ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 11 อิจฉา + บทที่ 12 หญิงชั่วก็จะชอบเสแสร้ง
บทที่ 11 อิจฉา
หนิงเมิ่งเหยามองลายมือของหลินเอ๋อร์และเสี่ยวมู่ก่อนผงกศีรษะเล็กน้อย “เขียนสวยดีแล้ว แต่ยังต้องฝึกฝนกันอยู่นะ ส่วนคนอื่นๆ ที่ยังเขียนไม่ได้ก็อย่าเพิ่งท้อใจไป พวกเจ้าทุกคนเพิ่งจะเรียนรู้วิธีการเขียนหนังสือ และเมื่อครู่ก็เพิ่งเขียนตัวพยัญชนะทั้งสองตัวกันได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อไปเราจะมาพูดกันถึง…”
ระหว่างที่หญิงสาวบรรยายบทเรียนต่างๆ เหล่าชาวบ้านที่แอบฟังอยู่ด้านนอกนั้น ต่างได้ยินคำพูดที่นางเอ่ยชื่นชมลูกๆ ของพวกเขา ใบหน้าของผู้คนเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข
พอจากนางอธิบายอักษรทั้งสามตัว และสอนเด็กๆ เรื่องการคำนวณเลขอย่างง่ายเสร็จสิ้น ก็เป็นช่วงเที่ยงวันพอดี
“เอาล่ะ ทุกคนกลับบ้านได้แล้ว บ่ายวันนี้ไม่มีเรียนอะไรเพิ่มเติมนะ แต่ข้าจะให้การบ้านพวกเจ้าไปฝึกเขียนอักษรที่ร่ำเรียนมาวันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ข้าจะขอตรวจดู” หนิงเมิ่งเหยาจะสอนหนังสือในช่วงเช้าของทุกวันเท่านั้น เพราะนางเองก็มีกิจธุระส่วนตัวที่ต้องสะสางในช่วงบ่ายเช่นกัน ทำให้ไม่อาจใช้เวลาทั้งวันกับเด็กๆ ได้
“พวกเราเข้าใจ พี่เมิ่งเหยา” เด็กๆ กอดหนังสืออย่างมีความสุขและเตรียมตัวเก็บของ โดยก่อนที่จะแยกย้ายกัน หนิงเมิ่งเหยาก็บอกว่าพวกเขาสามารถเอากระบะทรายกลับบ้านไปด้วยได้ แต่ต้องนำมาคืนอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น จากนั้นทุกคนก็ลาไป หญิงสาวจึงเก็บโต๊ะและเก้าอี้ชิดผนังห้อง ก่อนจะออกไปทำอาหาร
หลังจากเด็กๆ กลับมาถึงบ้านและทานข้าวเที่ยงกันเสร็จ จึงนำกระบะทรายมาเริ่มฝึกเขียน โดยเปิดหนังสือขึ้น และบรรจงคัดอักษรตัวสุดท้ายที่ยังเขียนไม่เป็นด้วยพู่กัน ในตอนแรกนั้น ลายมือที่เขียนตัวอักษรนี้ยังดูแปลกพิกล แต่พวกเขาก็ค่อยๆ ฝึกฝน จนเริ่มเขียนได้ จากนั้นบรรดาเด็กน้อยจึงอ่านหนังสือต่อ แม้จะมีแค่สองสามประโยคก็ตาม
เหล่าชาวบ้านมองลูกๆ ของตนที่ตั้งใจอย่างมาก บทเรียนเพียงบทเดียวก็สอนเด็กๆ เรียนรู้ได้มากมายนัก ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนรอยยิ้มแห่งความยินดีปนความประหลาดใจ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว การเรียนรู้คำศัพท์เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่เด็กๆ กลับเขียนคำสองสามคำเป็นในเวลาเพียงครึ่งวันเช้าเท่านั้น จะไม่ให้พวกเขาสุขใจได้อย่างไรกัน
หลังจากนั้น เด็กน้อยทั้งหลายต่างมาเล่าเรียนกับหนิงเมิ่งเหยาในตอนเช้าของทุกๆ วัน และจะกลับไปศึกษาด้วยตัวเองต่อในช่วงบ่าย โรงเรียนเปิดสอนห้าวันและพักสองวัน ในช่วงวันหยุดสองวันนั้น หนิงเมิ่งเหยาจะพาเด็กๆ ไปเล่นหรืออ่านหนังสือ บ้างก็ทำกิจกรรมอื่นๆ ตามลำธารเล็กๆ
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านมากมายต่างสังเกตว่าลูกหลานของตนมีไหวพริบเข้าใจเรื่องต่างๆ มากขึ้น ทั้งยังรู้คำศัพท์มากมาย และคิดคำนวณบวกลบเลขได้อีกด้วย
ผู้คนทั้งหลายต่างรู้สึกยินดีกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ทำให้ทัศนคติที่มีต่อหนิงเมิ่งเหยาดีขึ้นตามไปด้วย หญิงสาวเป็นคนแรกที่พวกเขานึกถึงเมื่อมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นภายในบ้าน
นั่นทำให้บ้านของหนิงเมิ่งเหยาไม่เคยขาดแคลนผักและผลไม้เลย ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยยังเอาเห็ดจากบนภูเขามาให้นางอีกด้วย หากกินไม่หมด ก็จะอบแห้งและเก็บถนอมเอาไว้
หญิงสาวไม่ได้จับงานเย็บปักถักร้อยเท่าไรนัก เนื่องจากต้องสอนบทเรียนแก่เด็กๆ ฉะนั้น ในวันนี้หลังจากเหล่าศิษย์ตัวน้อยกลับบ้านแล้ว นางจึงนำสะดึงออกมาและใช้เวลาช่วงนี้เริ่มปักไปได้ครู่หนึ่ง หยางซิ่วเอ๋อร์ก็ถือกระเป๋าผ้าปักแล้ววิ่งเข้ามาหา หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมานาน
ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อเห็นสะดึงผ้าปักอยู่ตรงหน้าหนิงเมิ่งเหยา
หยางซิ่วเอ๋อร์สะดุดตากับสะดึงผ้านั้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะมันใช้วิธีการปักเย็บที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ในขณะที่นางกำลังชื่นชมอยู่นั้น ในใจก็เต็มไปด้วยความอิจฉา นางจับผ้าปักเอาไว้โดยไม่รู้ตัว และเผลอกำผ้าปักนั้นไว้แน่น หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วหลังจากเห็นว่าผ้าปักยับเป็นรอยย่น “ปล่อยมือออก”
น้ำเสียงเย็นชานั้นทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์ขนลุกแบบไม่รู้ตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงตาคู่หนึ่ง สายตาคู่นั้นเยือกเย็นราวกับจะกลืนกินนางทั้งตัว
“ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ เมิ่งเหยา เจ้าช่วยสอนวิธีการปักเย็บนี้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ มันช่างสวยงามจริงๆ ” แววตาของหยางซิ่วเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ไม่ได้หรอก วิธีการปักเย็บนี้เป็นเคล็ดลับที่ไม่อาจเผยแพร่ให้กับคนนอกได้” หนิงเมิ่งเหยาปรายตามองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยเบาๆ
“แต่เราเป็นเพื่อนกันมิใช่หรือ แล้วมันจะแพร่ไปสู่คนนอกได้อย่างไรกันเล่า เมิ่งเหยา โปรดบอกข้าหน่อยเถอะ” หยางซิ่วเอ๋อร์มองหญิงสาวอย่างอ้อนวอน
‘ตราบใดที่นางได้รู้เคล็ดลับการเย็บปักวิธีนี้ แล้วยังจะต้องกังวลอะไรอีกเล่า’
หนิงเมิ่งเหยาชะงักมือที่กำลังปักผ้าอยู่ และมองอีกฝ่ายอย่างละเหี่ยใจ หญิงสาวไม่อาจเย็บผ้าต่อได้ จึงเก็บสะดึงไว้ในบ้าน ก่อนจะเริ่มทำสวนผักแทน
“เหตุใดเจ้าถึงหยุดปักผ้าเสียดื้อๆ เล่า” หยางซิ่วเอ๋อร์พูดโพล่งอย่างไม่ทันคิดเพราะยังอยากจะล่วงรู้ทักษะเคล็ดลับอยู่
หนิงเมิ่งเหยาปรายตามองนาง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หนวกหูเสียจริง”
หยางซิ่งเอ๋อร์แทบกระอักเลือดด้วยวาจาสี่พยางค์ง่ายๆ นั้น ‘หญิงสาวผู้นี้กำลังเหยียดหยามนางอยู่อย่างนั้นหรือ’
“เมิงเหยา นี่เจ้า…”
“เหยาเหยา ข้าแวะมาหาเจ้าแน่ะ” นางหยุดพูดหลังจากได้ยินเสียงของหยางเล่อเล่อดังมาจากด้านนอก
เมื่อหยางซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงนี้ ความรู้สึกเกลียดชังก็เอ่อล้นในจิตใจ ‘หากไม่ใช่เพราะเด็กสาวผู้นี้ แผนการของนางก็คงสำเร็จไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำลายชื่อเสียงของหนิงเมิ่งเหยา หรือแม้กระทั่งการได้รับความเคารพรักจากบรรดาชาวบ้านแห่งหมู่บ้านไป๋ซานแห่งนี้’
บทที่ 12 หญิงชั่วก็จะชอบเสแสร้ง
หยางเล่อเล่อเดินเข้ามาภายในบ้านและพบกับหยางซิ่วเอ๋อร์ ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“แล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้เล่า นี่มันบ้านของเมิ่งเหยา ไม่ใช่ของเจ้าสักหน่อย” หยางซิ่วเอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น
หยางเล่อเล่อหาได้โกรธไม่ และพูดด้วยรอยยิ้มแทน “ก็นั่นน่ะสิ นี่คือบ้านของเหยาเหยาผู้ที่เจ้าใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วเจ้าจะมาทำอะไรที่บ้านของนางกันเล่า”
ดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์เลิ่กลั่ก ก่อนหันมองดูหนิงเมิ่งเหยาที่ส่งสายตาเย็นชามาให้ ก่อนจะทำธุระของตนต่อ
นางมาที่นี่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านนี้จะไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้หยางเล่อเล่อกลับร้องบอกเรื่องราวเหล่านั้น และดูเหมือนว่าหญิงสาวจะรู้อยู่ก่อนแล้วด้วย
“เมิ่งเหยา อย่าไปฟังคำโกหกของนางผู้นี้นะ ข้ามิได้ทำอะไรเลย” หยางซิ่วเอ๋อร์พูดโพล่งออกไป หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป
หนิงเมิ่งเหยามองดูนางก่อนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็รู้ดีนี่ ว่านางมิได้พูดปด”
หยางซิ่วเอ๋อร์อึกอัก ‘ทำไมนางจะไม่รู้ว่าตนเองทำหรือมิได้ทำอะไร’
“เมิ่งเหยา เจ้าเลือกเชื่อคำของหยางเล่อเล่อมากกว่าข้าอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันนะ” นางมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่พอใจ และยังทำตัวราวกับหญิงสาวผู้นี้เป็นฝ่ายกระทำผิด
หนิงเมิ่งเหยาชะงักมือลงและเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ข้าเชื่อเล่อเล่อแน่นอน เพราะนางเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง”
เดิมทีหยางซิ่วเอ๋อร์ตั้งใจจะพูดลอยๆ และต้องการให้นางรู้สึกไม่ดีที่เข้าใจเรื่องนี้ผิด แต่หญิงสาวกลับไม่เข้าใจนัยยะนั้นและยังฉีกหน้าของนางอีกต่างหาก
“เมิ่งเหยา เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นมิตรสหายของเจ้าอย่างนั้นหรือ” หยางซิ่วเอ๋อร์หยิกแขนตนเองเพื่อเรียกน้ำตา หยางเล่อเล่อตัวสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวราวกับเป็นผู้น่าสงสาร
