ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 421 มู่อวี่ผู้น่าไม่อาย + บทที่ 422 หาวิธีให้อีกฝ่ายอภัยโทษ
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 421 มู่อวี่ผู้น่าไม่อาย + บทที่ 422 หาวิธีให้อีกฝ่ายอภัยโทษ
บทที่ 421 มู่อวี่ผู้น่าไม่อาย
เฟิงซั่วปรายตามองมู่อวี่อย่างรังเกียจ“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท” สายตาของมู่อวี่ที่จ้องมองอีกฝ่ายนั้นเผยให้เห็นความหลงใหลยิ่งกว่าเก่า
หนิงเมิ่งเหยามองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาเกลียดชังและไม่พอใจ ‘เด็กสาวผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง’
เซียวฉีเทียนรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นผู้ที่กลั่นแกล้งคนรักของตน เขาจึงพูดอย่างหมดความอดทน “องค์รัชทายาท ดูเหมือนว่าหญิงสาวในเมืองนี้ช่างเปิดเผยเสียจริง”
เฟิงซั่วรู้ว่าเซียวฉีเทียนมิได้ตั้งใจเหน็บแนมเขา เพียงแต่เขารู้สึกว่ามู่อวี่เป็นคนน่ารำคาญเท่านั้น
ทันทีที่เขากำลังจะตอบ จู่ๆ มู่อวี่ที่อยู่ด้านข้างกก็ราวกับเสียการควบคุม ก่อนจะชี้หน้าเซียวฉีเทียนและพูดจาดูหมิ่น “เจ้าคนสามัญชนหน้าตาโสมมนี่มาจากที่ใดกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวฉีเทียนถูกคนอื่นเหยียดหยามเช่นนี้ ใบหน้าของเขาถมึงทึง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมู่เสวี่ยถึงไม่ชอบน้องสาวผู้นี้ จริงๆ แล้ว คงไม่มีผู้ใดชอบหญิงสาวที่มีทัศนคติแย่เช่นนี้
“ข้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นสามัญชนตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าหวังว่าท่านจะมีคำอธิบายที่น่าพอใจให้กับข้า” เซียวฉีเทียนไม่ได้ต้องการจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาแค่อยากจะสั่งสอนอีกฝ่ายเท่านั้น ใครจะคิดว่านางจะพูดจาหยาบคายเช่นนี้
เฟิงซั่วผงกศีรษะ “วางใจเถิด องค์ชายฉี ข้าจะหาคำอธิบายให้ท่าน”
มู่อวี่มองเซียวฉีเทียนด้วยความตกใจ ชายผู้นี้คือองค์ชายหรือ แต่นางรู้จักทุกคนที่เป็น ‘องค์ชาย’ แห่งเมืองเฟิง ทว่ากลับไม่เคยเห็นหน้าคนๆ นี้
“องค์รัชทายาท กลับไปพักผ่อนที่วังหลวงก่อนเถอะ ข้าหวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะมีคำอธิบายที่ฟังดูดีให้กับข้า เทียนช่าง ไปกันเถอะ” เซียวฉีเทียนพูดอย่างเย็นชาพลางมองมู่อวี่ราวกับกำลังมองสัมภเวสี
เฟิงซั่วพยักหน้า พลางมองดูพวกเขาจากไป ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเยือกเย็นขึ้น
“ใครก็ได้ มาตรงนี้ที! ส่งแม่นางมู่กลับบ้าน และแจ้งอัครมหาเสนาบดีมู่ว่านางพูดจาจาบจ้วงองค์ชายฉีแห่งเมืองเซียว และ เขาจะต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้ในงานเลี้ยงคืนนี้” แม้แต่เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
มู่อวี่ตกตะลึงขณะมองเฟิงซั่วเดินจากไป นางต้องการจะเข้าไปฉุดรั้งเขา แต่ก็มีใครบางคนหยุดนางเอาไว้
ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างได้ยินคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของพวกเขามองมู่อวี่เต็มไปด้วยการดูถูก แต่คิดอีกแง่หนึ่ง ใครจะรู้ว่าคนแปลกหน้าผู้หล่อเหลาคนนั้นจะกลายเป็นองค์ชายแห่งเมืองเซียว
พวกเขาต่างหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อนึกถึงตอนที่มู่อวี่สบถใส่เขาว่าเป็น ‘คนสามัญชนหน้าตาโสมม’
มู่อวี่มักจะมีท่าทีจองหองใส่ทุกคนเป็นเรื่องปกติ พวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจมานานแล้ว แต่จำต้องอดทน เพราะเห็นแก่ท่านพ่อของนาง แต่นางกลับคิดว่าตนเองเป็นคนที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่เหนือใคร
พวกเขาไม่เข้าใจอัครมหาเสนาบดีมู่นัก ทั้งๆ ที่มู่เสวี่ยเป็นลูกสาวผู้เรียบร้อยและสวยสง่า แต่เขากลับเอาอกเอาใจลูกสาวอีกคนที่มีพฤติกรรมตรงกันข้ามแทน ไม่แปลกใจเลยที่มู่เสวี่ยจะเจ็บปวด ใครๆ ต่างก็รู้ว่ามู่เสวี่ยมิได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในวังหลวงปีนี้
และพวกเขาก็ได้ยินว่าพี่ชายของมู่เสวี่ยเองก็ไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ด้วยเช่นกัน
มู่อวี่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากผู้คนรอบตัว จึงรู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ คำพูดของเฟิงซั่วและวาจาของนางที่พูดจาบจ้วงองค์ชายฉีจากเมืองเซียวยังดังก้องอยู่ในหัวของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
องค์ชายฉีเป็นใครกัน พวกเขาไม่เคยพบเจอชายผู้นี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง
เขาเป็นน้องชายคนเดียวของเซียวฮ่องเต้ ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ตอนนี้นางทำให้เขาขุ่นเคืองใจ ทั้งยังพูดจาดูหมิ่นว่าเขาเป็นสามัญชนผู้โสมมอีกด้วย
มู่อวี่หน้าซีดเผือดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนจะเลิกหวาดกลัว เพราะนึกขึ้นได้ว่าท่านพ่อจะต้องช่วยเหลือ และไม่ลงโทษตนเป็นแน่
“แม่นางมู่ เชิญ”
มู่อวี่รู้สึกโกรธเคือง แต่ต้องระงับอารมณ์ไว้
อัครมหาเสนาบดีมู่แทบเป็นลม เมื่อรู้ข่าวจากคนในวังว่า ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนบังอาจไปทำให้องค์ชายฉีขุ่นเคือง องค์ชายฉีเป็นคนที่จาบจ้วงได้ง่ายดายขนาดนั้นหรือ
เมื่อนึกถึงงานเลี้ยงในวังคืนนี้อัครมหาเสนาบดีมู่ก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า อยากจะปรึกษาเรื่องนี้กับใครสักคน แต่เขากลับไม่พบใครเลย
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขานึกถึงมู่เฉินขึ้นมา
เมื่อนึกถึงผู้เป็นลูกชาย อัครมหาเสนาบดีมู่ก็มีแผนในใจ “ไปรับนายน้อยกลับมา”
“องค์รัชทายาทแจ้งว่าคุณหนูมู่และนายน้อยมู่ต้องพักอาศัยกับแขกผู้มีเกียรติในวังหลวง และจะไม่กลับมาชั่วคราวขอรับ” เมื่อได้ยินคำสั่งจากอัครมหาเสนาบดีมู่ บ่าวรับใช้ก็เอ่ยตอบ
สีหน้าของอัครมหาเสนาบดีมู่ดูขมขื่นขึ้นมาทันที ตอนนี้ เขารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ปล่อยปละละเลยพวกเขาไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หากเขาดูแลทั้งสองคนดีกว่านี้อีกหน่อย ตอนนี้สองพี่น้องคู่นั้นก็คงอยู่เคียงข้างเขา และช่วยกันเสนอทางออกแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้อัครมหาเสนาบดีมู่ก็รู้สึกเสียใจ
บทที่ 422 หาวิธีให้อีกฝ่ายอภัยโทษ
เมื่อมู่อวี่เห็นว่าบิดาของนางต้องการจะเรียกมู่เฉินกลับมา ก็รู้สึกไม่พอใจทันที “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงต้องการเรียกพวกเขากลับมาด้วย”
สีหน้าของอัครมหาเสนาบดีมู่เยือกเย็นขณะมองดูลูกสาวคนนี้ “เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะต้องมาเคร่งเครียดเพียงนี้หรือ”
“ข้ามิได้ทำอะไรผิด” มู่อวี่พูดอย่างปัดความรับผิดชอบ
อัครมหาเสนาบดีมู่หน้าแดงก่ำด้วยความโมโห และก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ เขาก็ตบหน้านางไปหนึ่งฉาด
“เจ้ายังกล้าพูดจาเช่นนี้อีกหรือ”
มู่อวี่มองผู้เป็นพ่อนิ่ง และลืมความรู้สึกเจ็บแสบตรงใบหน้าไปเสียสนิท นางไม่อยากเชื่อว่าท่านพ่อจะตบตน
เมื่อภรรยาของอัครมหาเสนาบดีมู่รู้เรื่อง และเห็นว่าใบหน้าของลูกสาวมีรอยนิ้วมือประทับอยู่ นางก็รู้สึกทุกข์ใจ “ท่านพี่ ท่านทำอะไรลงไป ถ้ามีเรื่องอะไร เราก็ควรพูดจากันดีๆ สิ” เมื่อมองรอยนิ้วมือบนใบหน้าของมู่อวี่อีกครั้ง หัวใจของผู้เป็นแม่ก็รวดร้าวยิ่งกว่าเก่า
“พูดกันดีๆ หรือ นางจาบจ้วงองค์ชายฉีแห่งเมืองเซียวแล้วยังไม่สำนึก หนำซ้ำ ยังไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอีก จะต้องให้ฟ้าถล่มลงมาก่อนหรือ นางจึงจะรู้ตัว นางเทียบได้ไม่ถึงครึ่งของมู่เสวี่ยเลย” อัครมหาเสนาบดีมู่เอ่ยอย่างโกรธเคือง
เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินว่าลูกสาวจาบจ้วงเซียวฉีเทียน ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ และมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะโกรธจนหน้าเขียว หลังจากได้ยินว่าลูกสาวของตนเทียบไม่ได้ แม้แต่ครึ่งหนึ่งของมู่เสวี่ย
“ท่านพ่อ หากท่านคิดว่านางดีกว่าข้า ก็เรียกนางกลับมาสิ! แต่แย่หน่อยที่นางไม่คิดจะสนใจท่านเลย!” มู่อวี่กรีดร้อง
เมื่อภรรยาของอัครมหาเสนาบดีมู่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง ‘นางบังอาจพูดจาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน’
“อวี่เอ๋อร์ หุบปากซะ”
“ท่านแม่ แม้แต่ท่านก็ด้วยหรือ”
อัครมหาเสนาบดีมู่ไม่อยากจะพูดกับสองแม่ลูก จึงเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “องค์รัชทายาทต้องการให้พวกเราอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เจ้าจัดการด้วยก็แล้วกัน”
“ข้า…” และแล้วผู้เป็นภรรยาก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องตนี้ นางเหลือบมองลูกสาวอย่างทำอะไรไม่ถูก ทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องทำให้องค์ชายฉีกริ้วด้วย
อัครมหาเสนาบดีมู่ไม่ให้โอกาสนางได้พูด เขาสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป
ณ วังหลวง เซียวฉีเทียนมองดูมู่เสวี่ย “เด็กสาวคนนั้นเคยรังแกเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่ คืนนี้ ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง” ดวงตาของเซียวฉีเทียนฉายประกายความโหดเหี้ยม
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “นางสมควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง”
ในคืนนี้ หากเฟิงฮ่องเต้แถลงการณ์เรื่องจุดประสงค์ที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ คู่แม่ลูกนั้นคงจะต้องสร้างปัญหาให้กับมู่เสวี่ยเป็นแน่ ท้ายที่สุด พวกเขาก็จะยังไม่สามารถแต่งงานกันได้ในทันที
“ข้าไม่เป็นไรหรอก” มู่เสวี่ยยิ้มอย่างแผ่วเบา ก่อนหน้านี้ นางมีเพียงพี่ชายคนเดียวที่คอยปกป้องดูแล แต่ตอนนี้ มีคนอื่นๆ อีกเช่นกัน นางรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็รู้สึกชอบมันอย่างยิ่ง
เซียวฉีเทียนพูดเสียงดังอย่างเย็นชา “ภรรยาของข้าเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือ”
มู่เฉินที่อยู่ข้างๆ มิได้โกรธเคืองกับคำพูดแสดงความเป็นเจ้าของของอีกฝ่าย หนำซ้ำ เขายังรู้สึกดีอีกต่างหาก
“ข้าวางใจให้เจ้าดูแลเสวี่ยเอ๋อร์”
“อย่ากังวลเลย หากมีข้าอยู่ จะไม่มีใครกลั่นแกล้งนางได้อีก” ในเมืองเซียวนั้น เซียวฉีเทียนถือว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งอำนาจสูงที่สุดรองจากพี่ชายของเขาเอง หลังจากนางเป็นภรรยาของเขา ใครจะยังกล้ามารังแกนางได้อีกเล่า
หนิงเมิ่งเหยามองเซียวฉีเทียน “คนที่น่ากังวลคือภรรยาของอัครมหาเสนาบดี” ผู้หญิงคนนั้นโหดเหี้ยมมากจนแม้แต่นางยังตกตะลึง
เซียวฉีเทียนพูดอย่างเย็นชา “หากนางบังอาจแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นผมของมู่เสวี่ย ข้าก็จะฆ่าล้างตระกูลของนางเสีย”
มู่เสวี่ยรู้สึกว่าศีรษะของตนนั้นหนักอึ้ง “ตระกูลของนางหรือ แต่พวกเราก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลนั้น”
เซียวฉีเทียนเขกศีรษะของคนรัก ‘เขาหมายความเช่นนั้นที่ไหนกันเล่า’
“ไปพักผ่อนเถอะ แล้วค่อยมาดูกันว่าคืนนี้ พวกเขาจะอธิบายต่อข้าเช่นไร…” เซียวฉีเทียนพูดอย่างเย็นชาและไม่ใยดี
ส่วนหนิงเมิ่งหยานั้นมิได้ห้ามปรามอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ในคืนนั้น สวนของวังหลวงสว่างไสวด้วยไฟประดับ และมีผู้คนมากมายที่นั่น
“ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จแล้ว”
“ถวายพระพรฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถอะ”
เฟิงซั่วนั่งบนเก้าอี้ของตนและมองดูตรงประตูทางเข้า เหล่าสหายที่เขารอคอยจะพบเจอนั้นยังมาไม่ถึง การแสดงอำนาจของพวกเขานั้นช่าง…
เมื่ออัครมหาเสนาบดีมู่เห็นเหตุการณ์นี้เหงื่อก็ออกเต็มหน้าผาก ทันใดนั้น ผู้เป็นภรรยาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนั้น
“ซั่วเอ๋อร์ องค์ชายฉีและคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึงอีกหรือ”
“พวกเขาน่าจะใกล้ถึงแล้ว”
“องค์ชายฉีแห่งเมืองเซียว แม่ทัพใหญ่เฉียว และภรรยาของแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้ว”