ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 113 เลี้ยงปูเลี้ยงปลา + บทที่ 114 พบปะสัตว์ร้ายบนภูเขา
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 113 เลี้ยงปูเลี้ยงปลา + บทที่ 114 พบปะสัตว์ร้ายบนภูเขา
บทที่ 113 เลี้ยงปูเลี้ยงปลา
ชิงซวงมองคุณหนูของตนแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูบอกว่าอยากจะเลี้ยงปลาที่บ่อน้ำทางทิศใต้ใช่ไหมเจ้าคะ?”
“อ้อ ใช่ ถ้าเจ้าไม่เตือนขึ้นมาข้าคงลืมไปเลย ชิงเซวียน ช่วยบอกให้คนส่งกุ้งกับปลามาให้ข้าที อ้อ แล้วก็พวกเต่าด้วยนะ” หนิงเมิ่งเหยากล่าวพร้อมด้วยดวงตาเป็นประกาย สัตว์พวกนี้มีมูลค่ามากนัก ถ้าเลี้ยงพวกมันแล้ว ในอนาคตนางน่าจะสามารถเอาพวกมันไปขายได้ในราคาดีทีเดียว แม้ว่าในขณะนี้ เงินนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่นางสนใจก็ตาม
ชิงเซวียนพยักหน้า “ขอรับ คุณหนู”
“ทำไมไม่ปลูกดอกบัวด้วยเล่า?”
“แน่นอน ต้องปลูกอยู่แล้ว” นางชอบกินเม็ดบัว และชอบดื่มน้ำจากฝักบัวคู่กับซุปเห็ดหูหนูขาว หากนางไม่ปลูกบัวสักต้น แล้วนางจะเอาเม็ดมันมาได้อย่างไร
ในระหว่างที่คุยเรื่องนี้กัน หนิงเมิ่งเหยาก็แทบรอไม่ไหวที่จะเดินไปยังบ่อปลา
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปดึงนางกลับมา เขามองนางซึ่งมีท่าทางกระฉับกระเฉงอย่างมีความสุข “เจ้าจะรีบไปไย? ของยังมาไม่ถึงเลย เหตุใดต้องรีบขนาดนั้นด้วยเล่า?”
ฝีเท้าของหนิงเมิ่งเหยาหยุดลง นางหมุนตัว และเดินกลับไปข้างกายของเฉียวเทียนช่าง แก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
เจ็ดวันต่อมา คนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงหน้าบ้านของหนิงเมิ่งเหยาพร้อมกับถืออ่างน้ำขนาดใหญ่มาด้วย เมื่อนางเห็นพวกเขา ดวงตาของนางก็เป็นประกายวิบวับ
นางนำทางพวกเขาไปยังบ่อปลาซึ่งถูกเติมน้ำ และปลูกพืชน้ำหลายชนิดเอาไว้ ดอกบัวเองก็ถูกนำมาปลูกไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ใส่สิ่งที่ควรอยู่ในอ่างเท่านั้น
พวกเขาปล่อยปลา กุ้ง และปูจากในอ่างลงสู่บ่อ เมื่อมองพวกมันแหวกว่ายอยู่ในน้ำ หนิงเมิ่งเหยารู้สึกพออกพอใจยิ่งนัก
“ดียิ่งนัก ข้าอยากให้ถึงฤดูร้อนแล้ว” พอเข้าฤดูร้อน สถานที่แห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยดอกบัวมากมาย ทิวทัศน์จะต้องสวยสดงดงามมากแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นนางก็คงจะซื้อเรือลำเล็กๆ สักลำมาเตรียมไว้
“เหยาเอ๋อร์ ข้าว่าจะสร้างศาลา และเตรียมเรือมาไว้ให้เจ้าในฤดูร้อน เจ้าจะว่าอย่างไร?” เฉียวเทียนช่างยืนอยู่ข้างหนิงเมิ่งเหยา และมองคลื่นซึ่งทอประกายอยู่ในบ่อ
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างประหลาดใจ “ท่านรู้ว่าข้าคิดอะไรอยู่ได้อย่างไร?”
