ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 185 กระอักเลือด + บทที่ 186 คนผู้นั้นคือชายาซื่อจื่อ
บทที่ 185 กระอักเลือด
ทงเป่าไจมีพลังอำนาจอย่างแท้จริง บางทีอาจจะมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าผู้คนในทงเป่าไจนั้นมีอำนาจกันมากเพียงใด
หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับหนิงเมิ่งเหยา เมืองเซียวคงจะเกิดปัญหาอันใหญ่หลวง ซึ่งเซียวชวี่เฟิงนั้นไม่ปรารถนาจะให้มันเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เมิ่งเหยาโกรธแค้นกับเรื่องนี้มาก ข้าจึงรีบมาที่นี่ในทันที และหากพวกเราลงมือตอบโต้เองนั้น คงจะเป็นการดีกว่าให้หนิงเมิ่งเหยาเป็นคนดำเนินการ ข้าเกรงว่าปัญหามันจะบานปลายน่ะ” เซียวฉีเทียนทำเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของเซียวชวี่เฟิง มันดีกว่าจริงๆ ที่พวกเขาเป็นฝ่ายลงมือเอง และไม่ควรปล่อยให้หญิงสาวผู้นั้นเป็นคนจัดการ เพราะหากนางเป็นคนดำเนินการ มันอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจของเมืองเซียวเลยทีเดียว และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการให้เกิดขึ้นเป็นแน่
เซียวชวี่เฟิงผงกศีรษะ “เจ้าทำดีมาก ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
“ข้าเชื่อใจท่านพี่” เซียวฉีเทียนผงกศีรษะด้วยความรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
เมื่อหลิงอ๋องและบุตรชายมาถึง ก็พบกับเซียวชวี่เฟิงที่จ้องมายังพวกเขาตาเขม็ง ดวงตาคู่นั้นราวกับเป็นพายุที่พร้อมจะโหมกระหน่ำ
“ถวายบังคมเซียวฮ่องเต้”
เซียวชวี่เฟิงละสายตาจากพวกเขา ก่อนจะสนใจเหรียญในมือของตนเอง หลังจากนั้น เขาจึงค่อยๆ อ้าปากและเอ่ยถ้อยคำว่า “หลิงอ๋อง เจ้ากล้าลอบสังหารองค์ชายเช่นนั้นหรือ ข้าขอถามท่านหน่อยได้หรือไม่ ว่าท่านเอาความกล้านั้นมาจากไหน หืม”
“ทูลฝ่าบาท นี่เป็นการใส่ความพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถูกใส่ร้ายป้ายสี! กระหม่อมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” หลิงอ๋องฟังคำพูดของเซียวชวี่เฟิง แล้วทราบดีว่าผลกระทบที่จะตามมานั้นมันเลวร้ายเพียงใด ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยขอความเมตตา
“โดนใส่ร้ายรึ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะบอกว่ามีคนอื่นๆ ในจวนที่พักของเจ้าสามารถออกคำสั่งได้อีกหรือ” เซียวชวี่เฟิงเอ่ยถามเป็นนัย
หลิงอ๋องและหลิงหลัวนั้นมิใช่คนโง่เง่า พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าเซียวชวี่เฟิงหมายความว่าอะไร
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะสืบสวนเรื่องนี้ให้รู้แจ้งอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นกระหม่อมจะนำคำอธิบายมาถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” หลิงอ๋องรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากหากเขาจัดการเรื่องนี้ไม่ดี อาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งตระกูลของเขาได้เลย
เซียวชวี่เฟิงปราดตามองหลิงอ๋อง “ดีมาก ข้าไม่มีความอดทนมากนัก ข้าเชื่อว่าหลิงอ๋องคงจะเข้าใจความหมายในคำพูดของข้านะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เซียวฉีเทียนนั่งพิงเก้าอี้และมองชายทั้งสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างเหยียดหยาม “ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน หากพรุ่งนี้ข้ายังไม่ได้คำตอบ ก็อย่าโทษข้าถึงผลที่จะตามมาก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
หลังจากสองพ่อลูกจากไป เซียวฉีเทียนพ่นลมหายใจออกทางจมูก ก่อนจะเดินไปอยู่ข้างๆ กับเซียวชวี่เฟิงเขาเอนตัวตรงตั่งของตนเองและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ เมิ่งเหยาช่างเป็นคนขี้เหนียวเสียจริง นางกลั่นเหล้าชนิดพิเศษไว้ รสชาติของมันดียิ่งกว่าสุราไผ่เขียวเสียอีก แต่ทว่านางกลับไม่ยอมมอบให้ข้าสักกาเดียว”
“หืม ทำไมกันเล่า” ‘มิใช่ว่ากลั่นเหล้าเพื่อจะทำเงินสร้างรายได้หรอกหรือ แล้วทำไมนางจึงไม่เต็มใจจะให้มาเล่า’
