ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 161 แต่งเป็นอนุภรรยา + บทที่ 162 มีชีวิตรอดได้แค่คนเดียวเท่านั้น
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 161 แต่งเป็นอนุภรรยา + บทที่ 162 มีชีวิตรอดได้แค่คนเดียวเท่านั้น
บทที่ 161 แต่งเป็นอนุภรรยา
พิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้นั้นเป็นประเด็นซึ่งน่าหนักใจเอาเรื่อง หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงมัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้เป็นคนในราชสำนักอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องการขึ้นครองราชย์นี้จึงไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับพวกเขาเลย
“เจ้าอยากออกไปเดินเล่นหรือเปล่า?”
“เอาสิ ไปเดินเล่นบนภูเขากันดีหรือไม่?” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างด้วยดวงตาอันเป็นประกายสดใส
นางไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นนานแล้ว
เฉียวเทียนช่างอึ้งไปเล็กน้อย แต่เขาเป็นคนชวนนางให้ไปเดินเล่นเอง ดังนั้นจึงตอบได้เพียงว่า “ได้สิ เช่นนั้นไปกันเลย”
ทั้งสองกลับเข้าไปเอาคันศรและลูกธนูจากในบ้าน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินขึ้นเขาโดยมีหนิงเมิ่งเหยาถือตะกร้าติดมือไปด้วย
หนิงเมิ่งเหยาเก็บนั่นเด็ดนี่ตามใจตัวเองไปตลอดทาง ในขณะเดียวกันเฉียวเทียนช่างก็ล่าสัตว์ไปด้วย เมื่อถึงตอนเย็น พวกเขาก็มีของป่าหลายชนิดที่ต้องหอบกลับมาที่บ้าน
ตะกร้าของหนิงเมิ่งเหยาเต็มไปด้วยพืชผักในป่าหลากชนิด และยังมีผลไม้ป่าทั่วๆ ไปอีกหลายผล เฉียวเทียนช่างนั้นเองก็ล่าไก่ฟ้าได้หลายตัว รวมถึงกระต่ายป่าและกวางด้วย
พอเริ่มดึกทั้งสองก็ลงจากภูเขา เมื่อลงมาถึงตีนเขา พวกเขาก็เห็นเกวียนอันงดงามเล่มหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของตน
ทั้งสองมองหน้ากันพลางเดินเข้าไปพร้อมความสงสัยในดวงตา ใครกัน? เซียวฉีเทียนหรือ?
ไม่ ไม่น่าจะใช่ เขามักจะขี่ม้ามาเสมอเวลาที่มา ไม่ใช้เกวียนเช่นนี้แน่
ด้วยความสงสัย ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อก้าวผ่านเข้าประตูไป ก็เห็นหยางชุ่ยยืนอยู่ตรงนั้นในชุดออกงานผ้าไหมทอละเอียด ชิงเสวี่ยและข้ารับใช้คนอื่นๆ ดูมีท่าทีโกรธเคือง
เมื่อหยางชุ่ยเห็นหนิงเมิ่งเหยาเดินเข้ามา ฉับพลันสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อนางเห็นเฉียวเทียนช่าง ดวงตาของนางก็ปรากฏเจตนามุ่งร้ายออกมาราวกับอยากจะฆ่าเขาให้ตายไปกับมือ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่อีก?” หนิงเมิ่งเหยาถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
หยางชุ่ยหัวเราะเยาะเสียงดัง “หนิงเมิ่งเหยา ตอนนี้ข้าแต่งงานกับบุตรชายท่านเจ้าเมืองแล้ว เจ้าอย่าได้กล้ามาทำตัวไร้มารยาทกับข้าง่ายๆ เช่นนี้”
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้ว “เช่นนั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีด้วย” น้ำเสียงอันราบเรียบของนางทำให้หยางชุ่ยรู้สึกหงุดหงิด เหตุใดนางจึงไม่สนใจเลยสักนิด?
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ภรรยาของเขาเป็นบุตรสาวของท่านนายอำเภอนี่” เฉียวเทียนช่างซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเอ่ย
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าเป็นอนุภรรยา?”