“เจ้าลองเดาดูสิ”
นางกลอกตามองเขา ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน และจ่ายเงินให้กับคนกลุ่มนั้น “ขออภัยที่รบกวน”
“ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” ไต้ก๋ง[1]ตอบพร้อมรอยยิ้ม
ครั้งนี้พวกเขาทำเงินได้มากโข ทั้งนางยังเพิ่มเงินพิเศษให้อีกด้วย ถึงแม้ว่าการค้าขายในปีถัดไปจะไม่รุ่งเรือง แต่พวกเขาก็ยังสามารถพึ่งพาเงินจำนวนนี้ได้อีกนาน
หลังจากส่งพวกเขากลับไป หนิงเมิ่งเหยาตั้งใจว่าจะเข้าครัวทำอาหารให้เฉียวเทียนช่างกินด้วยตัวเอง
เฉียวเทียนช่างเข้ามาในครัวเพื่อมองนาง เขาสังเกตวิธีที่นางใช้หั่นผักต่างๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเราจะมีกับข้าวหลายอย่างนะ”
“ใช่แล้ว”
เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาพลางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หญิงสาวผู้นี้ช่างทำให้คนไม่สามารถทนตำหนิได้จริงๆ
ตั้งแต่วันนั้นที่หลิงหลัวกลับไป เขาก็ไม่กลับมาที่หมู่บ้านไป๋ซานอีกเลย บางทีเขาอาจจะยอมแพ้ไปแล้ว หรือไม่ก็คงเพราะกำลังยุ่งกับเรื่องภรรยาของตนอยู่กระมัง แต่อย่างไรก็ตาม หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย นางยุ่งเกินกว่าที่จะไปสนใจภรรยาของหลิงหลัว
ช่วงนี้หนิงเมิ่งเหยามีความสนใจในการล่าสัตว์เป็นอย่างมาก นางมักจะรบเร้าให้เฉียวเทียนช่างพานางไปด้วยยามเมื่อเขาจะขึ้นเขา เมื่อเห็นว่าที่นั่นไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายเขาจึงตัดสินใจพานางติดสอยห้อยตามไปด้วย พวกเขาสามารถล่าพวกกระต่ายป่า และไก่ฟ้าบนนั้นด้วยกันได้ ทว่านางกลับวิ่งเข้าไปสำรวจพื้นที่ในป่าซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาแทน และนั่นทำให้เฉียวเทียนช่างเป็นกังวล
“เทียนช่าง เร็วเข้า” เมื่อเห็นว่าเขาเดินทอดน่องสบายๆ ตามหลังนางอยู่ หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกหงุดหงิด นางอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมให้เขาพานางมาได้ แต่เขากลับเอาแต่ทำตัวชักช้ายิ่งนัก
เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างจนปัญญา รู้สึกปวดหัวนิดๆ และเอ่ยขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์ เราไม่ต้องเข้าไปลึกขนาดนั้นได้หรือไม่? ที่นั่นมันมีสัตว์ดุร้ายอยู่” แค่ไปคนเดียวเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองย่างก้าวเข้าไปในดินแดนรกร้างแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีหนิงเมิ่งเหยาอยู่กับเขาด้วย เขาไม่ได้ห่วงว่านางจะก่อปัญหาให้เขาหรอก แต่เขากลัวว่านางจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียมากกว่า ทว่าโชคร้ายที่หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ข้าไม่สนหรอก เจ้าสัญญาแล้วนี่ว่าจะพาข้ามา จะมาผิดสัญญาเอาตอนนี้หรือ?” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างกล่าวโทษ และดวงตาของนางก็เหมือนจะกำลังบอกว่าถ้าเขาไม่พานางไป นางก็จะไม่สนใจเขาอีก
เฉียวเทียนช่างถอนหายใจหนักๆ เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”
“แน่นอน”
ท้ายที่สุดแล้วเฉียวเทียนช่างก็พาหนิงเมิ่งเหยาเดินขึ้นเขา เข้าสู่ป่าซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในนั้น เมื่อเทียบกันแล้ว ภายในป่าลึกเช่นนี้มีสิ่งที่ต่างจากป่าด้านนอกอยู่หลายอย่างนัก ยกตัวอย่างเช่น โป๊ยกั้ก
“เจ้ามองพวกมันทำไม?”
