ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 425 ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของข้า + บทที่ 426 ไม่ให้เหลือไว้แม้เพียงชิ้นเดียว
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 425 ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของข้า + บทที่ 426 ไม่ให้เหลือไว้แม้เพียงชิ้นเดียว
บทที่ 425 ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของข้า
ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีมู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นในทันที
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวนของอัครมหาเสนาบดีอยู่รอดได้ เพราะพึ่งพาทรัพย์สมบัติเหล่านั้น หากต้องยกทรัพย์สมบัติเหล่านั้นคืนให้มู่เสวี่ย แล้วจวนอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะอยู่รอดได้อย่างไร
“มู่เฉิน เจ้าจะทำเกินไปแล้ว” ภรรยาของอัครมหาเสนาบดีได้ยินคำพูดของเขา ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมราวกับต้องการจะฉีกร่างของสองพี่น้องตรงหน้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ
“ข้าทำเกินไปตรงไหนหรือ เจ้าพูดจาว่าร้ายข้าเกินไปนัก หรือเจ้ามีปัญหาที่ข้าช่วยให้น้องสาวของข้าได้รับทรัพย์สมบัติจากท่านแม่ของพวกเราเช่นนั้นหรือ” มู่เฉินมองภรรยาของอัครมหาเสนาบดีมู่อย่างเย็นชาขณะพูด
หนิงเมิ่งเหยาทำเสียงเดาะลิ้น ก่อนมองนางอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ข้าไม่เคยพบเจอคนน่าไม่อายขนาดนี้มาก่อน นอกจากจะใช้ทรัพย์สมบัติของคนอื่นแล้ว ยังรังแกลูกของเขาอีกต่างหาก เจ้าคงไม่ได้คิดว่าสิ่งของต่างๆ จากแม่ผู้ล่วงลับของทั้งสองคนนั้น จะเป็นของตนเองหรอกนะ ใช่ไหม ถ้าหากเจ้าไม่ยอมยกทรัพย์สมบัติเหล่านั้นให้มู่เสวี่ย เราก็ยินดีที่จะให้บุคคลที่สามเข้ามาจัดการเรื่องนี้”
โดยทั่วไปแล้ว เหล่าขุนนางจะเป็นคนจดบันทึกรายการทรัพย์สมบัติของหญิงสาวว่าสิ่งของต่างๆ เหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของหญิงผู้นั้น
“ข้าจะไม่แตะต้องสิ่งของใดๆ ในจวนของอัครมหาเสนาบดี ข้าต้องการแค่ทรัพย์สมบัติของท่านแม่เท่านั้น ข้าไม่ยอมให้คนชั่วช้าสามานย์ครอบครองทรัพย์สมบัติของท่านแม่เด็ดขาด” มู่เสวี่ยมองอัครมหาเสนาบดีมู่และคนอื่นๆ
ในสายตาของนางและคนอื่นๆ อัครมหาเสนาบดีมู่คือคนเลวที่ไม่อาจกลับใจได้ เขาคือหมาป่าที่พร้อมจะขย้ำลูกของตนได้ทุกเมื่อ
หลังจากผู้เป็นลูกสาวตำหนิคนเป็นพ่อต่อหน้าคนจำนวนมาก อัครมหาเสนาบดีมู่ก็หน้าเสีย และขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “มู่เสวี่ย เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายความว่าเช่นไรน่ะหรือ ตอนที่ท่านแม่จากไป นางบอกว่าพวกเราทุกคนสามารถใช้ทรัพย์สมบัติของนางได้ แต่ท่านจะต้องเลี้ยงดูพวกเราสองพี่น้องด้วย แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านเคยดูแลพวกเราบ้างหรือไม่” มู่เสวี่ยมองผู้เป็นพ่ออย่างสุขุม และไม่รู้สึกเกรงกลัวเขาอีกแล้ว