“นางบอกว่ามันกลั่นมาพิเศษสำหรับงานแต่งงานของนางน่ะสิ หนำซ้ำนางยังกลั่นมันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากวันแต่งงาน นางจะให้ส่วนที่เหลือแก่ข้า แต่ถ้าไม่มีเหลือ ข้าก็จะไม่ได้รับมาเลย” ยิ่งเซียวฉีเทียนคิดเรื่องนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าเสียดาย ‘เขาจะทำเงินได้มากเพียงใดนะ หากเขาสามารถขายเหล้านั้นได้’
เซียวชวี่เฟิงมองเขาอย่างขบขัน “เจ้ากังวลว่าจะไม่ได้ดื่มกินมันอีกในอนาคต หรือเกรงว่าจะไม่สามารถทำเงินจากมันได้กันแน่”
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เซียวฉีเทียนจึงจับจมูกของตนเอง ก่อนจะหัวเราะอย่างขัดเขิน “ทั้งคู่นั่นแหละ ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะนำส่วนที่เหลือจากงานแต่งงานของพวกเขากลับมา และจะเก็บเงินเพื่อซื้อมันด้วยตัวเอง พวกเราทั้งสองคนจะได้ค่อยๆ ดื่มมัน “
เซียวชวี่เฟิงยังคงเงียบ คำพูดของอีกฝ่ายโน้มน้าวใจของเขา จนทำให้รู้สึกสนใจเหล้าชนิดนั้น แต่ถ้าหากเซียวฉีเทียนมีเหล้าดีๆ ก็จะส่งบางส่วนมาให้เซียวชวี่เฟิง ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเลยว่าจะไม่ได้ลิ้มรสชาติของมัน
“ท่านพี่คิดว่าเราควรทำเช่นไรกับพวกเขาดี ทั้งนี้ เซียวจื่อเซวียนกำลังตั้งครรภ์และใกล้จะคลอดเร็วๆ นี้แล้ว” เซียวฉีเทียนถามอย่างแผ่วเบา
“ไม่ว่าเช่นไร สุดท้ายแล้ว พวกเขาจะต้องมีคำตอบที่เจ้าพึงพอใจที่สุด ฉะนั้นอย่ากังวลไปเลย”
“นี่ ใครบอกว่าข้ากังวล พวกเขาต่างหากที่ต้องเป็นกังวล ข้าเพียงแต่เศร้าใจ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่บ้านของเทียนช่างนั้นกำลังสนุกสนานขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงจำต้องกลับมาที่นี่ ข้ารู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก” เซียวฉีเทียนรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นอีกครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ณ ที่แห่งนั้น เขาสามารถทานอาหารอันโอชะหลากหลายเมนู ซึ่งรสชาติดีกว่าในวังหลวงหลายเท่านัก
เซียวชวี่เฟิงมองดูน้องชายของตนเอง ก่อนยิ้ม พลางลูบหน้าผากของตนเอง และเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าโกรธเพราะต้องกลับมาที่นี่เสียอีก”
“นี่ ท่านพี่รู้ได้เช่นไรกัน”
เซียวชวี่เฟิงมองผู้เป็นน้องชายก่อนจะส่ายศีรษะและหัวเราะ จากนั้นเขาก็กลับไปทำงานของตนเองต่อ
หลังจากหลิงอ๋องกลับมาด้วยความฉุนเฉียว จนถึงกับทำลายชุดตราประทับหมึกที่เขาโปรดปราน“สืบสวนเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน และลากตัวผู้ที่ทำให้เราต้องเจอกับปัญหานี้มาให้ได้!”
บทที่ 186 คนผู้นั้นคือชายาซื่อจื่อ
เขาไม่เคยต้องทุกข์ใจจากความอัปยศเช่นนี้มาก่อน หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าประชาชนจะพูดกันไปเช่นไรบ้าง
หากผู้อื่นรู้ว่าคนจากจวนหลิงกล้าลอบสังหารองค์ชายฉี เขาก็คงไม่เหลืออะไรให้ปกป้องตัวเองได้อีก เหล่าขุนนางจากฝ่ายตรวจการจะต้องยื่นเอกสารฟ้องร้องกองโตไปยังห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้เป็นแน่
ไม่ต้องกล่าวถึงศัตรูของเขา พวกนั้นจะต้องใช้โอกาสนี้ทำให้ชีวิตของเขาพังทลายลงอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิงอ๋องก็รู้สึกเลือดร้อนขึ้นทันที
ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะถูกกล่าวหาจากพวกนั้นก็ตาม มันก็ยังไม่ทำให้เขาเดือดร้อนมากนัก แต่ครั้งนี้มันกลับเกี่ยวข้องกับองค์ชายฉี
‘เจ้าพวกนั้นไม่รู้จักองค์ชายฉีได้เช่นไร พวกเขากล้าพุ่งเป้าไปที่เขาได้เช่นไรกัน ช่างน่าโมโหเสียจริง’
“อย่ากังวลไปเลยท่านพ่อ ข้าจะตรวจดูเรื่องนี้เอง” หลิงหลัวผงกศีรษะ แม้ว่าตระกูลของเขาจะมิได้ปิดกั้นช่องทางเข้าออกนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าทุกย่างก้าวที่พวกเขากำลังเสี่ยง ราวกับก้าวเดินนั้นอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
หากจัดการเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เรียบร้อย จะส่งผลให้ตระกูลของพวกเขาต้องย่อยยับดับสูญเป็นแน่
หลิงอ๋องมองดูลูกชาย “หลัวเอ๋อร์ เรามีเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น เจ้าจะต้องเร่งสืบสวนแล้ว!”
“ข้าเข้าใจดีขอรับ อย่าห่วงไปเลยท่านพ่อ ข้าจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้”
“ไปเถิด”
หลังจากหลิงหลัวกลับมายังห้องหนังสือของตนเอง เขาก็สั่งให้คนสนิทช่วยสืบสวนเรื่องนี้
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกฉุนเฉียวที่หลิงหลัวจากไป โดยไม่ได้สังเกตสถานการณ์ให้รอบคอบ
“หลีกไป” เซียวจื่อเซวียนมองไปยังเหล่าข้ารับใช้ตรงหน้า ก่อนจะออกคำสั่งอย่างดุดัน
นางเองก็เป็นนายหญิงแห่งจวนหลิงเช่นกัน การถูกกีดกันจากห้องหนังสือ โดยเฉพาะห้องหนังสือของสามีตนเองนั้น สำหรับนาง นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
หลิงหลัวสุดทนกับการโดนรบกวนจากเสียงดังภายนอก ทำให้เขายิ่งอารมณ์ไม่ดี จนมีท่าทางถมึงทึงและดูน่ากลัว
“ให้นางเข้ามา” หลิงหลัวเอ่ยอย่างเยือกเย็น
เซียวจื่อเซวียนมองข้ารับใช้ตรงหน้าอย่างรังเกียจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องหนังสือของหลิงหลัวพร้อมกับท้องที่กำลังตั้งครรภ์
หลิงหลัวเอ่ยอย่างหงุดหงิด โดยไม่รอให้นางพูดอะไร “เจ้าต้องการอะไร”
“ข้า… เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ข้าทำให้ท่านโกรธเคืองเช่นนั้นรึ” เซียวจื่อเซวียนสังเกตเห็นท่าทีขมุกขมัวของเขา และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พลางคิดว่าตนเองเพียงแค่อยากจะมาเยี่ยมเยือนสามีของตนก็เท่านั้น เขาไม่น่าจะขุ่นเคืองใจอะไร
หลิงหลัวมองชายาที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาอยู่นั้น
“ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามเข้ามาในห้องหนังสือนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าไม่ให้ค่ากับคำพูดของข้าเช่นนั้นหรือ” ท่าทีของหลิงหลัวดูเคร่งเครียดขณะมองไปยังอีกฝ่าย
หากนางไม่ใช่ลูกสาวของเซียวอี้หลิน เขาคงจะไม่ยอมทนต่อการกระทำของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก
เซียวจื่อเซวียนมองหลิงหลัวอย่างรู้สึกผิด “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
“พอเสียที ข้ามีอย่างอื่นต้องทำ เจ้ากลับลานบ้านเองก็แล้วกัน” หลิงหลัวโบกมือไล่ผู้เป็นชายาอย่างหมดความอดทน เขาไม่มีเวลามาเอาใจนาง เพราะต้องหาคำตอบให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกไม่พอใจกับวิธีที่เขาปฏิบัติต่อนาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันฉุนเฉียวของเขาแล้ว นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องจากไปอย่างจำยอม
หลิงหลัวอยู่รอฟังข่าวในห้องหนังสือแห่งนี้ทั้งวันโดยไม่ออกไปไหนตั้งแต่รุ่งเช้าจนถึงหัวค่ำ เขากังวลว่าจะไม่สามารถหาคำตอบมาให้กับองค์ชายฉีและองค์ฮ่องเต้ในวันพรุ่งนี้ได้
ในที่สุดคนสนิทของเขาก็กลับมาในเวลาเที่ยงคืน แต่เขาดูลังเลราวกับว่าไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะแจ้งผลการสืบสวนนี้หรือไม่
“การสอบสวนเป็นเช่นไรบ้าง”
หมิงฟางมองดูนายน้อยของตนเองอย่างครุ่นคิด ‘เขาควรจะเชื่อมั่นกับผลการสืบสวนนี้ไหมนะ เหตุการณ์นี้มิได้เกี่ยวข้องเพียงแค่องค์ชายฉีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงฮ่องเต้ด้วย หากไม่จัดการให้ดีแล้วล่ะก็ เรื่องราวดูเหมือนจะเลวร้ายทีเดียว’
“ผลการสืบสวนยังไม่ชัดเจนหรือ” หลิงหลัวสัมผัสถึงความลังเลใจของคนสนิท จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เขารวบรวมความมั่นใจในความสามารถของตนเองกลับมา มันเป็นไปได้ยากมากที่ผลการสอบสวนนั้นจะเป็นเท็จ
หมิงฟางส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ขอรับ ซื่อจื่อ ผลการสืบสวนได้ระบุตัวผู้ต้องสงสัยมาแล้วขอรับ”
“หากเจ้ารู้ตัวผู้กระทำผิดแล้วจะมัวลังเลอยู่ทำไมเล่า พูดออกมาเสียสิ”
“คนผู้นั้น…คือชายาซื่อจื่อขอรับ”