“ข้าว่าจะขุดมันขึ้นมาสักสองสามต้นแล้วเอาไปปลูกที่บ้าน” หนิงเมิ่งเหยากล่าวพลางลงมือขุดพวกมันขึ้นมา
[1] นายท้ายเรือสำเภาหรือเรือจับปลา
บทที่ 114 พบปะสัตว์ร้ายบนภูเขา
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยาขุดต้นโป๊ยกั้กเอง เขาก็เข้าไปช่วยนางอย่างว่องไว ในไม่ช้า พวกเขาก็ขุดมันออกมาได้เจ็ดถึงแปดต้น หนิงเมิ่งเหยารู้สึกพอใจมาก
ระหว่างที่เฉียวเทียนช่างพูดคุยกับหนิงเมิ่งเหยาอยู่ จู่ๆ ร่างของเขาก็ชะงักเกร็ง เขาคว้าตัวหนิงเมิ่งเหยาขึ้น และอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกระโดดขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เมื่อยืนอยู่บนก้าน เขาก็วางหนิงเมิ่งเหยาลงบนนั้น และกล่าวเตือนนาง “จับไว้ให้แน่นๆ แล้วอย่าขยับ เข้าใจไหม?”
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว นางเดาว่าเฉียวเทียนช่างน่าจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เขาดูกระวนกระวายเช่นนี้
หนิงเมิ่งเหยาเดาถูก เมื่อครู่เฉียวเทียนช่างได้ยินเสียงบางสิ่งจริงๆ มันฟังดูเหมือนเสียงของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่
ทั้งสองนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงอยู่ครู่หนึ่ง หนิงเมิ่งเหยาสงสัยว่าหรือบางทีเฉียวเทียนช่างจะหูฝาดไป
เมื่อนางทำท่าจะกล่าวอะไรขึ้นมา เขาก็รีบเอามือมาปิดปากนางเอาไว้เสียก่อน ป้องกันไม่ให้นางส่งเสียงใดๆ ออกมาได้ “มันมาแล้ว”
หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้ามองลงไปโดยไม่รู้ตัว และในเวลานั้นจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังอยู่ในพุ่มไม้
นางเหลียวมองเฉียวเทียนช่างก่อนจะก้มหน้าลง นางเห็นสุนัขป่าตัวหนึ่ง มันมีขนสีเทา และดวงตาสีเขียวเข้มปนเหลือง มันกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่
วินาทีนั้นเอง นางก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ว่าทำไมเฉียวเทียนช่างจึงไม่อยากพานางเข้ามาในส่วนที่เป็นป่าลึกบนภูเขา
ระหว่างที่หนิงเมิ่งเหยากำลังกระวนกระวายอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงของสัตว์ตัวอื่นกำลังใกล้เข้ามา แล้วเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
ระหว่างที่จ้องมองเสือตัวนั้นด้วยดวงตาเบิกโพลง นางก็เอามืออุดปากตัวเองไว้ นางรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำแล้ว หากรู้ว่าที่นี่นั้นอันตรายเพียงใด นางก็คงไม่ดื้อแพ่งให้เฉียวเทียนช่างพามาด้วยแน่ๆ
ลมหายใจของหนิงเมิ่งเหยาค่อยๆ สงบลง นางมองดูสัตว์ร้ายสองตัวซึ่งอยู่ด้านล่างของพวกเขาโดยไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัว นางรู้สึกกลัวจับใจ
ดูเหมือนว่าเฉียวเทียนช่างจะสัมผัสถึงความหวาดกลัวของนางได้ เขาเอื้อมมือมากอดนางเอาไว้ก่อนกระซิบที่หูของนางว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”
หนิงเมิ่งเหยากอดเอวแกร่งของเฉียวเทียนช่างแน่นอย่างไม่รู้ตัว เสียงการต่อสู้ดังก้องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่หนิงเมิ่งเหยาไม่กล้าก้มลงไปดู
เสียงหอนของสุนัขป่า และเสียงคำรามของเสือทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกเสียขวัญกว่าเดิม นางยึดเฉียวเทียนช่างแน่นด้วยกลัวว่าจะร่วงลงไป
เสียงของสัตว์สองตัวนั้นค่อยๆ เงียบลงทีละน้อย เฉียวเทียนช่างก้มลงมองยังสัตว์ป่าทั้งสองตัวที่กำลังค่อยๆ หมดลมหายใจลง เขาค่อยโล่งอกขึ้นมาบ้าง “ไม่เป็นไรแล้ว”
ร่างของหนิงเมิ่งเหยาแข็งค้าง นางก้มลงมองบ้าง และพบว่าสัตว์ทั้งสองนั้นต่างก็บาดเจ็บไปตามๆ กัน โดยเฉพาะกับสุนัขป่า ที่คอของมันมีบาดแผลโชกเลือดขนาดใหญ่สองจุด
“ทีนี้เจ้าอยากกลับบ้านหรือยัง?”