“เสวี่ยเอ๋อร์พูดถูก หลังจากที่ท่านแม่จากไป ท่านเคยเลี้ยงดูพวกเราในฐานะพ่อบ้างหรือไม่ ไม่เลย ท่านเอาแต่ผลาญทรัพย์สมบัติของท่านแม่เพื่อเลี้ยงดูผู้หญิงที่น่ารังเกียจพวกนี้ แล้วจู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็กลายมาเป็นแม่เลี้ยงของพวกเราได้อย่างไรก็ไม่รู้”
เซียวฉีเทียนขมวดคิ้วแน่น “หากมีปัญหา เราเรียกขุนนางมาตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนดีกว่า ข้าจะปล่อยให้ท่านแม่ยายต้องเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยได้เช่นไรกันเล่า”
อัครมหาเสนาบดีมู่อึ้งจนพูดไม่ออก เขามีสถานะเป็นพ่อตาของอีกฝ่าย แล้วชายหนุ่มตรงหน้าพูดจาเช่นนั้นกับเขาได้อย่างไรกัน
“ก็ได้ ข้าจะยกทุกอย่างให้กับเจ้า แต่ให้เวลาข้าหน่อย เพราะหลังจากผ่านมาหลายปี ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ตกหล่นไปบ้าง” เมื่ออัครมหาเสนาบดีนึกถึงหญิงสาวผู้สง่างามคนนั้น ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทั้งต่อคนเป็นแม่และต่อลูกทั้งสองคน
เมื่อฮูหยินมู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจทันที “ท่านพี่ ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นต้องเก็บไว้สำหรับอวี่เอ๋อร์นะ”
“เหอะ ข้าไม่เคยเจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อนจริงๆ คนที่กล้าเอาทรัพย์สมบัติของภรรยาเก่าผู้ล่วงลับ มาเป็นทรัพย์สมบัติของลูกตนเองเช่นนี้ ต้องเป็นคนละโมบโลภมากเพียงใดกัน หลังจากทำสิ่งเลวร้ายมากมายขนาดนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะมีคนมาหากลางดึกหรือ” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกหงุดหงิดกับความไร้ยางอายของหญิงสาวผู้นี้ ทำเกินไปแล้วจริงๆ
ท่าทีของฮูหยินมู่เปลี่ยนไป เนื้อตัวของนางสั่นเทิ้มและริมฝีปากนั้นซีดเผือด
“ใช่แล้ว นั่นเป็นทรัพย์สมบัติของข้า มู่เสวี่ย นังชั่ว กล้าดีอย่างไรมาคิดเทียบชั้นกับข้า” หลังจากได้ยินดังนั้น มู่อวี่ก็รู้สึกทะนงตน ‘ใช่แล้ว สิ่งดีๆ เหล่านั้นเป็นของนาง แล้วผู้หญิงคนนี้จะมาแย่งชิงมันไปได้อย่างไรกัน’
แววตาของเซียวฉีเทียนเผยความเย็นชส ก่อนจะปรากฏตัวตรงหน้ามู่อวี่ และตบนางไปสองสามฉาด ในชั่วพริบตา ใบหน้าของนางก็บวมเป่งราวกับลูกซาลาเปา
“เจ้ามีสิทธิ์พูดจาเหยียดหยามภรรยาของข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน การดูหมิ่นนางก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย”
“องค์ชายฉี ได้โปรดอย่างขุ่นเคืองพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร มู่อวี่ก็เป็นน้องสาวของมู่เสวี่ยพ่ะย่ะค่ะ…มัน…”
“ข้าไม่มีน้องสาวเช่นนี้ และข้าก็จำไม่ได้ว่าท่านแม่ของข้าให้กำเนิดน้องสาวที่น่ารังเกียจเช่นนี้ตอนไหน และหากนางเป็นน้องสาวของข้าจริงๆ ข้าก็คงอยากบีบคอนางให้ตายไปเสีย ท่านแม่จะได้ไม่ต้องอับอายที่มีลูกเช่นนาง” มู่เสวี่ยมองอัครมหาเสนาบดีอย่างเคร่งขรึม
