หลิงเทียนหยุนพูดขึ้น เขาตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อเจ้ายืนยันที่จะสู้กับข้าให้ได้ ถ้างั้นก็มาลองดูกันว่าฝีมือของเจ้าจะดีเหมือนที่เจ้าอ้างรึเปล่า!”
เมื่อพูดจบ เสี่ยไป๋เจิ้งโคจรพลังวิญญาณของเขาเต็มสิบส่วนทันทีเพื่อเปิดใช้งานอาณาเขตสวรรค์ของเขาในการโจมตีหลิงเทียนหยุน
“นี่เจ้าบ่มเพาะเต๋าธาตุไม้งั้นเหรอ?” หลิงเทียนหยุนหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสเต๋าธาตุโลหะและอัคคีของข้า!”
จากนั้นร่างของหลิงเทียนหยุนก็แยกออกเป็นสามร่าง!
ร่างแรกคือร่างของธาตุโลหะอันแหลมคม ร่างที่สองคือร่างของธาตุอัคคี ซึ่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง ส่วนร่างสุดท้ายนั้นคือร่างที่มีอำนาจทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบ ๆ เหี่ยวเฉา
ร่างทั้งสามพุ่งเข้าใส่อาณาเขตสวรรค์ของเสี่ยไป๋เจิ้งพร้อมกันในทันที
ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของหลิงเทียนหยุนจะต่ำกว่าเสี่ยไป๋เจิ้งเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ได้เปรียบในเรื่องของความเข้าใจเต๋าที่เหนือกว่าฝั่งตรงข้ามในชนิดที่เรียกว่าเทียบกันไม่ติด
เมื่อร่างทั้งสามเข้าไปปะทะกับอาณาเขตสวรรค์ เสี่ยไป๋เจิ้งก็สัมผัสได้ทันทีว่าอาณาเขตสวรรค์ของเขามันถูกสับจนเปิดออกหลายจุด และจากนั้นเปลวเพลิงก็เริ่มลุกท่วมกลืนกินพื้นที่ในอาณาเขตสวรรค์ของเขาพร้อมกับที่อำนาจของอาณาเขตมันก็ค่อย ๆ สูญสลายราวกับดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉาและค่อย ๆ ตายลง
เสี่ยไป๋เจิ้งรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขาไม่เคยนึกเลยว่าผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญจะสร้างความเสียหายให้กับอาณาเขตสวรรค์ของเขาได้ขนาดนี้จนถึงจุดที่ถ้าหากเขาใช้อาณาเขตสวรรค์ต่อไป อาณาเขตสวรรค์ของเขาจะต้องถูกทำลายลงอย่างถาวรแน่นอน
เมื่อรู้ว่าแผนการใช้อาณาเขตสวรรค์ไม่ได้ผล และอาณาเขตสวรรค์ของเขากำลังถูกร่างทั้งสามของหลิงเทียนหยุนทำลายลงเรื่อย ๆ เสี่ยไป๋เจิ้งจึงคิดที่จะจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดโดยการใช้ความแข็งแกร่งของระดับการบ่มเพาะของตัวเองที่เหนือกว่าเข้าปะทะโดยตรง แต่เมื่อเขามองไปยังร่างทั้งสามของหลิงเทียนหยุน เขาก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้งเพราะเขาเองในตอนนี้ไม่สามารถแยกได้เหมือนกันว่าร่างไหนเป็นร่างจริงที่เขาควรจะโจมตี?
แต่แล้วจู่ ๆ ร่างอีกร่างของหลิงเทียนหยุนก็ปรากฏกายขึ้นไม่ไกลจากเสี่ยไป๋เจิ้ง และถามขึ้นว่า “เป็นไงยังอยากสู้ต่ออีกไหม?”
“ไปตายซะ!” เสี่ยไป๋เจิ้งตะโกนขึ้นพร้อมกับซัดฝ่ามือไปยังร่างของหลิงเทียนหยุนที่เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่จนแหลกสลายภายในพริบตา
แต่จากนั้นสิ่งที่เสี่ยไป๋เจิ้งไม่อยากจะเชื่อก็คือ จู่ ๆ ร่างอีกร่างของหลิงเทียนหยุนก็ปรากฏขึ้นไม่ห่างจากเขาเหมือนเดิม แถมร่างนั้นยังพูดกับเขาอีกว่า “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก!”
“ข้าไม่เชื่อ! ตายไปอีกรอบซะ!” เสี่ยไป๋เจิ้งซัดฝ่ามือทำลายร่างของหลิงเทียนหยุนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แค่เพียงชั่วพริบตาร่างของหลิงเทียนหยุนก็ปรากฏขึ้นอีกรอบและมองไปที่เสี่ยไป๋เจิ้งด้วยสายตาเย้ยหยัน ซึ่งมันทำให้เสี่ยไป๋เจิ้งเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก!