พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 882 เปลี่ยนวิถีเต๋า
ทันทีที่หลิงตู้ฉิงประกาศขึ้น ลำแสงสีทองเจิดจ้าก็พวยพุ่งออกมาจากแท่นบูชาทันที ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามหาปราชญ์แห่งยุคนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว
แต่ในทางกลับกัน เหล่าผู้คนที่กำลังเฝ้าดูอยู่ต่างก็ยังรู้สึกสับสนอยู่ดี เพราะตรงแท่นบูชาตอนนี้มีอยู่ 3 คนที่ยืนอยู่ ดังนั้นใครกันที่กลายเป็นมหาปราชญ์?
คนอื่น ๆ ต่างวิเคราะห์อยู่ในใจว่า ถังชี่หยุนและจางจิงหงขึ้นไปยืนอยู่ตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่ได้รับเลือกสักทีแ ต่พอชายที่ขึ้นไปใหม่ขึ้นไปยืนเพียงครู่เดียวสัญญาณที่บ่งบอกว่ามหาปราชญ์ถูกรับเลือกกลับบังเกิดขึ้น หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ชายที่ขึ้นไปล่าสุดคือมหาปราชญ์ในยุคนี้?
แต่ว่าชายผู้นั้นไม่ใช่ปราชญ์ของสำนักเที่ยงธรรมสักหน่อย ดังนั้นเขาจะกลายเป็นมหาปราชญ์ได้ยังไง?
เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสับสน ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปมองหลิงยู่ชานและลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาสงสัย ซึ่งแม้แต่บรรดาศิษย์ของถังชี่หยุนก็มองไปที่กลุ่มของหลิงยู่ชานเช่นกัน
“เลิกจ้องข้าได้แล้ว พ่อของข้าไม่เป็นมหาปราชญ์แน่นอน!” หลิงยู่ชานเอ่ยขึ้น
ลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงรู้เป็นอย่างดีว่าถ้าหากพ่อของพวกเขาอยากจะเป็นมหาปราชญ์จริง ๆ เขาจะไม่มาช่วยถังชี่หยุนแบบนี้ และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเส้นทางที่พ่อของพวกเขาเลือกเดินนั้นไม่ใช่การเป็นมหาปราชญ์แน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นทำไมพ่อของเจ้าถึงสามารถเดินขึ้นไปถึงแท่นบูชาได้? แถมเขายังทำให้ปรากฏการณ์การบังเกิดของมหาปราชญ์เกิดขึ้นได้อีกต่างหาก?” หนึ่งในศิษย์ของถังชี่หยุนถามขึ้น
“อันนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!” หลิงยู่ชานส่ายหัวด้วยสีหน้าจนใจ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูก แต่มันก็มีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันเกี่ยวกับพ่อของพวกเขา
ทางด้านหมิงจู้ เมื่อได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้เป็นมหาปราชญ์แน่นอน นางจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ถ้างั้นมันก็น่าจะเป็นแม่ของข้าใช่ไหมที่จะได้กลายเป็นมหาปราชญ์? ในเมื่อท่านพ่อออกหน้าด้วยตัวเองแบบนี้ เขาก็ต้องช่วยแม่ของข้าให้กลายเป็นมหาปราชญ์จริงไหม?”
หลิงยู่ชานยิ้มและพยักหน้าให้กับภรรยาของเขา เพราะเขาคิดว่าหลิงตู้ฉิงก็ควรที่จะทำแบบนั้นจริงไหม?
แต่แล้วเหตุการณ์ต่อมามันก็ยิ่งทำให้ทุก ๆ คนแสดงสีหน้าโง่งมมากกว่าเดิม
บนแท่นบูชา จู่ ๆ หนังสือความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรงของถังชี่หยุนก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ และจากนั้นพลังแห่งความเที่ยงธรรมที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็หลั่งไหลเข้าไปในหนังสืออย่างบ้าคลั่งจนในท้ายที่สุดหนังสือก็ปลดปล่อยรัศมีแสงสีทองปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณรอบ ๆ
ปรากฏการณ์เช่นนี้มันทำให้คนที่กำลังมองเหตุการณ์ต่างเข้าใจแล้วว่า แท้จริงแล้วถังชี่หยุนน่าจะต้องเป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้แน่นอน
บรรดาศิษย์ของถังชี่หยุนเมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็โห่ร้องดีใจกันยกใหญ่ทันที ส่วนบรรดาศิษย์ของจางจิงหงก็ได้แต่แสดงสีหน้าหดหู่
อันที่จริงไม่เพียงแต่ศิษย์ของเขาเท่านั้น แม้แต่ตัวของจางจิงหงเองก็รู้สึกเศร้าเป็นอย่างมาก
เขารู้ว่าที่เขาไม่ได้เป็นมหาปราชญ์นั้นไม่ใช่เพราะว่าหลักการของเขาไม่ดีพอ หลักการของเขามันดีพอที่จะทำให้เขาได้มหาปราชญ์แน่นอนเพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถก้าวขึ้นมาถึงแท่นบูชาได้แบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ได้เป็นมหาปราชญ์นั้นเป็นเพราะวาสนาของเขาสู้ถังชี่หยุนไม่ได้!
