ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 417 คนเดียวในชีวิต + บทที่ 418 พันธสัญญาร้อยปี
บทที่ 417 คนเดียวในชีวิต
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วอย่างสงสัย “ทำไมเขาต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า เขาจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก เขาจะคิดแค่ว่าเจ้ารักเขามากและเฝ้ารอที่จะเจอเขาต่างหาก” หากไม่ใช่เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตารอเจอ แล้วจะมีท่าทีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้หรือ
เฉียวเทียนช่างชะงัก จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็หายห่วง” ชายหนุ่มกอดภรรยา และเกยคางตรงไหล่ของนางขณะอ่านบันทึกในสมุด แต่ไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน ก็ยังรู้สึกว่ามันน่าอายอยู่ดี
หญิงสาวเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของสามี แววตาของนางส่องประกายอย่างมีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายทำตัวงี่เง่าเป็นบางครั้ง
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนมในห้องหนังสือ จนกระทั่งประตูห้องถูกเคาะ พวกเขาจึงเดินออกมา จึงพบว่าอวี้เฟิงและคนอื่นๆ เข้ามาร่ำลาก่อนจะจากไป
พวกเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ควรจัดเตรียมได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เฉียวเทียนช่างแล้ว พวกเขาได้รับการร้องขอให้กลับไปนานแล้ว เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้พวกเขาจัดการอยู่
“พวกเจ้าทุกคนจะไปแล้วจริงๆ หรือ” หนิงเมิ่งเหยามองทุกคนและรู้สึกอาลัยอาวรณ์
“พวกเราจะมาเยี่ยมใหม่ ตอนที่เจ้าคลอดลูก” เหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ ไม่อยากจะลาจากไปเช่นกัน นางเดินไปยืนข้างๆ น้องสาวและเอ่ยคำลา
หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขาอย่างโศกเศร้า “ก็ได้ แต่ตอนนั้น พวกเราอาจจะอยู่ที่หมู่บ้านไป๋ซานแล้ว”
“ได้เลย เมื่อถึงตอนนั้น เราจะไปเยี่ยมพวกเจ้าที่นั่น”
เหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ จัดเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว พวกเขารอเพียงเอ่ยคำลากับหนิงเมิ่งเหยาก่อนจะจากไปเท่านั้น
เซียวฉีเทียนเข้ามาเห็นพวกเขาเก็บข้าวของกันไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะจากไป
“พวกเจ้ากำลังจะไปไหนกันหรือ”
“เราจะเดินทางกลับแล้ว ทางฝั่งนั้นมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ” ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันมากขึ้น
เซียวฉีเทียนขมวดคิ้ว ทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าเขาเป็นอะไร ก่อนจะตระหนักได้ว่าเขากำลังมองหามู่เสวี่ยนั่นเอง “เจ้าก็กลับไปกับพวกเขาด้วยหรือ”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่มู่เสวี่ย จนนางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่วเบา “ใช่ ข้าเตรียมพร้อมจะเดินทางกลับแล้ว”
เซียวฉีเทียนหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเก่าขณะมองนาง “เจ้าอยู่ต่อไม่ได้หรือ”
หญิงสาวรู้สึกเคอะเขิน ส่วนมู่เฉินนั้นเลิกคิ้วขึ้นมองหน้าอีกฝ่าย “เจ้าคนเสเพล เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ข้าอยากขอให้นางมาเป็นภรรยาของข้า” เซียวฉีเทียนกล่าวอย่างหนักแน่น โดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะคิดเช่นไร
มู่เสวี่ยหน้าแดงระเรื่อ และมองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
“ข้าพูดจาเหลวไหลตอนไหนหรือ ข้าพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง” เซียวฉีเทียนมองนางอย่างไม่พอใจ
‘จะพูดเรื่องแต่งงานเล่นๆ ได้อย่างไรกันเล่า’
มู่เฉินมองน้องสาวคนเล็กที่แววตาดูเขินอาย อีกทั้งแก้มยังเปล่งสีชมพูระเรื่อ เขามองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่านางรู้สึกดีต่อเซียวฉีเทียน
และชายหนุ่มผู้นี้ก็มองนางด้วยท่าทีเช่นเดียวกัน
