ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 391 เหตุใดเจ้าจึงทำลงไป + บทที่ 392 ตัดขาดพ่อลูก
บทที่ 391 เหตุใดเจ้าจึงทำลงไป
เซียวอี้หลินหยิบจี้หยกออกมา มันเป็นจี้หยกที่เซียวจื่อเซวียนทำตกไว้ในห้องหนังสือนั่นเอง
“นั่นมัน… เหตุใดจี้หยกของข้าจึงไปอยู่กับท่านพ่อได้” ใบหน้าของเซียวจื่อเซวียนแข็งทื่อ เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเซียวอี้หลินแล้วนางก็รู้สึกทั้งกระวนกระวายและหวาดกลัว ราวกับว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
เซียวอี้หลินมองจี้หยกในมือของตน “นั่นสิ พ่อก็สงสัยเหมือนกัน เหตุใดจี้หยกที่เซวียนเอ๋อร์บอกว่าทิ้งไว้ในจวนหลิงอ๋องจึงมาอยู่ในมือพ่อได้” เซียวอี้หลินพึมพำคล้ายกับกำลังพูดกับเซียวจื่อเซวียน แต่ก็เหมือนพูดกับตัวเองอยู่ในที
เซียวจื่อเซวียนกัดริมฝีปาก นางรู้ว่าเซียวอี้หลินต้องรู้อะไรเข้าแล้วแน่ๆ มิฉะนั้นเขาคงไม่ถามอะไรอ้อมค้อมกับนางเช่นนี้
“ท่านพ่อ…”
“เซวียนเอ๋อร์ บอกพ่อหน่อยว่าเหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้นลงไป” เซียวอี้หลินมองเซียวจื่อเซวียนขณะเอ่ยขึ้นตัดบทนาง สายตาที่เข้าใช้มองเซียวจื่อเซวียนนั้นช่างเย็นชาและไร้อารมณ์
เซียวจื่อเซียนสะดุ้งก่อนจะชะงักไป “ข้า… ข้าไม่เข้าใจ… ว่าท่านพ่อ…พูดถึงสิ่งใดอยู่”
“ไม่เข้าใจจริงหรือ”
เสียงต่ำๆ เช่นนั้นคล้ายกับกำลังบีบหัวใจของเซียวจื่อเซวียนไว้ในกำมือ นางมองเซียวอี้หลินอย่างหวาดหวั่น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ด้วยเพราะหวาดกลัวสายตาอันเย็นชาจากดวงตาของเขา
“ท่านพ่อ… ข้า… ข้า…”
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อเก็บจี้หยกได้จากที่ใด” เซียวอี้หลินมองจี้หยกในมือของตนพลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“เรื่องนี้… เซวียนเอ๋อร์มิอาจรู้ได้”
“แน่ล่ะ เจ้าไม่มีทางรู้ได้ เพราะเจ้ายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนทำจี้หยกเส้นนี้หายไป แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ที่ไหน” เซียวอี้หลินกล่าวอย่างเย้ยหยัน
เซียวจื่อเซวียนต้องการอธิบาย นางอยากจะปฏิเสธ แต่หลังจากเห็นดวงตาที่ดำทะมึนของเซียวอี้หลินแล้ว นางก็พูดอะไรไม่ออก
”ท่านพ่อ.. ท่านรู้แล้วหรือ” เซียวจื่อเซวียนทำใจแข็งแล้วกัดฟันถาม
“รู้เรื่องอะไรล่ะ”
เซียวจื่อเซวียนเกรงกลัวเซียวอี้หลินยิ่งนักในยามที่เขามีท่าทางเช่นนั้น มือทั้งสองข้างของนางสั่นเล็กน้อย “เรื่อง…”
“เรื่องที่เจ้าเป็นคนเอาป้ายที่ข้าวางไว้ในห้องลับไปใช่ไหม หลังจากขโมยมันไป เจ้าก็โยนความผิดให้กับหลี่หลินเอ๋อร์ ข้าพูดถูกหรือไม่” น้ำเสียงของเซียวอี้หลินฟังดูนิ่งสงบจนผิดปกติ เขาดูไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของเซียวจื่อเซวียนพลันซีดเผือด เขารู้แล้วจริงๆ เขารู้ว่านางเป็นคนทำ
“ท่านพ่อ ข้าเอามันไปเพราะหลิงหลัวบอกว่าเขาอยากใช้มันสักพัก เพราะเหตุนั้น… เพราะเหตุนั้น…” เซียวจื่อเซวียนลนลานอธิบาย
“อยากใช้มันหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร” เซียวอี้หลินโกรธจนหัวเราะออกมาหลังจากฟังคำอธิบายของเซียวจื่อเซวียน นางขโมยมันไปเพราะสามีของนางบอกว่าอยากใช้มันน่ะหรือ
เซียวจื่อเซวียนเผลอส่ายหน้า
“ของสิ่งนั้นมีค่าพอจะสังหารคนหลายร้อยคนภายในจวนตระกูลเซียวได้เลย และข้าเกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดรอดจากการสั่งประหารเก้าชั่วโคตรไปได้แน่” คำพูดของเซียวอี้หลินไม่ใช่การขู่ให้เซียวจื่อเซวียนกลัว แต่มันคือความจริง
เขารู้จักความทะเยอทะยานของหลิงอ๋องดี หลังจากได้ป้ายคำสั่ง และความช่วยเหลือจากหนานกงเยว่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร
เซียวจื่อเซวียนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อหรอก!”
“ไม่เชื่อรึ เจ้าคิดว่าข้าโกหกเจ้าอยู่หรือ” เซียวอี้หลินมองเซียวจื่อเซวียนด้วยท่าทางเยาะหยัน
เขาจะกล้าเอาชีวิตของคนหลายร้อยคนในจวนตระกูลเซียวมาพูดเล่นได้อย่างไร
“ท่านพ่อ เรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นจริงได้ใช่ไหม”
“ไม่มีทางเป็นจริงได้อย่างนั้นรึ เซียวจื่อเซวียน วันข้างหน้า หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเมืองเซียว เจ้านั่นล่ะที่เป็นผู้ผิด” เซียวอี้หลินมองเซียวจื่อเซวียนพลางพูดเน้นคำต่อคำ
เซียวจื่อเซวียนทรุดลงกับพื้น นางมองเซียวอี้หลินด้วยท่าทางสับสนงุนงง นางไม่กล้าเชื่อว่าเรื่องที่เขากล่าวมานั้นคือเรื่องจริง
“เซียวจื่อเซวียน ข้าคิดว่าข้าดูแลเจ้าดีมาตลอด แม้จะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้าก็ตาม ข้าก็ยังปฏิบัติต่อเจ้าเช่นเดิม แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าหรือ” หากก่อนหน้านี้เขารู้ว่านางเป็นคนเช่นนี้ เขาคงตัดขาดความสัมพันธ์กับนางทิ้งเสียตั้งนานแล้ว
เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไป ข้าจะนำมันกลับมาให้”
“นำมันกลับมาหรือ หึ เจ้าคิดหรือว่ามันจะง่ายขนาดนั้น ข้าเกรงว่าบัดนี้ของสิ่งนั้นคงถึงมือหลิงอ๋องแล้ว และคงไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าสุดท้ายมันจะไปตกอยู่ในมือผู้ใด เซียวจื่อเซวียน จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะไม่ได้กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลเซียวอีก ยิ่งกว่านั้น ข้ากับเจ้า เราไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป” เซียวอี้หลินกล่าวให้เซียวจื่อเซวียนได้ฟังชัดๆ ทีละคำ สำหรับเซียวจื่อเซวียนนั้น สิ่งที่เขาพูดออกมาช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก
บทที่ 392 ตัดขาดพ่อลูก
สำหรับเซียวจื่อเซวียน ประโยคนั้นเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกวางลงบนหลังอูฐก่อนที่มันจะล้มลงมาตาย และนั่นคือสิ่งที่นางกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้
“ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้ ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ เซวียนเอ๋อร์รู้แล้วว่าทำผิดไป อย่าโกรธเซวียนเอ๋อร์เลยได้หรือไม่” เซียวจื่อเซวียนพร่ำอ้อนวอน นางคงไม่ทำเช่นนั้นลงไปแน่ถ้าหากนางรู้ว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ นางช่างโง่เขลาเหลือเกิน
เซียวอี้หลินเตะเซียวจื่อเซวียนออกไปขณะจ้องมองนาง “อย่าโกรธหรือ เซียวจื่อเซวียน เจ้ามีความสุขหรือเปล่าล่ะที่ได้พรากชีวิตคนในจวนตระกูลเซียวไปเป็นร้อยๆ คนเช่นนี้”
“ไม่ใช่นะท่านพ่อ ข้าไม่เคยคิดที่จะทำร้ายท่าน” เซียวจื่อเซวียนส่ายศรีษะไปมา
เพื่อไม่ให้เซียวอี้หลินต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่เกิดขึ้น เซียวจื่อเซวียนจึงโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับหลี่หลินเอ๋อร์แทน เหตุใดบิดาของนางจึงต้องสืบเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย หากเขาไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง ความผิดทั้งหมดก็คงไม่ถูกเปิดเผย และความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและบิดาของตนก็คงไม่ยุติลงเช่นนี้ เหตุใดมันจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
นางรู้ดีแก่ใจว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้หลิงหลัวทำตัวดีกับนาง นั่นคือการที่จวนตระกูลเซียวยังคงหนุนหลังนางอยู่ หากนางสูญเสียการสนับสนุนจากจวนตระกูลเซียวไป แล้วนางจะยังเหลืออะไรอีก
เมื่อคิดถึงวันข้างหน้า เซียวจื่อเซวียนก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
หากเขาพบว่านางไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับจวนตระกูลเซียวอีกต่อไปแล้ว หลิงหลัวที่รักและตามใจนางในตอนนี้จะยังปฏิบัติกับนางเฉกเช่นเดิมอยู่หรือไม่
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเซียวจื่อเซวียนคงเชื่ออย่างสุดใจว่าหลิงหลัวจะต้องปฏิบัติต่อนางเช่นเดิมแน่ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกไม่มั่นใจในคำตอบเลยจริงๆ
แม้นางจะไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่หลังจากที่มอบป้ายให้กับหลิงหลัว เขาก็ไม่ค่อยใส่ใจนางเท่ากับเมื่อก่อน บางครั้งยังไม่แม้แต่จะสนใจเสียด้วยซ้ำ
แต่นางแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดวงตาของเซียวจื่อเซวียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมสูญเสียการสนับสนุนจากจวนตระกูลเซียวไปเด็ดขาด
“ท่านพ่อ เซวียนเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว ยกโทษให้เซวียนเอ๋อร์แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวได้หรือไม่ ข้าขอร้องล่ะ” เซียวจื่อเซวียนคว้าชุดของเซียวอี้หลินเอาไว้ขณะมองเขาด้วยสายตาวิงวอน ดวงตาของนางเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนักเมื่อเห็นเซียวจื่อเซวียนแสดงท่าทีเช่นนั้น ทว่าบัดนี้ เมื่อเห็นท่าทีที่นางแสดงออกมาเช่นนี้กลับมีแต่ยิ่งทำให้เขารู้สึกรังเกียจก
“แค่ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็นับว่ามีเมตตามากพอแล้ว” เซียวอี้หลินเอ่ยอย่างเย็นชาพลางผลักมือของเซียวจื่อเซวียนออกจากตัว
แต่เพราะเขาออกแรงมากเกินไป เซียวจื่อเซวียนจึงล้มลงบนพื้น
เมื่อเห็นเซียวอี้หลินมีท่าทีเช่นนั้น ดวงตาของเซียวจื่อเซวียนก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เหตุใดท่านจึงให้อภัยข้าไม่ได้เล่า ข้าสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปแล้วจริงๆ”
เซียวอี้หลินพลันรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำไปในอดีตนั้นมันช่างผิดมหันต์ เซียวจื่อเซวียนเป็นเพียงคนชั้นต่ำเห็นแก่ตัวและอกตัญญูคนหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าเป็นคนเอามีดมาจ่อคอข้าเอง แล้วเจ้ายังอยากให้ข้าให้อภัยเจ้าอีกหรือ เซียวจื่อเซวียน เจ้าไปเอาใบหน้าอันไร้ยางอายเช่นนั้นมาจากไหน” วาจาของเซียวอี้หลินโหดร้ายยิ่งกว่าสิ่งใด โดยเฉพาะสำหรับเซียวจื่อเซวียน
สุดท้ายเซียวจื่อเซวียนก็ถูกเซียวอี้หลินไล่ออกจากจวน นางเตร็ดเตร่ไปบนถนนอย่างเหม่อลอย ใบหน้าของนางซีดจนไร้สีเลือด ผู้คนที่เดินสวนทางกับนางไปล้วนแต่ตกใจกลัวว่าจะโดนสาปเมื่อเห็นใบหน้าอันซีดเซียวนั้น
เช้าวันถัดมา เซียวจื่อเซวียนเรียกตัวองครักษ์ลับที่ยังเหลืออยู่ของนางมาเพื่อสืบว่าช่วงสองสามวันนี้เซียวอี้หลินไปที่ไหนมาบ้าง
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความผิดทุกอย่างยังถูกโยนไปให้หลี่หลินเอ๋อร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เหตุใดจู่ๆ เขาจึงมาเอาผิดกับนางได้
นางเชื่อว่าต้องมีคนบอกอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ให้เขารู้แน่นอน
ใบหน้าของเซียวจื่อเซวียนบิดเบี้ยว ไม่ว่ายังไงนางก็จะไม่ปล่อยให้คนที่จัดฉากนางได้มีชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบแน่
หลิงหลัวรู้เรื่องที่เซียวจื่อเซวียนออกมาจากจวนตระกูลเซียวในสภาพเหม่อลอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ไปพบนาง ด้วยเพราะเซียวจื่อเซวียนนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับเขาแล้ว ทว่าเมื่อเห็นความรุนแรงของเรื่องที่เกิดขึ้น เขาเพียงปฏิบัติต่อเซียวจื่อเซวียนดีขึ้นเล็กน้อย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ในที่สุดเซียวจื่อเซวียนก็ยิ้มบ่อยขึ้นหลังจากได้พบกับหลิงหลัว
ทว่ารอยยิ้มของนางก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะหลิงหลัวเอาแต่พูดชื่อของหญิงอื่นออกมา โดยเฉพาะชื่อของหนิงเมิ่งเหยา คำสามคำนี้หลอกหลอนนางราวกับฝันร้าย
ในคืนนั้น องครักษ์ลับก็กลับมาพร้อมกับนำข่าวมาบอกนาง
หลังจากอ่านจดหมายจบ บนใบหน้าของเซียวจื่อเซวียนพลันเหี้ยมโหดขึ้น “หนิงเมิ่งเหยา เจ้ารนหาที่ตายแล้ว”