ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 409 ความรู้สึกอันซับซ้อน + บทที่ 410 งานเลี้ยงในวังหลวง
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 409 ความรู้สึกอันซับซ้อน + บทที่ 410 งานเลี้ยงในวังหลวง
บทที่ 409 ความรู้สึกอันซับซ้อน
เมื่อมองเป่าเอ๋อร์ที่ยื่นมือมาหาเขา หลิงหลัวรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขารีบเอื้อมมือออกไปกอดลูกน้อย
ในตอนแรก เซียวจื่อเซวียนไม่ต้องการจะส่งลูกชายให้หลิงหลัว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเป่าเอ๋อร์ที่มองดูผู้เป็นพ่ออย่างกระตือรือร้น นางจึงจำต้องส่งเป่าเอ๋อร์เข้าไปในอ้อมแขนของเขา
ผู้เป็นลูกชายหัวเราะคิกคักเสียงใส ทำให้ผู้เป็นพ่อชอบใจอย่างยิ่ง
แต่ถ้าหากมืออ้วนๆ ของเด็กน้อยไม่ดึงผมเขา ก็คงจะดีกว่านี้
หลิงหลัวขมวดคิ้วเพราะรู้สึกเจ็บหนังศีรษะ แต่เมื่อเห็นว่าลูกของตนหัวเราะอย่างมีความสุข เขาก็ไม่รู้สึกโกรธและยอมให้เล่นแต่โดยดี
เซียวจื่อเซวียนหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะมองท่าทีของหลิงหลัว นางไม่เข้าใจว่าชายผู้นี้พยายามจะทำอะไรกันแน่
“เป่าเอ๋อร์ อยากให้แม่พาไปเล่นไหม”
“ท่านพ่อ”
เซียวจื่อเซวียนไม่มีทางเลือก นางไม่พอใจอยู่ลึกๆ และรู้สึกว่าคนอื่นกำลังมาแย่งลูกชายของตนไป นางจึงไม่ชอบหลิงหลัวนัก
“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่อยากจะเจอข้า” ทันใดนั้น หลิงหลัวก็พูดขึ้น
เซียวจื่อเซวียนยิ้มเย้ยหยันกับตนเอง พลางมองท่าทีของผู้เป็นสามี ‘เขาคิดจะทำอะไรกันแน่’ หลังจากใช้งานนางเสร็จแล้ว ตอนนี้ของมีค่าของนางเหลืออยู่น้อยนิด และเขายังจะมาวิจารณ์เรื่องความรู้สึกของนางอีก ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ
“ข้ายังมีประโยชน์ต่อท่านอยู่อีกหรือ” ทันใดนั้นเซียวจื่อเซวียนก็มองดูเขาก่อนเอ่ยถาม
หลิงหลัวขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าจึงถามเช่นนั้น”
“ตอนนี้ จวนตระกูลเซียวไม่ช่วยเหลือข้าแล้ว ข้าจึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อท่านอีก เพราะฉะนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกแล้ว” หากตอนนี้ หลิงหลัวต้องการหย่ากับนาง ด้วยเหตุผลที่ว่านางมิใช่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์อีกต่อไปแล้ว นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
หลิงหลัวยังคงเงียบงัน
เซียวจื่อเซวียนพูดถูก สำหรับเขาแล้ว นางคือคนที่ไร้ค่า แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงถามนางว่า “ไปร่วมงานเลี้ยงที่วังหลวงด้วยกันไหม”
เซียวจื่อเซวียนมองหลิงหลัว ก่อนจะเดินเข้าห้องของตนเอง “ไม่จำเป็นหรอก ข้าไม่อยากไป ท่านพาคนอื่นไปเถอะ”
หลิงหลัวมองนางอย่างถมึงทึง “ถ้าเช่นนั้น เป่าเอ๋อร์ พ่อไปก่อนนะ”
ผู้เป็นพ่อส่งเด็กน้อยในอ้อมแขนให้กับแม่นม เมื่อมั่นใจว่ามีคนดูแลลูกชายอย่างดีแล้ว เขาจึงเดินจากไป
เซียวจื่อเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว ท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลิงหลัวทำให้นางรู้สึกว่าตนเองคิดถูกแล้ว ‘เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หรืออยากจะหลอกใช้นางอีกครั้งเช่นนั้นหรือ’
นางคิดพลางขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้นางไม่กล้าเชื่อใจผู้ชายอย่างหลิงหลัวอีก