คำว่า ‘อนุภรรยา’ นับว่าเป็นคำแสลงหูสำหรับหยางชุ่ย ที่นางได้แต่งงานกับบุตรชายของขุนนางนั้นเป็นเพราะว่าภรรยาของเขากำลังตั้งท้องอยู่ และหยางชุ่ยก็เป็นหญิงรูปงามซึ่งไม่ได้มีประวัติเลิศเลออะไร แม้ว่าพี่ชายของนางจะเป็นซิ่วไฉ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เลื่อนขั้น
ด้วยเหตุนี้คนประเภทหยางชุ่ยจึงถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้อาณัติขุนนางและภรรยาของเขาได้ง่ายกว่าคนประเภทอื่น
ทว่าหยางชุ่ยและตระกูลของนางนั้นกลับรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ เพราะหยางชุ่ยได้เป็นถึงอนุภรรยาของผู้มีอิทธิพล ไม่ใช่เป็นอนุภรรยาของสามัญชน
แม้แต่คนในหมู่บ้านซึ่งรู้ว่านางได้แต่งงานกับผู้ใดนั้นล้วนต่างก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน แน่ล่ะ นั่นเป็นเพียงแค่ในมุมมองของหยางชุ่ยเพียงผู้เดียว
มีคำกล่าวว่า บางคนยอมเป็นภรรยาเอกของชาวบ้านจนๆ ดีกว่าไปเป็นอนุภรรยาของคนรวย ทว่าสำหรับคนบางประเภท การแต่งงานกับผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และได้กลายเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นอาจจะเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะมีความเห็นตรงกัน หลายคนยังเชื่อว่าการแต่งงานกับผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และไปเป็นอนุภรรยาของเขานั้นมันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก เพราะการเป็นอนุภรรยานั้นหมายถึงการที่นางยังสามารถถูกลงโทษได้ ถูกตบตีได้ หรือแม้กระทั่งจะถูกขายให้ผู้อื่นไปตอนไหนก็ได้เช่นกัน
หากภรรยาเอกของชายผู้ร่ำรวยนั้นถูกใจตัวอนุภรรยา มันก็คงไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ทว่าหากเป็นตรงกันข้าม อนุภรรยาผู้นั้นมีแต่จะถูกเพ่งเล็ง และนั่นยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา
“เจ้าอิจฉาข้าหรือ?”
หนิงเมิ่งเหยามองหยางชุ่ยด้วยความขบขัน คนที่หนิงเมิ่งเหยาหมั้นหมายด้วยนั้นเป็นถึงแม่ทัพ ถึงแม้ว่าเฉียวเทียนช่างจะไม่อยากกลับไปสวมบทบาทนั้น แต่เมื่อเอาเขาไปเปรียบเทียบกับขุนนางขั้นที่เจ็ด เขาก็เป็นถึงแม่ทัพผู้ที่สามารถกำจัดตัวปัญหาพรรค์นั้นให้หายไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกระดิกนิ้วอยู่ดี ทว่าหยางชุ่ยกลับคิดว่าการมาโอ้อวดตนถึงที่แห่งนี้นั้นเป็นความคิดที่ดี มิหนำซ้ำ นางยังจะถามอีกว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นอิจฉานางหรือเปล่า? สมองนางยังปกติดีอยู่หรือไม่? นางพูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“หัวเจ้าคงจะมีปัญหาจริงๆ ” หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้าและทอดถอนใจด้วยความสงสาร
“เจ้าช่างกล้านัก กล้าดียังไงจึงกล่าววาจาหยาบคายกับอนุภรรยาของเจ้านายข้าเช่นนี้”
ริมฝีปากของหนิงเมิ่งเหยากระตุกเล็กน้อย เจ้าคนโง่เขลาผู้นี้มาจากไหนกัน?
หยางชุ่ยไม่ชอบคำนั้น การที่ข้ารับใช้นางนี้กล่าวคำนั้นออกมา นางแน่ใจได้อย่างไรว่าหยางชุ่ยจะไม่ขายนางทิ้งเสีย?
แน่ล่ะ ใบหน้าของหยางชุ่ยเริ่มดำคล้ำเพราะสิ่งที่ข้ารับใช้กล่าว แต่ใบหน้าเช่นนั้นก็ดูเหมาะกับนางดี
หนิงเมิ่งเหยาเดาะลิ้นสองครั้ง ก่อนจะเมินใส่หยางชุ่ย “เทียนช่าง เข้าบ้านกันเถอะ ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้าทาน”
“ฟังดูดีเหมือนกัน” เฉียวเทียนช่างไม่อยากอยู่ และมองดูใบหน้าเหมือนผีตายซากของหยางชุ่ย ดังนั้นเขาจึงตามหนิงเมิ่งเหยาเข้าไปในบ้าน
บทที่ 162 มีชีวิตรอดได้แค่คนเดียวเท่านั้น
หลังจากหนิงเมิ่งเหยาก้าวออกไปสองสามก้าว นางก็หันหน้ากลับไปมองหยางชุ่ย มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “หยางชุ่ย บ้านของข้านั้นมันคับแคบนัก คงไม่สามารถรองรับคนน่าเคารพนับถืออย่างเจ้าได้ เหตุใดเจ้าไม่กลับไปในที่ที่เจ้าจากมาเล่า? ข้ายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ ฉะนั้น ข้าไม่ส่งล่ะ ชิงเสวี่ย เจ้าช่วยส่งแขกพวกเรากลับทีได้หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ชิงเสวี่ยเดินไปหาหยางชุ่ย แย้มรอยยิ้มอ่อนหวานก่อนกล่าวว่า “ท่านอนุภรรยา ตามข้ามาเจ้าค่ะ”
ลมหายใจของหยางชุ่ยหนักขึ้น ก่อนนางจะกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เด็กสาวซึ่งเป็นข้ารับใช้ของหยางชุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยโทสะของหยางชุ่ย ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนนั้นกล่าวบางอย่างผิดพลาดไป นางรีบตามหลังนางออกไป
เมื่อหยางชุ่ยกลับไป ชิงเสวี่ยก็ส่งเสียงหึออกมา “นางคิดว่านางเป็นใครกัน คิดว่าตัวเองเป็นนกเฟิ่งหวงโผบินจับกิ่งไม้จริงๆ หรือไร”
“พอแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา แล้วมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงเสวี่ย ท่านยายฉินก็ขมวดคิ้ว
ครั้งนี้จุดจบของหยางชุ่ยคงพินาศแล้ว อย่างไรเสียนายน้อยก็ยังเป็นชายที่ดีที่สุด
ชิงเสวี่ยกระตุกริมฝีปากก่อนจะเข้าไปช่วยงานในบ้าน
เมื่อหยางชุ่ยกลับมาถึงบ้าน นางจ้องสาวรับใช้ด้านหลังของตนเขม็ง ก่อนเงื้อมือขึ้นตบหน้านาง แล้วมองนางอย่างไม่ชอบใจ “ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดจาอย่างไร เช่นนั้นก็หุบปากไปเสีย”
นางไม่ใช่อนุภรรยา นางเป็นภรรยาคนที่สองของบุตรชายท่านขุนนางต่างหาก จะเอาภรรยาเอกมาเปรียบเทียบกับอนุภรรยาได้เช่นไร?
สาวรับใช้ก้มหน้าลง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ภรรยาคนแรกยังไม่ได้ยอมรับหยางชุ่ยในฐานะภรรยาคนที่สองเสียด้วยซ้ำ หากนางรู้ว่าหยางชุ่ยนั้นกำลังกล่าวอ้างว่าตนเป็นภรรยาคนที่สองอยู่ นางจะต้องมาสั่งสอนบทเรียนให้แก่นางแน่
ทั้งที่ตระกูลของหยางชุ่ยนั้นก็ไม่ได้สลักสำคัญแต่ประการใด ทว่านางกลับต้องการจะเป็นภรรยาคนที่สอง นั่นช่างเป็นความฝันอันโง่เขลานัก
หยางชุ่ยมองสีหน้าเหน็บแนมของสาวใช้ด้วยใบหน้าไม่พอใจ ก่อนถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า “สีหน้าเช่นนั้นของเจ้ามันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
สาวใช้มองหยางชุ่ยด้วยท่าทีไม่มีพิษมีภัย “นายหญิง ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอะไรอยู่เจ้าค่ะ”
“อย่าคิดว่าแค่เพราะเจ้าถูกส่งมาที่นี่ แล้วข้าจะไม่กล้าทำไม่ดีกับเจ้านะ” หยางชุ่ยเตือนอย่างโกรธเกรี้ยว
สาวใช้ผู้นี้ถูกส่งมาจากภรรยาเอก ถึงปากจะบอกว่าให้มารับใช้ แต่ความจริงแล้ว ส่งมาเพื่อให้จับตาดูนางไว้ต่างหาก ด้วยเหตุนี้หยางชุ่ยจึงไม่ชอบเด็กสาวผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว จึงเอาแต่ดุด่าว่ากล่าวและตบตีนางทุกวี่วัน
ความเกลียดชังฉายวาบขึ้นในดวงตาของข้ารับใช้ก่อนหายไปในชั่วพริบตา นางอยากจะเห็นนักว่าหญิงผู้นี้จะสามารถทำตัวโอหังเช่นนี้ได้นานเพียงใด
นางเฉินเห็นสีหน้าอันกราดเกรี้ยวของบุตรสาว นางจึงขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ?”
“ท่านแม่ อย่าสนใจเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้หนิงเมิ่งเหยาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ ข้าจะทำให้นางต้องเสียใจที่มายั่วโมโหข้า” หยางชุ่ยพึมพำเสียงลอดไรฟัน
“ลูกสาวสุดที่รักของแม่ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คือการมีลูกต่างหาก หากเจ้ามีลูกชาย สามีเจ้าจะให้ความเคารพเจ้ามากขึ้นอย่างแน่นอน” นางเฉินนั้นรู้ซึ้งถึงความเกลียดชังที่บุตรสาวของตนมีต่อหนิงเมิ่งเหยา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนั้น
ตอนนี้ภรรยาเอกกำลังตั้งท้องอยู่ นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดสำหรับบุตรสาวของนาง ตราบใดที่หยางชุ่ยสามารถกุมหัวใจของลูกเขยนางไว้ในกำมือได้อย่างแน่นหนา ทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรผิดพลาด
“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอะไร” หยางชุ่ยพยักหน้า นางเข้าใจความหมายที่นางเฉินต้องการจะสื่อ
ถึงแม้ว่านางเองก็อยากได้ลูก แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็อยากจะจัดการกับหนิงเมิ่งเหยาด้วย ส่วนจะจัดการเช่นไรนั้น นางจะต้องคิดอีกครั้งหนึ่ง พูดสั้นๆ ก็คือ ไม่นางก็หนิงเมิ่งเหยา จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้
ทว่าหยางชุ่ยไม่รู้เลยว่าเรื่องนั้นจะนำพานางไปสู่จุดจบของตนในตอนสุดท้าย มิหนำซ้ำยังก่อปัญหาให้กับตระกูลสามีของนางอีกด้วย
ภายในครัว เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาซึ่งกำลังทำขนมอยู่ ทุกครั้งที่เขาเห็นนางทำกับข้าว เขาก็รู้สึกเพลิดเพลินไปด้วยเสียทุกครั้ง
“เจ้าสอนข้าบ้างได้หรือไม่?”
“ได้สิ” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อใดที่เขามีเวลา เขาจะยืนอยู่ข้างนางแล้วขอให้นางสอนเขาทำกับข้าวบ้าง ทำขนมบ้าง
ถึงแม้ว่าความสามารถในการทำอาหารของเฉียวเทียนช่างนั้นจะไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับหัวหน้าพ่อครัวคนอื่นๆ ได้ แต่ความสามารถของเขาตอนนี้ก็เหนือกว่าชายหลายๆ คนไปแล้ว
“อร่อยจริงๆ” เฉียวเทียนช่างชิมแล้วกล่าวขึ้นอย่างพออกพอใจ
“ถ้ากุ้ยฮวาในสวนบานเมื่อใด ข้าจะทำขนมดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมๆ ให้ท่านกิน” หนิงเมิ่งเหยานั้นมีความสุขมากเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างพอใจกับอาหารที่นางทำ
“เอาสิ”
ท่านยายฉินยืนฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ด้านนอก นางอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ทั้งสองนั้นช่างหวานแหววกันยิ่งนัก