“ตอนแรก เสวี่ยเอ๋อร์กับข้าตั้งใจว่าจะยกทรัพย์สมบัติหนึ่งในสามให้พวกเจ้า แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เราจะเอาทรัพย์สมบัติของท่านแม่มาทุกชิ้นและจะไม่เหลือไว้ให้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เสวี่ยเอ๋อร์ พาองค์ชายฉีไปเยี่ยมท่านตาเถอะ” มู่เฉินหันหน้ามาคุยกับน้องสาว ก่อนจะเมินเฉยต่อท่าทีถมึงทึงของผู้เป็นพ่อ
มู่เสวี่ยพยักหน้า “อืม”
บทที่ 426 ไม่ให้เหลือไว้แม้เพียงชิ้นเดียว
สองพี่น้องตระกูลมู่พาหนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ เดินทางออกจากจวน แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไป จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็หันไปมองอัครมหาเสนาบดีมู่ที่หน้าซีดเผือด “อัครมหาเสนาบดีมู่ เจ้าควรอบรมสั่งสอนลูกสาวให้ดี ฮ่องเต้แต่งตั้งให้มู่เสวี่ยเป็นองค์หญิงแล้ว คุณหนูแห่งจวนของอัครมาหาเสนาดีจะมาพูดจาเหยียดหยามองค์หญิงได้อย่างไรกัน ครั้งนี้ องค์ชายฉีไม่เอาความ แต่อย่าให้มีครั้งต่อไปเด็ดขาด พวกเจ้าทุกคนจำเอาไว้ให้ดีว่าหากนางทำให้เขาหงุดหงิดใจอีก หัวของนางอาจหลุดออกจากบ่าได้ทุกเมื่อ อัครมหาเสนาบดีเห็นด้วยกับคำพูดของข้าหรือไม่”
อัครมหาเสนาบดีมู่รู้สึกเสียหน้า หลังจากถูกหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่าพูดจาสั่งสอน
เขามองดูคนกลุ่มนั้นเดินจากไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะหันมองมู่อวี่ที่สะอึกสะอื้นอยู่ จึงดุด่านางว่า “เจ้ายังจะมาร้องไห้คร่ำครวญอีกหรือ เจ้าคิดว่าสถานะของมู่เสวี่ยในตอนนี้ เป็นคนที่เจ้าจะพูดจาดูถูกเหยียดหยามได้หรืออย่างไร เจ้าควรคิดให้ดี หากจวนอัครมหาเสนาบดีติดร่างแหไปด้วย ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
ฮูหยินมู่หน้าซีดเผือด นางเกลียดชังสองพี่น้องตระกูลมู่อย่างยิ่ง แต่นางก็รู้ดีว่าอัครมหาเสนาบดีมู่นั้นเป็นคนจริงจัง และพูดจริงทำจริง
มู่เฉินและคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังจวนของราชครู ซึ่งเป็นบ้านท่านตาของสองพี่น้องตระกูลมู่นั่นเอง
เมื่อเหล่าข้ารับใช้เห็นมู่เฉินและคนอื่นๆ ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกาย “นั่นนายน้อยกับคุณหนูนี่นา รีบไปบอกนายท่านเร็วเข้า” เขาพูดขึ้นพลางวิ่งเข้าไปในบ้าน
มู่เฉินรู้สึกขบขันขณะมองดูหัวหน้าข้ารับใช้ที่ดูทำอะไรไม่ถูก
ราชครูหลินรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าหลานชายและหลานสาวมาหา นอกจากนี้ยังพาหลานสะใภ้และหลานเขยมาอีกด้วย
“คารวะท่านตา”
“มานี่สิ คนเหล่านี้คือใครหรือ”
“ท่านตา นี่คือเซียวฉีเทียน เขาเป็นหลานเขยของท่าน ส่วนนี่คือซือถูเซวียน เป็นหลานสะใภ้ของท่าน และสองคนนี้เป็นสหายที่ดีของเรานามว่าเฉียวเทียนช่างกับหนิงเมิ่งเหยา”
“คารวะ ท่านราชครู”
“ดีๆ พวกเจ้าทุกคนเป็นเด็กดีจริงๆ” นิสัยใจคอของเด็กเหล่านี้ทำให้ราชครูหลินชื่นชอบได้ไม่ยาก
“ยังไงก็เถอะ เฉินเอ๋อร์ ที่พวกเจ้ามาครั้งนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”
“เอ่อ ข้าหวังว่าท่านน้าจะช่วยน้องสาวเรื่องทรัพย์สมบัติของท่านแม่ เพราะฟังจากน้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นแล้ว พวกเขาคงวางแผนจะยกทรัพย์สมบัติของท่านแม่ให้มู่อวี่”
ราชครูหลินพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ “บังอาจนัก” มันเป็นทรัพย์สมบัติที่ลูกสาวของพวกเขาทิ้งไว้ให้หลานสาวและหลานชายเท่านั้น แล้วหญิงผู้นั้นจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อย่างไรกัน
“ข้าจะให้น้าของพวกเจ้าจัดการเรื่องนี้เอง ทุกคนพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถอะ อย่าเพิ่งจากไปไหนเลย” หลานสาวของเขากำลังจะแต่งงานเร็วๆ นี้ เขาจึงไม่อยากอยู่ห่างจากนาง
ราชครูหลินชอบเล่นหมากล้อมอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงชวนคนกลุ่มนี้มาเล่นหมากล้อมด้วย โชคดีที่เซียวฉีเทียนเล่นหมากล้อมเก่ง เขาจึงเล่นกับราชครูหลินได้เป็นเวลานาน
“ท่านตาเป็นฝ่ายชนะ” เซียวฉีเทียนวางหมากลงและเอ่ยอย่างสนิทสนม
ราชครูหลินหัวเราะและส่ายศีรษะ “อย่าคิดว่าผู้เฒ่าคนนี้จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ข้ารู้ว่าเจ้ายอมอ่อนข้อให้ แต่ก็ไม่อยากแพ้ขาดลอยนัก ข้ามั่นใจเลยว่ามันต้องเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าแน่ๆ “
เซียวฉีเทียนตัวแข็งเกร็ง ก่อนจะลูบจมูกของตนเองอย่างกระอักกระอ่วน
“เอาเถอะ มาเล่นกันอีกสักตา และครั้งนี้ไม่ต้องอ่อนข้อให้ตาหรอก”
“ขอรับ”
ทั้งสองเริ่มเล่นหมากล้อมตาใหม่อย่างดุเดือด มู่เสวี่ยเห็นว่าเซียวฉีเทียนเข้ากับราชครูหลินได้เป็นอย่างดี นางก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก
ในตอนเย็น ลูกสะใภ้ของราชครูหลิน นามว่าหลินซูก็กลับมา เขาจึงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง
“ท่านพ่อ วางใจเถิด ลูกสะใภ้จะจัดการเรื่องนี้ให้เอง” นางหลินหรี่ตาลงขณะเอ่ยตอบ
ตอนแรกนางสนิทสนมกับพี่สะใภ้อย่างมาก แต่หลังจากที่นางแต่งงานและไปอยู่ในจวนของอัครมหาเสนาบดีได้ไม่นานนัก นางก็เสียชีวิตลง สิ่งที่รับไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากพี่สะใภ้จากไปไม่ถึงปี อัครมหาเสนาบดีมู่ก็มีภรรยาใหม่ และนั่นทำให้พวกเขาโมโหอย่างมาก
แต่คนในจวนของอัครมหาเสนาบดีนั้นไม่ชอบพวกเขานัก และยังไม่ดูแลสองพี่น้องอีกด้วย หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเขาก็รู้ว่า แม้แต่เหล่าข้ารับใช้ก็ยังกลั่นแกล้งสองพี่น้องต่อมา ราชครูหลินจึงไปยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้เพื่อขอพระราชทานอนุญาตให้เขาพาเด็กทั้งสองคนออกมาอาศัยที่จวนของราชครู และในเวลาหนึ่งปี พวกเขาก็ไม่เคยกลับไปที่จวนของอัครมหาเสนาบดีมากกว่าสองครั้งเลย
ถึงกระนั้น อัครมหาเสนาบดีมู่และผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงต้องการแทรกแซงการแต่งงานของเด็กทั้งสองคนอยู่ดี
แต่ทว่าตอนนี้ ทุกอย่างลงตัวแล้ว เพราะพี่น้องทั้งสองคนได้แต่งงานกับคนดีๆ นางหลินมองหญิงสาว จากนั้นจึงมองที่องค์ชายฉี ไม่ว่าอย่างไร นางก็ถูกชะตากับพวกเขาอย่างยิ่ง
“องค์ชายฉี เสวี่ยเอ๋อร์ต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปี ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือสา หากในอนาคต เสวี่ยเอ๋อร์จะเอาแต่ใจตนเองไปบ้าง”