หลิงหลัวกลับมาที่ลานบ้านของตนเอง ก่อนจะได้กลิ่นเครื่องสำอางฉุนจมูก จนทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว
“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา”
“นายน้อยเจ้าคะ ข้าคิดถึงท่านเจ้าค่ะ” นางพูดพลางเดินส่ายเอวอันบอบบางเข้าไปหาเขา
หากเป็นแต่ก่อน หลิงหลัวคงจะคว้านางเข้ามากอดอย่างแน่นอน แต่ทว่าครั้งนี้ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เขากลับผลักนางออกอย่างไม่เกรงใจ
“ออกไป”
หญิงสาวพวกนี้ไม่เหมาะที่จะเข้ามาอยู่ในห้องโถงที่หรูหรา เมื่อมีคนประเภทนี้อยู่รายล้อม ยิ่งทำให้หลิงหลัวรู้สึกว่าเซียวจื่อเซวียนนั้นไม่ได้แย่นัก นอกจากนี้ นางยังให้กำเนิดลูกชายที่น่ารักอีกด้วย
“นายน้อย ทำไมถึงทำกับข้าเช่นนี้เจ้าคะ” หญิงสาวที่ล้มลงกับพื้นมองหลิงหลัวด้วยแววตาโศกเศร้า
ดวงตาคู่นั้นราวกับกำลังติเตียนอีกฝ่าย แต่ท่าทีอันน่าสงสารของนาง ไม่ได้ทำให้หลิงหลัวรู้สึกผิด หนำซ้ำ เขากลับรู้สึกรำคาญแทน
“ออกไปซะ”
หญิงสาวเห็นท่าทีเคร่งขรึมของอีกฝ่าย จึงรีบพยุงตนเองขึ้น แต่ก่อนที่จะจากไป นางกลับสะดุดล้มลงอีกครั้ง
เมื่อหญิงสาวออกมาจากลานบ้านของหลิงหลัวแล้ว นางจึงขบฟันกรอดอย่างไม่พอใจ
เซียวจื่อเซวียนไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง แต่หลิงหลัวไม่มีทางเลือก จึงต้องไปเข้าร่วมงาน
ชายหนุ่มคิดว่าจะได้พบกับหนิงเมิ่งเหยาในงานเลี้ยงที่วังหลวง แต่ใครจะคิดว่าเฉียวเทียนช่างจะมาเพียงคนเดียว เขาพูดคุยกับเซียวฉีเทียน และเขาก็ดูไม่แปลกใจที่หนิงเมิ่งเหยาไม่มาร่วมงาน
หลิงหลัวอยากเดินเข้าไปถามเฉียวเทียนช่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนิงเมิ่งเหยาหรือไม่ แต่เมื่อคิดถึงสถานะปัจจุบันของเขาแล้ว เขาไม่อาจถามคำถามเช่นนั้นได้
บทที่ 410 งานเลี้ยงในวังหลวง
ในงานเลี้ยงที่วังหลวง มีหญิงสาวมากความสามารถกำลังทำการแสดงอย่างสุดฝีมือ เพราะต้องการจะได้รับคัดเลือก ท่าทีของพวกนางดึงดูดสายตาจากผู้คนมากมาย แต่คนที่พวกนางต้องการเรียกร้องความสนใจนั้น กลับไม่หันมองพวกนางเลย
งานเลี้ยงนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทานอาหารและดื่มสังสรรค์ เฉียวเทียนช่างมองดูหลิงอ๋องที่กำลังพูดคุยกับคนข้างๆ พร้อมรอยยิ้ม ราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มกลับรู้สึกสงสัยกับท่าทีเช่นนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้วางแผนลงมือในวันนี้
เฉียวเทียนช่างหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะครุ่นคิด หากเป็นความจริง หลังจากนี้ พวกเขาคงวุ่นวายเป็นแน่
หลิงอ๋องรับรู้ว่าชายหนุ่มกำลังมองมาทางตนและพยายามสืบหาบางอย่างอยู่ เขาจึงเย้ยหยันอยู่ในใจ ก่อนจะสรวลเสเฮฮาต่อไป
หลิงหลัวนั่งข้างๆ ผู้เป็นพ่อ โดยไม่พูดจาอะไร ทำให้หลิงอ๋องขมวดคิ้วสงสัย และสังเกตเห็นว่าสายตาของลูกชายจับจ้องไปตรงที่นั่งข้างๆ ของเฉียวเทียนช่าง เขาแอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหนิงเมิ่งเหยาจะมีเสน่ห์จนหลิงหลัวไม่อาจต้านทานได้
สายตาอันชัดเจนของอีกฝ่ายทำให้เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ราวกับว่าคนอื่นกำลังจ้องของมีค่าของเขาอยู่
เว่ยเค่อซินมองที่นั่งด้านข้างของเฉียวเทียนช่าง ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา และพูดจาอย่างสง่างาม “แม่ทัพเฉียว นายหญิงไปไหนหรือ เหตุใดจึงไม่มาที่นี่”