เมื่อเข้าใจว่าตัวเองหมดโอกาสแล้วเขาจึงหันไปหาถังชี่หยุนเพื่อที่จะคารวะ และเอ่ยแสดงความยินดี
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำเช่นนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าร่างของถังชี่หยุนในตอนนี้นั้นกำลังค่อย ๆ จางหายไปเรื่อย ๆ!
ส่วนทางด้านของถังชี่หยุนก็ยิ้มตอบให้กับเขาราวกับว่านางไม่รู้ตัวเลยว่าร่างของนางกำลังค่อย ๆ จางหายไป
ภาพเช่นนี้มันทำให้จางจิงหงแสดงสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมากในทันที เขาทำแม้กระทั่งขยี้ตาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด ซึ่งท้ายที่สุดมันก็เป็นอย่างที่เขาเห็นจริงๆ
ร่างของถังชี่หยุนกำลังค่อย ๆ สูญสลายไปจริง ๆ!
“นี่ท่านกำลังจะเปลี่ยนวิถีเต๋า!” จางจิงหงอุทานขึ้น
ในตอนนี้ที่เขาได้สังเกตดี ๆ เขาก็รู้แล้วว่าถังชี่หยุนกำลังเปลี่ยนเส้นทางเต๋าของนางเอง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านางจะเปลี่ยนเส้นทางเต๋าของนางเองทำไมเพราะมันก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าถ้าหากนางยังยึดมั่นอยู่ในเส้นทางเดิม นางจะสามารถกลายเป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้ได้แน่นอน
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายถังชี่หยุนนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว แค่เวลาเพียงไม่กี่อึดใจร่างของนางก็สลายหายไปจนเหลือแค่เพียงหนังสือของนางที่ยังคงลอยอยู่บนอากาศพร้อมกับแผ่รัศมีแสงสีทองออกมาอยู่เรื่อย ๆ
“ปราชญ์ถังเปลี่ยนวิถีเต๋าของนางเอง!”
ปราชญ์คนอื่น ๆ เมื่อเห็นภาพเช่นนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าถังชี่หยุนทำอะไร
เสียงอุทานของพวกเขาต่างมีอารมณ์หลากหลายที่ผสมปนเปไม่ว่าจะเป็นความสับสน ตกตะลึง หรือแม้แต่คลางแคลงใจ
พวกเขามีความสงสัยไม่ต่างจากจางจิงหงว่าหากนางยังยึดมั่นอยู่ในเส้นทางเดิม นางจะสามารถกลายเป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้ได้แน่นอน แต่แล้วทำไมจู่ ๆ นางถึงตัดสินใจละทิ้งโอกาสของตัวเองและเปลี่ยนเส้นทางเต๋าของตัวเองกลางคันแบบนี้?
หมิงจู้และหมิงซิ่วต่างก็แสดงสีหน้าโง่งมไปเช่นกัน และเมื่อพวกเขาเห็นว่าแม่ของพวกเขาได้สูญสลายหายไปแล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเพราะความเสียใจ
เมื่อเห็นว่าถังชี่หยุนได้หายไปแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงค่อย ๆ เดินไปคว้าหนังสือความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรงของถังชี่หยุนมาไว้ในมือด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอบคุณท่านจริง ๆ”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เดินลงจากแท่นบูชากลับไปหากลุ่มคนของเขาทันที
ส่วนทางด้านของบนแท่นบูชา เมื่อถังชี่หยุนและหนังสือได้หายไปแล้ว พลังแห่งความเที่ยงธรรมก็เปลี่ยนเป้าเป็นหลั่งไหลเข้าไปในม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่ของจางจิงหงอย่างบ้าคลั่งแทน ซึ่งบรรดาศิษย์ของจางจิงหง เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายขึ้นในทันทีพลางคิดในใจว่า
ในเมื่อปราชญ์ถังเปลี่ยนวิถีเต๋าของตนเองและหายไปแล้ว ถ้างั้นอาจารย์ของพวกเขาก็จะต้องถูกเลือกเป็นมหาปราชญ์แทนจริงไหม?
