ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 23 เกิดเรื่องแล้ว + บทที่ 24 ขอแค่หนึ่งร้อยตำลึง
บทที่ 23 เกิดเรื่องแล้ว
“ต้องขอรบกวนท่านหมอหลี่ช่วยตรวจดูพี่ใหญ่หยางด้วย” หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจชายผู้กองอยู่กับพื้น นางมองไปยังท่านหมอหลี่ที่ยืนอยู่ข้างกายแทน
“อย่าห่วงไปเลย ให้ข้าผู้เฒ่าคนนี้ดูเสียหน่อย” ท่านหมอหลี่เดินไปที่เตียงแล้วจับเข่าที่หักของหยางอี้อย่างเบามือ ใครมองย่อมเห็นการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนผ่านการร่ำเรียนมาอย่างยาวนาน
หยางเล่อเล่อไปยืนข้างหนิงเมิ่งเหยา มือเกาะเสื้อหนิงเมิ่งเหยาแน่น “เหยาเหยา พี่ชายข้า…”
“ท่านหมอลี่เป็นหมอจากเป่าเหอถัง เขาช่ำชองการรักษาเป็นอย่างดี พี่ใหญ่หยางจะต้องไม่เป็นอะไรแน่” หนิงเมิ่งเหยาพูดให้หยางเล่อเล่อวางใจพลางลูบมือปลอบขวัญ
เมื่อนางได้ยินคำสามคำว่า ‘เป่าเหอถัง’ หัวใจหยางเล่อเล่อก็สงบลง ใครบ้างจะไม่รู้ว่าหมอของเป่าเหอถังฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด
เมื่อตระกูลหยางจู้ได้ยินเช่นนั้น จิตใจพวกเขาพลันสงบลงและรู้สึกซาบซึ้งใจต่อหนิงเมิ่งเหยาจนไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ ก่อนหน้านี้นางก็ให้ยืมเงิน เวลานี้ยังช่วยพาหมอมาให้ น้ำใจนี้พวกเขาจะตอบแทนนางอย่างไรดี
ท่านหมอหลี่ตรวจอาการอยู่ครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วมองยังชายบนพื้น “ถ้าเจ้ารักษาไม่ได้ก็อย่ามายุ่มย่าม เดิมบาดแผลไม่ได้สาหัส แต่ตอนนี้เขาต้องนอนเตียงไปอีกสองถึงสามเดือน”
หัวเข่าไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง แต่พอโดนหมอกำมะลอเข้ามายุ่ง ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บซ้ำสองจนตอนนี้เข่าที่ไม่ได้เจ็บหนักกลายเป็นอาการย่ำแย่
พอตระกูลหยางได้ยิน พวกเขาต่างโกรธจัดขึ้นมาแล้วมองยังหมอกำมะลอบนพื้นด้วยสายตาจากนั้นจึงมองไปยังท่านหมอหลี่ด้วยสายตาอ้อนวอน “ท่านหมอหลี่ ได้โปรดช่วยลูกชายข้าด้วย ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว” หยางจู้ขอร้องท่านหมอหลี่
ตระกูลเขามีลูกแค่คนเดียวกันมาตลอดสามรุ่น จนรุ่นนี้ที่มีสองคน แต่มีบุตรชายเพียงคนเดียว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ตระกูลตระกูลหยางจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร
“บาดแผลที่เข่าต้องดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง พอผ่านไปสองถึงสามเดือนจะหายดีไม่มีผลกระทบอะไร” ท่านหมอหลี่จัดการแผลของหยางอี้ไปพร้อมกับปลอบคนตระกูลหยางจู้
เมื่อได้ฟังท่านหมอหลี่บอกอย่างมั่นใจ พวกเขาก็โล่งอก กระทั่งแววตาสิ้นหวังของหยางอี้ก่อนหน้านี้ยังเปลี่ยนเป็นทอประกาย เข่าของเขาจะหายดีเช่นนั้นหรือ นั่น…นับเป็นเรื่องดียิ่งนัก
“ขอบพระคุณท่านเหลือเกิน ท่านหมอหลี่ ถ้าเช่นนั้น เรื่องค่ารักษา…”
“ห้าตำลึงเงิน”
ห้าตำลึงเงินอย่างนั้นหรือ พวกเขาไม่ต้องจ่ายมากไปกว่านั้นหรือ ทำไมถึงราคาถูกนัก
ท่านหมอหลี่อ่านความคิดพวกเขาออก จึงยิ้มพลางลูบเคราตัวเองแล้วอธิบาย “นั่นสำหรับจ่ายให้ข้าเป็นค่ารักษา ยังมีสมุนไพรชั้นดีที่ข้าจะจ่ายให้ ค่ายาสำหรับเดือนนี้จะต้องใช้มากกว่าสิบตำลึงเงิน”
ตระกูลหยางได้ยินก็เข้าใจ พวกเขารีบจ่ายเงินค่ารักษาให้ท่านหมอหลี่ หยางเล่อเล่อหยิบใบสั่งยาและเตรียมตัวจะไปซื้อสมุนไพรที่เป่าเหอถัง นางเดินไปสองก้าวแล้วหันกลับมามองหมอกำมะลอบนพื้น สีหน้านางเปลี่ยนไป นางดึงเขาขึ้นมา