หนิงเมิ่งเหยามองเซียวฉีเทียน ก่อนจะมองมู่เสวี่ย จากนั้นจึงหันหน้ามองเฉียวเทียนช่าง “พวกเขาสองคนจีบกันตั้งแต่ตอนไหนหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้” เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าทั้งสองคนไม่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเลย
หนิงเมิ่งเหยาหันไปดูสถานการณ์ตรงหน้าต่อ
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าอยากจะแต่งงานกับน้องสาวของข้าหรือ ไม่มีทาง”
เซียวฉีเทียนมองมู่เฉินอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้ามีเงื่อนไขอย่างไรหรือ”
“ตลอดทั้งชีวิตของเจ้า จะต้องอยู่กับน้องสาวข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าทำได้หรือไม่” มู่เฉินนั่งกอดอกอยู่บนอานม้า พลางจ้องมองอีกฝ่าย
“แค่นั้นหรือ”
“คนสูงศักดิ์…”
“เป็นคนสูงศักดิ์แล้วจะทำไมเล่า หากข้าคิดจะทำเช่นนั้น ตำหนักองค์ชายของข้าก็คงจะเต็มไปด้วยหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนไปแล้ว” เซียวฉีเทียนพูดความจริง เพราะหากเขาถูกคลุมถุงชน ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่าป่านนี้ หญิงสาวในจวนของเขาจะมีกี่คนแล้ว
มู่เฉินหรี่ตามองอีกฝ่าย “แล้วท่านฮ่องเต้ยอมรับได้หรือ”
“แล้วทำไมเขาจะไม่ยินยอมเล่า” เซียวฉีเทียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงต้องขอความเห็นชอบจากพี่ชายของตนในการหาภรรยาของตนเองด้วย
มู่เฉินมองไปที่เซียวฉีเทียนอย่างครุ่นคิด ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ถ้าเช่นนั้น การแต่งงานครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ “ข้าไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานแทนน้องสาวของข้าได้”
เซียวฉีเทียนเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่เรื่องยาก เดี๋ยวข้าจะติดตามพวกเจ้ากลับไปด้วย และจะทำการสู่ขอให้ถูกต้องทันที”
หนิงเมิ่งเหยาปิดหน้าตนเอง คนผู้นี้หน้าหนาเกินไปหรือเปล่า ถึงได้พูดจาเช่นนั้นอย่างน่าไม่อาย แต่ทว่ามันน่าประทับใจมากทีเดียว
บทที่ 418 พันธสัญญาร้อยปี
เมื่อมองไปที่มู่เสวี่ยอีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายเขินอายจนหน้าแดงก่ำ
“ทุกคน รอข้าก่อน ข้าจะกลับไปเอาม้า แล้วจะร่วมเดินทางด้วย” วันนี้เขาเดินมาที่นี่ และไม่ได้ขี่ม้ามาด้วย
มู่เฉินมองเซียวฉีเทียนที่หมุนตัวจากไป โดยไม่รอฟังคำพูดใดๆ จากเขา ทำให้ผู้เป็นพี่ชายพูดไม่ออกในทันที
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร พี่ชายก็พร้อมสนับสนุนเสมอ” ทันใดนั้น มู่เฉินจึงพูดขึ้น
มู่เสวี่ยตกใจและหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่รู้ หากเซียวฉีเทียนเดินทางไปข้าเกรงว่า…ข้าเกรงว่าท่านพ่อจะให้มู่อวี่เป็นคนแต่งงานกับเขาแทน”
“เขาไม่ควรเข้ามาแทรกแซงการแต่งงานของเจ้า” สายตาของมู่เฉินเย็นชาและดูดุร้าย
“ไม่ใช่เรื่องยาก เสวี่ย หากเจ้ากังวลเรื่องนั้น ก็แจ้งฮ่องเต้แห่งเมืองเฟิงได้ หรือหากจำเป็น เจ้าก็ใช้ชื่อทงเป่าไจสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาได้เลย” หนิงเมิ่งเหยารู้บางอย่างเกี่ยวกับตระกูลมู่
มู่อวี่คือน้องสาวคนละแม่ของมู่เสวี่ย ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของหัวหน้าตระกูลมู่มาก
หากเซียวฉีเทียนมุ่งหน้าไปที่นั่น ผลสุดท้ายก็น่าจะเป็นไปตามที่มู่เสวี่ยคาดการณ์
มู่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุด เขาก็ขมวดคิ้ว “นี่มัน…”
“เทียนช่าง ไปที่วังหลวงกันเถอะ เฉิน พวกเจ้าเดินทางกลับช้ากว่ากำหนดเดิมหน่อยก็แล้วกัน หากไม่มีปัญหาอะไร เทียนช่างกับข้าก็จะไปด้วย” หนิงเมิ่งเหยาคือนายหญิงแห่งทงเป่าไจ หากนางเดินทางไปด้วย ก็จะสามารถโน้มน้าวใจได้ดีกว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ
มู่เฉินยิ้มและผงกศีรษะ “ตกลง แต่เจ้าสามารถเดินทางไกลได้หรือ” ตอนนี้หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์อยู่
“เทียนช่างจะติดตามไปด้วย”
“เหยาเอ๋อร์ ขอบคุณมาก” มู่เสวี่ยมองหญิงสาวอย่างซึ้งใจ แววตาของนางมีน้ำตาคลออยู่