“กลับ กลับ ข้าอยากกลับบ้าน” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้ารัวเร็ว เพราะนางไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว
เฉียวเทียนช่างมองอย่างอ่อนโยนก่อนจะอุ้มนางลงจากต้นไม้ เมื่อมาถึงพื้นดิน เขาก็มองไปยังสัตว์ทั้งสองระหว่างพิจารณาว่าเขาควรจะเอาพวกมันกลับไปด้วยหรือไม่
“เราเอาเสือกลับไปก็แล้วกัน” เขากล่าวก่อนหันไปหาหนิงเมิ่งเหยา ทำราวกับว่ากำลังถามความเห็นนางอยู่
เสือตัวนี้มีน้ำหนักราวๆ สองร้อยถึงสองร้อยเจ็ดสิบจินเห็นจะได้ เมื่อหนิงเมิ่งเหยามองไปที่เสือ นางก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ก่อนถามขึ้น “เราจะเอามันลงไปได้อย่างไร?”
“ข้าจัดการเอง เจ้าระวังตัวและล่วงหน้าไปก่อนก็แล้วกัน” เฉียวเทียนช่างตอบอย่างใจเย็น
หากไม่ใช่เพราะความต้องการของเขาที่อยากจะทำเสื้อขนสัตว์ตัวใหญ่ให้กับหนิงเมิ่งเหยาแล้วล่ะก็ เขาคงไม่อยากจะเอาเจ้าตัวยุ่งนี่กลับลงไปด้วยนัก
ถ้าถลกหนังเสร็จ น่าจะเอาไปทำเป็นพรมและวางไว้ในห้องนางได้
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่าง และสุดท้ายก็พยักหน้า นางแอบสงสัยเล็กๆ ว่าเขาจะเอาเสือกลับไปได้อย่างไร
ระหว่างที่นางคิดเรื่องนั้นอยู่ เฉียวเทียนช่างก็ก้มตัวลง จับขาหน้าและขาหลังของมันด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะใช้แรงแบกมันขึ้นพาดไหล่
หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองเขาแบกเสือขึ้นหลัง ทำราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักแม้แต่นิดเดียว นางกลืนน้ำลายแล้วถามขึ้น “ไม่หนักหรือ?”
“ไม่เลย ไปกันเถอะ” ตรงนี้ยังมีศพของสุนัขป่าอยู่ กลิ่นเลือดของมันคงจะล่อให้สัตว์ป่าตัวอื่นเข้ามาหาในไม่ช้า ดังนั้นกลับให้เร็วที่สุดน่าจะดีกว่า
“อืม”
การลงจากภูเขานั้นเร็วกว่าปีนขึ้นไป เมื่อมาถึงบ้าน คุณยายฉินถึงกับกระโดดโหยงเมื่อเห็นเสือบนไหล่ของเฉียวเทียนช่าง
ในตอนนั้น ทุกคนล้วนหันไปมองยังหนิงเมิ่งเหยา โดยเฉพาะคุณยายฉิน สายตาของนางนั้นราวกับจะคาดคั้น “คุณหนู ขึ้นเขาสนุกไหมเจ้าคะ?”
หนิงเมิ่งเหยาทำหน้าคล้ายคนจะร้องไห้ระหว่างที่นางมองพวกเขา หากนางรู้ว่าสิ่งที่นางต้องเจอจะทำให้นางกลัวแทบตายขนาดนี้ นางก็คงไม่ขอไปด้วยตั้งแต่แรก จากสายตาที่พวกเขามองนาง นางคงไม่กล้าสงสัยเรื่องภูเขามากจนเกินไปอีกแล้ว