“เจ้าจะทำอะไร”
“ข้าจะทำอะไรน่ะรึ ข้าก็จะเอาเจ้าไปส่งให้ทางการน่ะสิ บาดแผลพี่ชายข้าไม่ได้หนักหนา แต่เจ้ามาทำให้แย่ลง คิดว่าเอาเปรียบตระกูลข้าง่ายมากรึ” หยางเล่อเล่อกล่าว ถลึงตาใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราด
ถ้าไม่ใช่เพราะได้หนิงเมิ่งเหยาพาท่านหมอหลี่มา เข่าพี่ใหญ่คงจะพิการไปแล้ว เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่สะใภ้และหลานของนาง
“อย่า อย่าส่งตัวข้าให้ทางการเลย ข้า…ข้าจะคืนเงินให้” ชายผู้นั้นพูดอย่างหวาดวิตก
เขาอาจรักษาอาการบาดเจ็บหนักๆ อย่างเข่าหักไม่ได้ แต่เขารักษาอาการเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ถ้าถูกส่งตัวให้ทางการเมื่อไร ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้นกัน
หนิงเมิ่งเหยาดึงมือหยางเล่อเล่อมาแล้วส่ายศีรษะเบาๆ “คนที่เชิญให้เจ้ามารักษาพี่ใหญ่หยาง เขารู้แต่แรกหรือเปล่าว่าเจ้าทำไม่ได้”
“เขารู้” เดิมชายผู้นั้นไม่อยากตอบ แต่พอเห็นสายตาเย็นชาของหนิงเมิ่งเหยา เขาก็ตัวสั่นแล้วรีบตอบออกมา
บทที่ 24 ขอแค่หนึ่งร้อยตำลึง
เป็นดังที่คาด หนิงเมิ่งเหยามองชายคนนั้นแล้วฮัม ‘หืม’ อย่างเย็นชา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ทิ้งเงินยี่สิบตำลึงไว้แล้วเจ้าจึงจะไปได้ แต่เจ้าต้องช่วยพวกข้าทำอะไรบางอย่าง”
“เจ้า…เจ้าว่ามา” เขารู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเอาเงินยี่สิบตำลึงออกมา แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง
“ไปกระจายข่าว บอกผู้คนว่าใต้เท้าจ้าวอะไรนั่นโกงคน”
“ว่าอย่างไรนะ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ข้าจะให้เจ้าสามสิบตำลึงนะ ตกลงไหม” พอหมอผู้นั้นได้ยิน เขารีบส่ายศีรษะ ตระกูลใต้เท้าจ้าวเป็นตระกูลใหญ่ของเมือง ถ้าไปทำให้พวกเขาไม่พอใจ จะทำมาหากินอยู่ต่อไปเช่นไร เขาทำแบบนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อยจ้องมองคนตรงหน้า พอเห็นว่าเขายินดีจะจ่ายเพิ่มอีกสิบตำลึงแทนการไปพูดสักประโยคสองประโยค นางก็เข้าใจทันที ตระกูลใต้เท้าจ้าวคงจะไม่ธรรมดา และนางเองก็ไม่ได้อยากทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับชายคนนี้
“วางเงินไว้แล้วรีบไปเสีย ถ้าเจ้าทำร้ายใครเข้าอีก อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้า”
“ขอรับ ขอรับ ข้าจะไปแล้ว” เขาทิ้งเงินไว้สามสิบตำลึง แล้ววิ่งจ้าออกไป เร็วเหมือนมีสุนัขไล่หลัง
หยางเล่อเล่อไม่ค่อยพอใจนัก “เหยาเหยา เจ้าจะปล่อยเขาไปแบบนี้จริงหรือ”
“ข้าจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ถ้าส่งเขาให้ทางการ พวกเจ้าจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย พอถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะเพียงบอกว่าแผลของพี่ใหญ่หยางหนักเกินไปจนท่านหมอหลี่ต้องมาช่วย แล้วถ้าตอนนั้นเขาเรียกใต้เท้าจ้าวออกมา คนที่จะเสียหายคือพวกเจ้าเอง” ตอนแรกหนิงเมิ่งเหยาอยากส่งเจ้าคนหลอกลวงไปให้ทางการเช่นกัน แต่เมื่อคิดดูแล้ว ใต้เท้าจ้าวเป็นคนส่งเจ้าหมอกำมะลอคนนี้มาเอง เมื่อเทียบกันแล้ว ตระกูลหยางเป็นตระกูลสามัญชน รายงานเรื่องนี้ไปรังแต่จะนำความวุ่นวายมาให้ตระกูล
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เอาเงินมาแล้วปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างกันเสียจะดีกว่า เช่นนี้ต่อให้ใต้เท้าจ้าวรู้เข้าก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากการที่เขาไม่จัดการทุกอย่างให้ถี่ถ้วนเอง ถ้าเขาต้องการทำให้เป็นเรื่องใหญ่แม้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่ใครยังจะกล้าไปทำงานกับเขากัน
ถ้าเขาฉลาดสักนิด เขาย่อมเข้าใจว่าทำไมปล่อยให้เรื่องลงเอยเช่นนี้จึงดีที่สุด
พอหยางเล่อเล่อได้ฟัง นางก็เข้าใจว่าหนิงเมิ่งเหยาทำทั้งหมดนี้เพื่อพวกนาง “เหยาเหยา ข้าขอบคุณเจ้ายิ่งนัก ข้าจะไปเอายามาให้พี่ข้า เจ้ารับเงินนี่ไปเถอะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าเก็บไว้เถอะ ถึงกินยาจะช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่พี่ใหญ่หยางยังต้องการอาหารอีกมากมาบำรุงร่างกาย รอหลังจากนี้ค่อยคืนข้าก็ยังไม่สาย” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะ หยางอี้ต้องการอาหารดีๆ มาบำรุงร่างกายให้หายโดยไว ส่วนนางก็ไม่ได้กังวลอะไรเรื่องเงิน
หยางเล่อเล่อฟังแล้วก็เข้าใจว่าหนิงเมิ่งเหยาหมายถึงอะไร นางหัวเราะแล้วเดินออกจากประตูตามท่านหมอหลี่ เพื่อไปนำยามาให้หยางอี้
หนิงเมิ่งเหยาเตรียมตัวกลับระหว่างรอส่งท่านหมอหลี่ แต่ตระกูลหยางจู้รั้งนางไว้ แล้วพากันคุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเมิ่งเหยา
พอพวกเขาทำเช่นนี้ หนิงหมิ่งเหยาก็ทำอะไรไม่ถูก นางรีบดึงหยางจู้กับนางหยางให้ลุกขึ้น “ท่านลุงหยาง ท่านป้าหยาง พวกท่านทำอะไร พวกท่านอย่าทำแบบนี้กับข้าเลย”
“แม่นางเมิ่งเหยา ลูกชายตระกูลข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก” หยางจู้ซึ่งมีหนิงเมิ่งเหยาประคองไว้ขอบคุณเธอไม่รู้จบ
ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางเมิ่งเหยา วันนี้ลูกชายของตระกูลจะโชคร้ายอย่างไรบ้าง ก็มิอาจรู้ได้
“ท่านลุงหยาง ท่านไม่ต้องนอบน้อมเช่นนี้ ตอนที่ข้าเพิ่งมาใหม่ๆ ท่านช่วยข้าไว้ตั้งหลายเรื่อง แล้วตอนนี้ข้ากับเล่อเล่อเป็นเพื่อนกัน ข้าต้องช่วยนางอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร อย่าทำเหมือนข้าเป็นคนนอกเช่นนี้เลย” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างเสียไม่ได้
ตอนที่นางเพิ่งมาถึงหมู่บ้านไป๋ซาน คนมากมายไม่อยากยอมรับนางที่เป็นคนนอก มีเพียงหยางจู้ที่ต่างจากคนอื่นแล้วให้นางมาอยู่ที่นี่ ทั้งยังคอยวิ่งวุ่นช่วยเหลือนาง นางจะไม่มีวันลืมบุญคุณนั้นเลย
“น้องสาว ขอบคุณเจ้ามาก” นางเฉียวผู้เป็นภรรยาของหยางอี้มองหนิงเมิ่งเหยาอย่างซาบซึ้งใจ
“พี่สะใภ้ ถ้าท่านอ่อนน้อมเช่นนี้กับข้าอีก ข้าจะไม่กล้าอยู่ที่นี่แล้ว” หนิงเมิ่งเหยามองนางเฉียวอย่างอับจนวาจา
“ขอบคุณท่านน้า” หยางจื้อวัยหกขวบ และรู้ความ เงยหน้าขึ้นมองหนิงเมิ่งเหยาพลางกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
หนิงเมิ่งเหยาย่อตัวลงแล้วเอื้อมมือไปยีหัวน้อยๆ ของเขา “ไม่เป็นไร”
หลังจากพูดกับหยางจื้อไม่กี่คำ หนิงเมิ่งเหยายังบอกกับนางเฉียวว่าช่วงนี้ควรหาแกงต้มกระดูกกับต้มปลาให้หยางอี้ดื่ม จะได้ช่วยให้เขาหายเร็วขึ้น
พอคุยกับพวกเขาเสร็จแล้ว หนิงเมิ่งเหยาจึงหมุนตัวกลับไปบ้านของตน
หลังจากนั้น หยางเล่อเล่อไม่ได้มาหาหนิงเมิ่งเหยาอีกหลายวัน นางคงกำลังยุ่งกับการดูแลหยางอี้ หนิงเมิ่งเหยาเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ตอนที่หยางจู้ส่งหยางจื้อมาที่บ้านนางเพื่อเรียนหนังสือ แม้ว่าเขาจะมาสาย แต่อย่างไรเขาก็เฉลียวฉลาดและสามารถเรียนตามเนื้อหาได้ทัน