สำหรับตัวของจางจิงหงในเวลานี้เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าพลังแห่งความเที่ยงธรรมเปลี่ยนมาเกื้อหนุนม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่ของเขาแทนแล้วเขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขารีบประสานมือคารวะแท่นบูชาเพื่อเป็นการทำความเคารพต่อสวรรค์และโลกที่มอบโอกาสให้กับเขา
ในทันทีหลังจากที่จางจิงหงคารวะเสร็จ พลังแห่งความเที่ยงธรรมก็พุ่งเข้าไปในร่างกายของเขาเช่นกัน และจากนั้นร่างกายของเขาก็ถูกขัดเกลาโดยพลังแห่งความเที่ยงธรรมจำนวนมหาศาลรวมไปถึงพลังกฎของสวรรค์และโลกก็เริ่มหลั่งไหลเข้าไปในร่างของเขาเช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อเห็นเช่นนี้บรรดาศิษย์ของจางจิงหงก็แสดงสีหน้าผ่อนคลายและเบิกบานเพราะว่าพวกเขาแน่ใจแล้วว่า มหาปราชญ์ของยุคนี้นั้นไม่ใช่ใครอื่นแน่นอนนอกซะจากอาจารย์ของพวกเขา!
เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ เมื่อจางจิงหงรู้สึกว่าได้รับพลังมาเพียงพอแล้ว เขาจึงเริ่มแบ่งพลังแห่งความเที่ยงธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หลั่งไหลไปที่แผ่นหยกของหยูหลิงหลง แทน
หลังจากที่จางจิงหงแบ่งพลังแห่งความเที่ยงธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ให้กับหยูหลิงหลงไปครึ่งหนึ่ง เขาก็แจกจ่ายพลังที่ยังเหลือให้กับปราชญ์คนอื่น ๆ ที่อยู่บนขั้นบันไดต่อ ซึ่งใครได้มากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับใครที่อยู่บนขั้นบันไดสูงกว่า
ส่วนทางด้านของไป๋ชิงหัวนั้นนางไม่ได้รับพลังแห่งความเที่ยงธรรมไปจากจางจิงหงเลยแม้แต่น้อย เพราะแม้แต่บันไดขั้นแรกนางก็ไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ ซึ่งมันพิสูจน์ว่าหลักการของนางนั้นไม่คู่ควรที่จะให้เอ่ยถึงและไม่สมควรที่จะได้รับประโยชน์ใด ๆ
ทางด้านของไป๋ชิงหัว เมื่อเห็นเช่นนี้นางก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและเข้าใจว่านางคงต้องละทิ้งหลักการเดิมทุกอย่างของนางไปให้หมด และเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่มีค่าพอที่จะดำรงสถานะเป็นปราชญ์อีกต่อไป
ทางด้านของปราชญ์คนอื่น ๆ ที่ได้รับพลังแห่งความเที่ยงธรรมไปจากจางจิงหง พวกเขาบางคนก็แสดงสีหน้ายินดีแ ต่พวกเขาบางคนก็ยังคงแสดงสีหน้าผิดหวังอยู่เหมือนเดิม
เหล่าปราชญ์ที่ยังแสดงสีหน้าผิดหวังอยู่นั้นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกอิจฉาจางจิงหงที่สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดที่พวกเขาไม่สามารถไปได้ ซึ่งพวกเขาเองก็ได้แต่แหงนหน้ามองดูจางจิงหงเลื่อนระดับไปยังขึ้นต่อไป
ในเวลาเดียวกันเมื่อจางจิงหงแจกแจงพลังแห่งความเที่ยงธรรมเรียบร้อยแล้ว ปรากฏการณ์ถัดมาที่บังเกิดขึ้นก็คือจู่ ๆ ก็มีฝนสีทองตกพรมลงมาจากฟากฟ้าปกคลุมทั่วทั้งอาณาเขตห้าวหลาน และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเม็ดฝนสีทองกระทบลงสู่พื้น ดอกบัวสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นจากพื้นดิน ซึ่งเป็นสัญญาณของการอำนวยพรจากสวรรค์และโลกสำหรับการปรากฎตัวขึ้นของมหาปราชญ์ในยุคนี้!