พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 966 ความแข็งแกร่งของครอบครัวหลิงตู้ฉิง
เมื่อทุกคนเห็นว่าแม้แต่กวนหลิงอู่ยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับกำแพงได้ พวกเขาต่างเงียบลงไม่รู้จะทำยังไงต่อ
แม้แต่ผู้สำเร็จเต๋าที่แข็งแกร่งอย่างกวนหลิงอู่ยังไม่สามารถทำอะไรกับกำแพงนี้ได้ แล้วพวกเขาจะทำลายมันได้ยังไง?
หลิงยี่เทียนขมวดคิ้วแน่นและเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาจึงหันไปพูดกับพ่อของเขา “ท่านพ่อ ท่านทำลายกำแพงนี้ให้พวกข้าที!”
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสันเขาหมื่นอสูร จำนวนที่พวกเขามีมันช่างไร้ความหมาย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพ่อบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าโจมตี เจ้าจะต้องทุ่มสุดกำลัง ส่วนพ่อจะโจมตีเมื่อจำเป็นเท่านั้น”
“แต่ข้าอยากจะใช้ไพ่ลับของข้าเมื่อยามจำเป็นเท่านั้นนี่นา ถ้าข้าใช้มันตอนนี้ข้าก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้ใช้แล้วน่ะสิ!” หลิงยี่เทียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“แล้วตอนนี้สำหรับเจ้ามันยังดูไม่ถึงเวลาอีกงั้นเหรอ? ตอนนี้กองทัพของเจ้าเคลื่อนตัวต่อไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วเจ้าจะใช้มันตอนไหน?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เอาล่ะใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าซะเพื่อเปิดทางให้กับกองทัพของเจ้า”
หลิงยี่เทียนพยักหน้า จากนั้นเขาเดินไปที่กำแพงยักษ์พร้อมกับโคจรพลังในร่างจนมีดวงแสงหลากสีเปล่งประกายออกจากร่างกาย
จากนั้นดวงแสงหลากสีที่เปล่งประกายออกจากร่างของหลิงยี่เทียนก็ค่อย ๆ บินออกจากร่างของเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเรียงตัวกันเป็นหมู่ดาวเหนือสันเขาหมื่นอสูร
ในขณะเดียวกัน ร่างของหลิงยี่เทียนก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล และใช้อาณาเขตสวรรค์ของเขาหลอมรวมเข้ากับกฎของสวรรค์และโลก
ทั้งเหล่าผู้คนและพวกอสูรต่างสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในตอนนี้หลิงยี่เทียนได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและสวรรค์ไปเรียบร้อย และดวงดาวที่เรียงตัวอยู่เหนือหัวมันเริ่มจะปลดปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลออกมาราวกับว่าพวกมันจะพุ่งกลับมาชนโลกยังไงยังงั้น
หลิงยี่เทียนมองลงมาที่กำแพงยักษ์ของสันเขาหมื่นอสูรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเขาตะโกนขึ้น “สิ่งใดก็ตามที่ขวางทาง ข้าสิ่งนั้นมันจะต้องสูญสลาย!”
หลังจากสิ้นเสียงของหลิงยี่เทียน แรงกดดันจากดวงดาวที่เรียงตัวกันเริ่มถาโถมเข้าใส่กำแพงยักษ์อย่างรุนแรงจนกำแพงยักษ์ที่พวกเผ่าอสูรคิดว่าไม่มีใครสามารถทำลายได้ก็เริ่มมีรอยแตกร้าว อย่างไรก็ตามแทบจะในทันทีที่กำแพงยักษ์เริ่มเสียหายจากรอยร้าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกลับฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ทัณฑ์สวรรค์!” หลิงยี่เทียนตะโกนขึ้น
สายฟ้านับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากท้องฟ้าผ่าลงใส่กำแพงยักษ์ในทันที ส่งผลให้กำแพงเริ่มพังทลายอีกครั้ง
แต่น่าเสียดายที่รากฐานของกำแพงยักษ์นั้นถูกเชื่อมอยู่กับเส้นชีพจรของโลก ดังนั้นมันจึงสามารถสูบพลังของโลกมาฟื้นฟูตัวมันเองได้เรื่อย ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงเอ่ยสั่งเหลียงเฟ่ยเอ๋อทันที “เฟ่ยเอ๋อ ช่วยยี่เทียน! จงใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามี ไม่เช่นนั้นยี่เทียนจะไม่มีทางทำได้สำเร็จ!”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้า นางเข้าใจความหมายที่หลิงตู้ฉิงพูดเป็นอย่างดี
นางหยิบหม้อเอกภพขึ้นมาในทันที และจากนั้นนางหลอมรวมร่างของนางเข้าไปในหม้อเอกภพ ถัดมาหม้อเอกภพก็ค่อย ๆ จมดิ่งลงไปใต้พื้นดิน
แค่เพียงอึดใจเดียวผู้คนที่อยู่ในกองทัพพันธมิตรก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่มันมีการเปลี่ยนแปลง
มันดูเหมือนกับว่าในตอนนี้โลกมีความนึกคิดเป็นของตนเองและกำลังอำนวยพรให้กับพวกเขา
ในทางกลับกัน เหล่าอสูรกลับรู้สึกแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกมันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในเวลานี้โลกเกลียดพวกมัน ส่งผลให้พวกมันเริ่มตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ คุนเป๋งที่มาจากโลกเบื้องบนอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด “ทักษะเช่นนี้มันคือทักษะอะไรกัน?”
ในเวลานี้หม้อเอกภพได้เข้าควบคุมชีพจรโลกทั่วบริเวณนี้เอาไว้เรียบร้อยและตัดขาดการเชื่อมต่อของกำแพงยักษ์ที่มีต่อชีพจรโลกอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้กำแพงยักษ์ไม่สามารถสูบพลังของโลกมาใช้งานได้อีก
แน่นอนว่าเมื่อไม่ได้รับการเกื้อหนุนจากพลังของโลก กำแพงยักษ์ก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้อีก รอยร้าวเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งจากแรงกดดันของดวงดาวที่เรียงตัวอยู่บนท้องฟ้าของหลิงยี่เทียน
ในเวลาเดียวกันนี้ หลิงยี่เทียนก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง “พังไปซะ ทัณฑ์สวรรค์!”
สายฟ้านับร้อยสายผ่าลงมาใส่กำแพงยักษ์อีกรอบ และในรอบนี้มันได้ผลกว่าครั้งแรกนับสิบเท่า กำแพงยักษ์เริ่มพังทลายและแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ จากความรุนแรงของสายฟ้า
บรรดาผู้เชี่ยวชาญของกองทัพพันธมิตรเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน พวกเขาต่างพร้อมใจกันบุกโจมตีกำแพงอย่างเต็มกำลังจนในเวลาไม่นานกำแพงยักษ์อันน่ารังเกียจที่เคยตั้งตระหง่านของทางพวกเขาก็ถูกทำลายจนราบ
“หมิงยู่ ตาเจ้าลงมือ!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น
หมิงยู่พยักหน้า จากนั้นนางเทเลือดที่อยู่ในจอกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ลงบนพื้นสร้างทะเลเลือดขึ้นมา จากนั้นนางสั่งให้ร่างอาชูร่าโลหิตที่นางสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองสองร่างนำทะเลเลือดถาโถมเข้ากลืนกินเศษซากของกำแพงยักษ์ทั้งหมดและหลอมละลายไม่ให้หลงเหลือไว้
หลิงว่านจุนหยิบเอาตราประทับหยกของหลิงยี่เทียนออกมา และตะโกนสั่งการ “กองทัพทั้งหมดโจมตีตามเจตจำนงของข้า!”
ในตอนนี้หลิงยี่เทียนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับท้องฟ้า ดังนั้นมันจึงเป็นเขาที่ต้องรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพทั้งหมด
จากนั้นหลิงว่านจุนหยิบธงรบโลหิตจักรพรรดิขึ้นมา และโบกมันส่งอำนาจเจตจำนงของเขาให้ปกคลุมไปทั่วกองทัพทั้งหมดเพื่อที่เขาจะได้สามารถสื่อสารกับบรรดาทหารให้โจมตีตามจุดที่เขาต้องการ
หากมีใครสักคนมองการรบนี้จากบนฟ้า เขาจะสามารถบอกได้ทันทีว่าการรุกของหลิงว่านจุนนั้นไม่ต่างอะไรกับยุทธวิธีของหมากรุก การเดินทัพทุกอย่างล้วนเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ซึ่งถ้าเทียบกับกองทัพของอสูรนั้นมันช่างแตกต่างกันราวกับกองทัพมือสมัครเล่นมาเจอกับกองทหารอาชีพที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน
อันที่จริงที่กองทัพพันธมิตรได้เปรียบมากขนาดนี้ไม่ใช่แค่เพราะกลยุทธ์ที่เหนือล้ำเท่านั้น แต่มันยังเป็นเพราะธงรบโลหิตจักรพรรดิที่หลิงว่านจุนกำลังโบกสะบัดมันอยู่ตลอด
ในตอนนี้ธงรบโลหิตจักรพรรดิไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่หลิงตู้ฉิงเพิ่งสร้างมันเสร็จอีกแล้ว มันไม่ได้มีแค่เพียงพลังกฎ 17 รูปแบบสถิตอยู่ในมันอีกต่อไป ตอนนี้มันมีพลังกฎที่สถิตอยู่ถึง 135 รูปแบบแถมทุกกฎล้วนเป็นกฎที่ไว้สำหรับการทำศึกโดยเฉพาะ และหลิงว่านจุนสามารถใช้อำนาจของพลังกฎเหล่านี้ที่สถิตอยู่ในธงเกื้อหนุนกองทัพทั้งหมดได้ตามใจชอบ!
กฎแห่งเงาสามารถทำให้ทหารทั้งหลายจู่ ๆ ก็หายตัวและปรากฏตัวขึ้นใหม่เพื่อลอบโจมตีศัตรูได้ กฎแห่งพละกำลังสามารถเพิ่มกำลังกายให้กับทหารในกองทัพได้ถึง 1 เท่าตัว และยังมีกฎแห่งความทรหด ซึ่งมันทำให้ผิวหนังของเหล่าทหารและอาวุธที่พวกเขาถืออยู่พังทลายได้ยากกว่าเดิม
ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ด้วยกันหรือพวกอสูรฝั่งตรงข้าม พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงกับความสามารถของหลิงว่านจุน และพวกเขาไม่เคยคิดว่าอาณาจักรจันทราจะมีแม่ทัพที่ไร้เทียมทานขนาดนี้!
ด้วยความสามารถการนำทัพที่ไร้เทียมทานขนาดนี้ ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหลิงว่านจุนมาก่อน?
หรือว่าทุกครั้งที่เขาออกไปรบ เขาไม่เคยเปิดเผยตัวตนว่าเขาเป็นใคร?
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังมีคำถามมากมายอยู่ในใจ มี่ไลยิ้มและพูดว่า “กาลเวลาเอ๋ยจงฟังคำสั่งข้า จตุฤดู!”
ร่างของมี่ไลจางหายไปในทันทีพร้อมกับสภาพบรรยากาศของสนามรบก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
กาลเวลาทั่วสนามรบโดนมี่ไลควบคุมไว้ทั้งหมด นางเปลี่ยนจุดที่กองทัพพันธมิตรยืนอยู่ให้มีแดดและฝนตกลงโปรยปรายชำระล้างกายและคืนความสดชื่นให้กับพวกเขา ส่งผลให้อาการบาดเจ็บทั้งหลายที่เกิดขึ้นฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิมและสามารถโคจรพลังได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น
ในทางกลับกัน จุดที่กองทัพอสูรยืนอยู่นั้นกลับมีแต่ความหนาวเหน็บและร้อนรุนแรงจนแสบไปทั่วร่างกายสลับกันไปเรื่อย ๆ จนพวกมันแทบทนไม่ไหว
สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายเผชิญอยู่ในตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับฝั่งหนึ่งอยู่ในนรกอีกฝั่งอยู่บนสวรรค์
เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝั่งมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถควบคุมกาลเวลาได้ สีหน้าของคุนเป๋งก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าฤดูที่ผันเปลี่ยนนี้จะไม่มีผลอะไรกับอสูรที่แข็งแกร่งแบบเขา แต่สำหรับอสูรที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันลงไป ซึ่งนั่นคือส่วนที่สันเขาหมื่นอสูรมีมันมีผลเป็นอย่างมาก
“สั่งการออกไปให้เหล่าอสูรที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์หรือต่ำกว่าทั้งหมดหลบไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยซะ” คุนเป๋งสั่งการขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “และเอาสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราทิ้งเอาไว้ออกมาใช้ ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเราคงไม่อาจรอดไปได้!”
“อัญเชิญอาวุธเต๋า!” บรรดาอสูรระดับสูงกู่ร้องกันอย่างพร้อมเพรียง
ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องเอาไพ่ลับของตัวออกมาใช้!