ในอดีต มู่เสวี่ยและพี่ชายของนางมีสถานะที่ยากจะอธิบาย แม่ของทั้งคู่เสียชีวิตลงตอนที่นางยังเด็ก จากนั้นทั้งสองคนก็มีแม่เลี้ยง แม้ว่านางจะไม่ได้ทำตัวเลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีกับพวกเขานัก จนกระทั่ง ทั้งคู่รู้จักกับหนิงเมิ่งเหยา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทำให้พวกเขามีเงินจำนวนมาก โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้ นอกจากสองพี่น้อง
“เราเป็นเหมือนพี่น้อง และยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะต้องช่วยเหลือเจ้าอยู่แล้ว” หนิงเมิ่งเหยามีความสุข ขณะเดียวกันนางก็อยากให้สหายที่ดีของตนมีความสุขด้วย
“แล้วพวกเราจะได้ไปจัดการเรื่องงานแต่งของเฉินในคราวเดียวกันเลย” ตระกูลมู่ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเฟิง นอกจากนี้ ท่านพ่อของพวกเขายังเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีของเมืองอีกด้วย ดังนั้นการที่เขาต้องการจะไปช่วยเหลืองานแต่งของมู่เฉินจึงทำได้ไม่ยาก
มู่เฉินตกใจ ก่อนจะเข้าใจว่าหนิงเมิ่งเหยาหมายถึงอะไร “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอรบกวนเจ้าด้วย เสี่ยวเหยาเอ๋อร์”
“พี่เหมย พี่เขยไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปวังหลวงกับมู่เฉินและ เซวียนเซวียน”
“ตกลง”
พวกเขาทั้งห้าคนมุ่งหน้าไปที่วังหลวง และระหว่างทาง ก็พบกับเซียวฉีเทียนที่กำลังกลับมายังจวนแม่ทัพ ทุกคนหยุดรั้งอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะบอกแผนการณ์ให้เขาฟัง
ในห้องทรงพระอักษร เซียวฉีเทียนบอกเซียวชวี่เฟิงถึงความตั้งใจของเขาที่ต้องการแต่งงานกับมู่เสวี่ย หลังจากนั้น มู่เฉินจึงบอกผู้เป็นฮ่องเต้และคนอื่นๆ ว่าพวกเขาคือลูกของอัครมหาเสนาบดีของเมืองเฟิง
เซียวชวี่เฟิงครุ่นคิดขณะมองดูทั้งคู่ “ครั้งล่าสุดที่มีคนเดินทางออกมาจากเมืองเฟิง คือต้องการจะแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองเซียว ฉีเทียน ข้าจะให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ และบอกเฟิงฮ่องเต้ว่าเมืองเซียวและเมืองเฟิงนั้นมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกันมากว่าสิบปีแล้ว”
มู่เฉินมองเซียวชวี่เฟิงอย่างตกตะลึง “ฝ่าบาท หมายความว่าเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว แม้ว่าปัจจุบัน เมืองเซียวจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ข้ามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ แม้ว่าข้าอยากจะรวมทุกเมืองเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ข้าก็อยากจะบรรลุข้อตกลงกับทุกเมือง แต่ละเมืองจะมีพันธสัญญาว่าจะไม่ก่อสงครามต่อกัน เพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข” เซียวชวี่เฟิงเป็นคนไม่ทะเยอทะยานจริงๆ น่ะหรือ ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เขาเป็นคนทะเยอทะยานเช่นกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะฝักใฝ่ในด้านใดต่างหาก
เซียวฉีเทียนมองผู้เป็นพี่ชาย “ขอบคุณมาก ท่านพี่”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก” เซียวชวี่เฟิงหยิบปากกามาเขียนจดหมาย
“เมื่อพวกเจ้าเดินทางถึงที่นั่นแล้ว ส่งจดหมายฉบับนี้ให้เฟิงฮ่องเต้”
“ตกลง”
“เหยาเหยา กลับไปกับมู่เฉินและคนอื่นๆ ก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับชวี่เฟิง”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน”
หลังจากพวกเขาจากไป เฉียวเทียนช่างก็มองเซียวชวี่เฟิง “เหยาเหยาตั้งใจจะไปที่นั่นด้วย เพราะนางกังวลว่าอัครมหาเสนาบดีของเมืองเฟิงจะกระทำการบางอย่าง ข้าจึงอยากจะติดตามไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นในช่วงนี้ ท่านจะต้องอยู่ตัวคนเดียวไปก่อน”
“จริงๆ แล้ว นี่ถือเป็นโอกาสอันดี” เซียวชวี่เฟิงยิ้มอย่างร้ายกาจ
เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้ว พวกเขาทั้งสองคนเข้าใจกันโดยปริยาย “ข้าจะให้คนของข้าอยู่กับท่าน และท่านสามารถเรียกใช้สายลับของเหยาเหยาได้เลย”
“ดีมาก”
เฉียวเทียนช่างกรอกตามองอีกฝ่าย ก่อนจะหมุนตัวจากไป ดูเหมือนว่าความกังวลใจของเขาจะไร้ค่า