คำถามนั้นเกิดจากความใคร่รู้ของนางเท่านั้น มิได้ต้องการจะจุดชนวนให้เกิดการทะเลาะขึ้นแต่อย่างใด
ทว่าคนข้างๆ นางกลับส่งเสียงฟึดฟัด “อาจจะละอายใจเกินกว่าจะมาพบหน้าคนอื่นกระมัง”
“หากไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ก็เงียบเสียเถอะ”
เฉียวเทียนช่างมองดูหญิงสาวทั้งสองคนทำตัวงี่เง่าใส่กัน โดยมิได้รู้สึกขุ่นเคืองใจ นอกจากนี้เขายังมองดูทั้งคู่อย่างสนใจอีกด้วย
“แม่ทัพเฉียวไม่ได้ชอบหญิงสาวผู้นั้น จึงไม่ได้พานางมาด้วยแน่ๆ ” วาจาและกิริยาเช่นนั้นทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ
เขามองเสนาบดีฝ่ายขวาเว่ย “เสนาบดีฝ่ายขวาเว่ย ท่านอบรมสั่งสอนลูกสาวเช่นนี้หรือ ข้าเพิ่งจะรู้”
“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ภรรยาของแม่ทัพตั้งครรภ์อยู่และไม่ค่อยสบาย นางจึงไม่อาจมาร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงได้ เจ้าพูดจาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” เซียวฉีเทียนรู้สึกไม่ชอบลูกสาวทั้งสองคนของเสนาบดีฝ่ายขวาเว่ย โดยเฉพาะคนเล็ก
เด็กสาวที่ถูกตำหนิรู้สึกฉุนและมีท่าทีถมึงทึง แต่นางมิอาจต่อกรกับคนตรงหน้านางได้
เสนาบดีฝ่ายขวาเว่ยอยากจะปิดปากลูกสาวของตน เพื่อจะหยุดสถานการณ์อันน่าอับอายเช่นนี้เสียจริง
“หุบปาก” เขามองลูกสาวที่ต้องการจะพูดต่อด้วยแววตาดุดัน ก่อนจะคุกเข่าลงในทันที “ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้ไม่อาจให้ความรู้แก่ลูกสาวของกระหม่อมได้ ฝ่าบาทได้โปรดอภัยโทษแก่กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวชวี่เฟิงมองอีกฝ่ายและเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ถ้าเช่นนั้น ก็จงอบรมนางให้ดี พรุ่งนี้พานางไปที่วังหลวง ให้แม่นมช่วยสั่งสอนเรื่องกิริยามารยาท นางจะต้องฝึกฝนจนกว่าแม่นมจะบอกว่านางทำได้ดีแล้ว”
ทันใดนั้น เด็กสาวก็หน้าซีดเผือด หากเป็นในจวนที่พักของตน นางยังพอแอบลอบหนีแม่นมออกมาได้
แต่ตอนนี้นางต้องถูกอบรมจากแม่นมในวังหลวง ลูกสาวคนเล็กของตระกูลเว่ยจึงตัวสั่นสะท้านในทันที
เว่ยเค่อซินหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ นางกุมขมับ ก่อนจะหันมองผู้เป็นแม่ที่กำลังจ้องมองนางอยู่ เว่ยเค่อซินรู้สึกเจ็บใจ และอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
เฉียวเทียนช่างมองเสนาบดีฝ่ายขวาเว่ย “ข้าหวังว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเว่ยจะจับตาดูลูกสาว และต้องแน่ใจว่านางจะไม่ทำตัวเป็นสุนัขบ้าที่คอยไล่กัดคนอื่นเช่นนี้อีก” ชายหนุ่มจะไม่ปกป้องภรรยาของตัวเองได้เช่นไรกัน
เสนาบดีฝ่ายขวาเว่ยรู้สึกอับอาย เมื่ออีกฝ่ายพูดจาดูหมิ่นเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ
เด็กสาวรู้สึกโกรธเคือง ทำไมทุกคนต้องเข้าข้างนังแพศยานั่นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ นางก็ควรจะให้ใครสักคนติดตามแม่ทัพมาด้วยสิ ช่างเป็นคนขี้หึงหวงเสียจริง
ยิ่งนางครุ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า เหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
เว่ยเค่อซินก้มหน้าลง และคิดถึงแต่เรื่องของตนเอง โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง