ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 399 เริ่มวางแผน + บทที่ 400 ความแค้นของหลี่หลินเอ๋อร์
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 399 เริ่มวางแผน + บทที่ 400 ความแค้นของหลี่หลินเอ๋อร์
บทที่ 399 เริ่มวางแผน
หนิงเมิ่งเหยาสะดุ้ง จากนั้นดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความดีใจสุดขีด “จริงสิ ข้าลืมท่านปู่ไกว้ไปได้อย่างไรกัน”
“ท่านปู่ไกว้จะยอมไปที่นั่นหรือ”
“อย่าห่วงเลย เขายอมไปแน่ ตาเฒ่านั่นดูแลเจ้าดีจะตาย หากเขารู้ว่าแม่ของเจ้าอยู่ที่นั่น เขาจะต้องยอมไปแน่นอน” อวี้เฟิงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
หนานอวี่รู้สึกสับสนกับบทสนทนาของพวกเขา “ท่านปู่ไกว้หรือขอรับ”
“ใช่ ข้าเคยได้ยินท่านปู่ไกว้บอกว่าก่อนที่เขาจะออกจากเหมียวเจียงมา เขาเคยเป็นปุโรหิตของที่นั่นมาก่อน” หนิงเมิ่งเหยาไม่รู้เรื่องท่านปู่ไกว้มากเท่าใดนัก นางรู้เพียงว่าเขาดูเหมือนจะมีความแค้นกับฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงอยู่ ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางไม่แน่ใจเอาเสียเลย
หนานอวี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ปุโรหิตหรือ
“ท่านกำลังพูดถึงท่านปุโรหิตโม่หลิวหรือขอรับ”
“ข้าว่านั่นน่าจะเป็นชื่อเก่าของเขา แต่เขาอยากให้พวกเราเรียกเขาว่าท่านปู่ไกว้มากกว่า” หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้าเบาๆ พวกนางไม่แน่ใจเรื่องอดีตของท่านปู่ไกว้นัก เขาไม่เคยเอ่ยถึงมันมาก่อน
ตอนเด็กๆ นางเคยเอ่ยถามอยู่ครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นบนใบหน้าของท่านปู่ไกว้มีทั้งความเกลียดชังอันล้ำลึกและความรู้สึกโทษตัวเองปรากฏขึ้นมาให้เห็น ทำเอานางต้องเลิกถามไป
นางกลัวว่าตนจะทำให้ท่านปู่ไกว้เสียใจ
“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์พูดถูกแล้ว ถึงนิสัยใจคอท่านปู่ไกว้จะแปลกอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ปฏิบัติกับหนิงเมิ่งเหยาดีเอามากๆ เขาบอกว่าถ้าลูกของเขายังมีชีวิตอยู่ ก็คงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหยาเอ๋อร์นี่ล่ะ” ท่านปู่ไกว้จึงตามใจนางราวกับว่านางเป็นบุตรสาวของตน
“เช่นนั้นก็คงไม่ผิดแน่ขอรับ คนผู้นั้นคือท่านปุโรหิตโม่หลิว” หนานอวี่ถอนหายใจออกมา
ในเวลานั้น ปุโรหิตโม่หลิวหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลของตน ตอนนั้นทั้งเขาและหนานชียังเล็กมาก และพวกเขาต่างก็ชอบปุโรหิตโม่หลิวยิ่งนัก
“ท่านปุโรหิตโม่หลิวคงมีความเข้าใจเหมียวเจียงมากกว่าเสี่ยวชี หากเป็นท่านปุโรหิตล่ะก็ ข้าก็โล่งใจขอรับ” หนานอวี่หายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า ทุกอย่างคงจะราบรื่นขึ้นหากมีท่านปู่ไกว้อยู่ใกล้ๆ นางเพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านปู่ไกว้จะยอมทำเช่นนั้นหรือเปล่า
“ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องเดาใจเขาหรอกน่า ก่อนหน้านี้ข้าได้รับจดหมายจากท่านปู่ไกว้มา เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่เหมียวเจียง ดูเหมือนจะมีบางเรื่องที่เขาต้องจัดการ”
“เช่นนั้นส่งข่าวไปบอกเสี่ยวชี บอกให้เขาไปพบท่านปู่ไกว้ แล้วก็ส่งข่าวหาท่านปู่ไกว้ เล่าสถานการณ์ทางฝั่งเสี่ยวชีให้เขาฟังด้วย” นางคงโล่งใจได้หากทั้งสองได้พบกัน
อวี้เฟิ้งดีดหน้าผากหนิงเมิ่งเหยา “ยายหนู เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เจ้าแค่นั่งเฉยๆ พักผ่อนไปก็พอ”
หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นกุมหน้าผากของตนแล้วจ้องอวี้เฟิงเขม็ง โดยไม่ต้องรอให้หนิงเมิ่งเหยาลงมือ เฉียวเทียนช่างก็จัดการส่งฝ่ามือทั้งห้านิ้วของตนให้กับอวี้เฟิง
มุมปากของอวี้เฟิงกระตุก เขาลืมไปเสียสนิทว่ามีองครักษ์พิทักษ์ภรรยานั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่การทำร้ายเขาต่อหน้าต่อตาเช่นเมื่อครู่ไม่ถือว่าน่าละอายไปหน่อยหรือ
พอเห็นอวี้เฟิงหลบไปอยู่ด้านข้าง เฉียวเทียนช่างจึงยกมือขึ้นลูบหน้าผากของหนิงเมิ่งเหยา เขาเห็นว่ามันปูดออกมาเล็กน้อย จึงหันไปจ้องอวี้เฟิงด้วยสายตาทิ่มแทง
“บอบบางเสียจริง แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้” อวี้เฟิ้งยืนบ่นหงุงหงิงอยู่ด้านข้าง
เฉียวเทียนช่างหรี่ตามองอวี้เฟิงอย่างเย็นชา “ท่านบอกว่าใครบอบบางน¬¬ะ”
อวี้เฟิงมองเฉียวเทียนช่างอย่างพูดไม่ออก “สิ่งที่เจ้าทำอยู่นี่มันดีจริงๆ หรือ” คอยเอาอกเอาใจนางเช่นนี้ ไม่กลัวนางจะโดนตามใจจนเสียคนหรือ
เฉียวเทียนช่างมองอวี้เฟิงแล้วยิ้มหยันออกมา “ข้ามีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้”
อวี้เฟิงถึงกับสำลัก ก็ดี ในเมื่อชายผู้นี้มีความสุขกับสิ่งที่ทำนัก เช่นนั้นเขาก็จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งอีกแล้ว ไม่ช้าก็เร็วนางคงโดนเขาตามใจจนเสียคนแน่ เขาอยากรู้เสียเหลือเกินว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ชายผู้นี้จะทำอย่างไร
หนานกงเยี่ยนมองไปที่ท่าทางไม่พอใจของพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มในดวงตา เขาไม่นึกที่จะหยุดบทสนทนาของคนทั้งคู่ แต่หนิงเมิ่งเหยากลับไม่ค่อยพอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก นางโผเขาไปในอ้อมกอดของเฉียวเทียนช่างและไม่ขยับไปไหน
กลางดึก ขณะที่หนิงเมิ่งเหยากำลังหลับสนิท เฉียวเทียนช่างลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และเดินออกไปที่สวน เซียวฉีเทียนและพรรคพวกอยู่ที่นั่นแล้วตอนเขามาถึง
ทุกคนมุ่งหน้าไปยังห้องใต้ดินที่ใช้คุมขังหลี่หลินเอ๋อร์เอาไว้
หลี่หลินเอ๋อร์มีอาการเบลอขณะอยู่ในห้องใต้ดิน ตอนแรกนางนึกหวังว่าพวกเขาคงจะมาช่วยนางออกไป แต่ตอนนี้ นางทิ้งความหวังพวกนั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว
พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก หลี่หลินเอ๋อร์จึงเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ นางมีสีหน้างงงวยขณะมองพวกเขา “เป็นเจ้าหรอกหรือ”
บทที่ 400 ความแค้นของหลี่หลินเอ๋อร์
หลี่หลินเอ๋อร์มองดูพวกเขาก้าวเข้ามา บนใบหน้าของนางมีสีหน้าอัปลักษณ์ และนางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดคนพวกนั้นจึงไม่มาช่วยนาง พวกเขาหาไม่เจอว่านางถูกขังเอาไว้ที่ใด ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แล้ว คนพวกนี้หานางเจอได้อย่างไร
หลี่หลินเอ๋อร์ทรุดนั่งลงกับพื้น นางคิดมาตลอดว่าตนอยู่ที่จวนตระกูลเซียว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตนจะมาอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ทันรู้ตัวเช่นนี้ คนพวกนี้รู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ที่นี่
เซียวชวี่เฟิงปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของหลี่หลินเอ๋อร์ เขามองใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษของนาง ก่อนมุมปากของเขาจะหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเยียบเย็น “สายลับจากเหมียวเจียงหรือ”
คำไม่กี่คำนั้นทำเอาหลี่หลินเอ๋อร์ที่ยังต้องการมีชีวิตอยู่ถึงกับดวงตาเบิกโพลงในทันใด “เจ้า… เจ้าหมายถึงอะไร”
“หลี่หลินเอ๋อร์ ข้าสงสัยจริงๆ ว่าในตระกูลหลี่นั้นมีเจ้าผู้เดียวที่เป็นสายลับ หรือทุกคนต่างก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย มีคนจำนวนเท่าใดที่รู้เรื่องนี้หรือ” เซียวชวี่เฟิงมองหลี่หลิเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ที่มุมปาก
หลังความตื่นตระหนกแล่นวูบขึ้นภายในดวงตาของหลี่หลินเอ๋อร์ นางจึงเอ่ยตอบ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
“จริงหรือ”
“ข้าไม่รู้”
เซียวชวี่เฟิงเห็นนางปิดปากเงียบ จึงยิ้มดูถูกออกมา “เมื่อคืน มีกลุ่มคนมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเซียวเพื่อช่วยเจ้า แต่พวกมันถูกปราบจนหมดแล้ว มิหนำซ้ำข้ายังได้รู้เรื่องที่ข้าไม่ควรรู้จากปากของพวกมันมาด้วย”
คำพูดของเซียวชวี่เฟิงทำให้หัวใจของหลี่หลินเอ๋อร์กลายเป็นน้ำแข็ง
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้อะไรก็ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าใครสักคนจากตระกูลหลี่คงพอรู้อะไรบ้าง หลังจากฆ่าพวกเขาไปทีละคน สุดท้ายสักคนในนั้นก็คงจะยอมสารภาพเอง” ใบหน้าอันอ่อนโยนของเซียวชวี่เฟิงมีรอยยิ้มราวกับฆาตกรปรากฏอยู่
สำหรับคนประเภทนี้ เขายอมลงมือสังหารผิดตัวเสียยังดีกว่าปล่อยพวกมันให้หลุดมือไป
“พวกเขาไม่รู้อะไรด้วย เจ้าจะแตะต้องพวกเขาไม่ได้” หลี่หลินเอ๋อร์กลัวว่าเซียวชวี่เฟิงจะจู่โจมคนในตระกูลหลี่จริงๆ
เซียวชวี่เฟิงก้มหน้าลงมองหลี่หลินเอ๋อ์ “หากเจ้าอยากให้คนในตระกูลหลี่ปลอดภัย ก็บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้ออกมา ในสายตาของคนที่นั่น อย่างไรเสียเจ้าก็เหมือนเป็นคนตายไปแล้ว”
ร่างของหลี่หลินเอ๋อร์สั่นสะท้าน แน่นอนว่านางเข้าใจสิ่งที่เซียวชวี่เฟิงสื่อดี
หลังจากคุมเชิงกันอยู่ครู่หนึ่ง หลี่หลินเอ่อร์ก็ไม่มีทางเลือกและยอมให้ความร่วมมือ “เจ้ายากรู้อะไร ข้าจะบอกทุกอย่าง”
เซียวชวี่เฟิงหรี่ตาลงมองหลี่หลินเอ๋อร์ ดูจากท่าทางของนางแล้ว เขาสามารถบอกได้ว่าภายในตระกูลหลี่คงจะมีความลับอันไม่สามารถเอ่ยถึงได้อยู่
“เซียวเฉิงหย่า”
สีหน้าของหลี่หลินเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งร้ายขึ้นมาทันทีเมื่อนางได้ยินชื่อนั้น “ผู้หญิงแพศยาอย่างมันสมควรตาย แต่เหตุใดนางจึงยังไม่ตายเสียที เหตุใดนางจึงยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
เฉียวทียนช่างประเมินหลี่หลินเอ๋อร์ ดูเหมือนนางจะรู้ดีว่าเซียวเฉิงหย่าอยู่ที่ใด
“นางอยู่ที่ไหน”
“นางอยู่ไหนน่ะหรือ ตอนนี้นางคงทุกข์ทรมานอยู่ ต้องนอนเป็นท่อนไม้อยู่บนเตียงแบบนั้น ฮ่าฮ่า กรรมตามสนอง” หลี่หลินเอ๋อร์หัวเราะราวกับเสียสติ
ปีนั้น ตอนที่นางเป็นยังเป็นคุณหนูของตระกูลหลี่อยู่ นางมักถูกเซียวเฉิงหย่าข่มอยู่เสมอ ยามที่ผู้คนในเมืองเอ่ยถึงหญิงสาวมากความสามารถขึ้นมา พวกเขามักจะนึกถึงเซียวเฉิงหย่า ไม่มีผู้ใดจำได้ว่ายังมีหลี่หลินเอ๋อร์อยู่อีกคน
ต่อมานางตกหลุมรักเซียวอี้หลิน แต่เขากลับรักใคร่เซียวเฉิงหย่า เรื่องนั้นทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งใจ ราวกับว่าสิ่งของของนางถูกพรากเอาไป
ในตอนนั้นนางเจ็บปวดอย่างมาก ความรู้สึกของนางไม่ได้รับการตอบสนอง และหลังจากนั้นนางก็ได้รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเซียวเฉิงหย่า นางรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักเมื่อพบว่าเซียวเฉิงหย่าท้องก่อนแต่งและกำลังจะถูกจับแต่งงานกับบุตรชายของผู้มีฐานะ
แต่ความตื่นเต้นของนางก็อยู่ได้ไม่นานนัก ในไม่ช้ามันก็ถูกขัดขวาง เพราะผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองหลิงมาที่เมืองนี้และกล่าวว่าเขาต้องการแต่งงานกับเซียวเฉิงหย่า แต่ทำไมกันเล่า เซียวเฉิงหย่าเป็นของใช้แล้ว จะมีใครชอบนางจริงๆ หรือ
หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับเซียวเฉิงหย่า พอหนานกงเยี่ยนจะออกไปหายามาเพื่อรักษาอาการของนาง หลี่หลินเอ๋อร์และคนของนางก็พาเซียวเฉิงหย่าออกไปและซ่อนนางเอาไว้ในตระกูลหลี่ ในเวลานั้นทุกคนต่างคิดว่าเด็กในท้องของเซียวเฉิงหย่าคงตายแน่แล้ว แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่านางจะรอดชีวิต ข้ารับใช้ของหลี่หลินเอ๋อร์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เมื่อนางรู้ว่าเซียวเฉิงหย่าได้ให้กำเนิดเด็กขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็มีคนต้องการพาตัวเซียวเฉิงหย่าไปที่อื่นแล้ว
และนั่นทำให้นางพลาดโอกาส ในวินาทีที่นางคิดจะโยนลูกสาวของเซียวเฉิงหย่าไปที่หอนางโลม เด็กคนนั้นกลับหายตัวไป แม้แต่ช่างเย็บปักภายในจวนก็ยังหายตัวไปด้วย