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังไตร่ตรองคำถามนั้นอยู่ แต่เมื่อหยางซิ่วเอ๋อร์ส่งยิ้มให้กับเด็กสาวอย่างมีนัยยะชั่วร้าย หญิงสาวจึงตอบกลับอย่างขึงขัง “เจ้ากับข้ามิใช่เพื่อนกันนี่”
ความปรารถนาที่จะเป็นมิตรสหายกับหนิงเมิ่งเหยานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่หวังแต่จะตักตวงผลประโยชน์เข้าตนเองเช่นหยางซิ่วเอ๋อร์ผู้นี้ เหมาะจะเป็นเพื่อนกับนางอย่างนั้นหรือ
หนิงเมิ่งเหยาไม่เคยรู้สึกชอบหยางซิ่วเอ๋อร์เลย เพียงแต่คิดว่าในช่วงแรกที่ตนเข้ามาอยู่ที่นี่ นางก็มิได้ทำตัวร้ายกาจอะไร หญิงสาวจึงยอมมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ไป ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยคิดว่าหยางซิ่วเอ๋อร์เป็นเพื่อนของตนเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นหยางเล่อเล่อเป็นเพียงมิตรสหายหนึ่งเดียวที่นางให้ใจเท่านั้น
คำพูดตรงไปตรงมาของหนิงเมิ่งเหยานั้น ทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์หน้าตาบึ้งตึง พร้อมทั้งสายตาที่มองหยางเล่อเล่อก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นราวกับอยากจะตบหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ปาน
“เมิ่งเหยา จะเกินไปแล้วนะ”
หนิงเมิ่งเหยามองหยางซิ่วเอ๋อร์จากไป แล้วยิ้มอย่างเย็นชาโดยไม่ใส่ใจอะไรนัก ก่อนจะหันไปหาหยางเล่อเล่อ “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมีเวลามาหาข้าได้เล่า”
“โถ่ ตอนนี้ข้ามาเยี่ยมเจ้าได้แค่ช่วงบ่ายเท่านั้นนี่ เมื่อเที่ยงวันนี้เจ้าก็ดูยุ่งมากเลย” ก่อนหน้านี้นางแวะมาหาหญิงสาวในช่วงเที่ยง แต่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังสอนบรรดาเด็กน้อยเรื่องคำศัพท์ต่างๆ อย่างจริงจัง จึงไม่อยากเข้ามารบกวน
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะ “แต่เจ้าแวะมาที่นี่ในช่วงวันหยุดได้นะ”
“เจ้าไม่ต้องพาเด็กๆ ไปอ่านหนังสือและเล่นสนุกในช่วงวันหยุดหรอกหรือ” หยางเล่อเล่อไถ่ถามอย่างไม่คาดคิด
“ไม่จำเป็นหรอก ถึงข้าไม่ไปก็ไม่เป็นไร”
“เยี่ยมเลย ถ้าเช่นนั้น เมื่อถึงวันหยุดครั้งหน้า เราไปเดินเล่นในตัวเมืองกันเถอะ” วันนี้หยางเล่อเล่อตั้งใจมาชวนหญิงสาวให้เข้าเมืองไปเป็นเพื่อนกัน เนื่องจากนางเย็บปักผ้าตามลวดลายตกแต่งที่หนิงเมิ่งเหยาวาดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรตั้งราคาขายไว้ที่เท่าไรดี
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิด และดูเหมือนว่าจะต้องตุนข้าวสารเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน หญิงสาวจึงพยักหน้ารับคำเบาๆ
“ดีเลย เดี๋ยวข้าจะพยายามเย็บงานปักผ้าของตัวเองเช่นกัน หากเสร็จทันก่อนวันที่จะเข้าเมือง เราจะได้เอาไปขายพร้อมกันเลย”
หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยพลางหยิบงานปักผ้าของตนออกมาตรงหน้า หยางเล่อเล่อมองดูงานเย็บปักของหญิงสาวผู้นี้ด้วยดวงตาตื่นเต้นและยินดี