ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 467 เป็นพ่อทูนหัวกับแม่ทูนหัวหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ + บทที่ 468 การช่วงชิง
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 467 เป็นพ่อทูนหัวกับแม่ทูนหัวหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ + บทที่ 468 การช่วงชิง
บทที่ 467 เป็นพ่อทูนหัวกับแม่ทูนหัวหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ
หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นสัมผัสท้องของตน มีรอยยิ้มแห่งความรักปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง
มู่เสวี่ยยืนยันความคิดของตัวเองอีกครั้ง พวกเหมยรั่วหลินเคยบอกว่าอยากจะเป็นพ่อทูนหัวและแม่ทูนหัวของเด็กคนนี้ แล้วถ้าหากพวกเขามาไม่ได้ล่ะจะทำอย่างไร“ก็จริง พี่เหมยพูดเสมอว่านางอยากเป็นแม่ทูนหัวของลูกเจ้า” คำพูดของมู่เสวี่ยไม่ได้มีจุดประสงค์ไม่ดี
แต่เฉียวเทียนช่างกลับรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนักหลังจากได้ยินเช่นนั้น พ่อทูนหัวกับแม่ทูนหัวหรือ
เขาเคยพูดเรื่องหาพ่อทูนหัวกับแม่ทูนหัวให้ลูกตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“เหยาเหยา จริงหรือ” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยท่าทางสุขุม แต่คิ้วกลับขมวดเข้าหากันแน่น
หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นลูบจมูกตัวเอง นางกำลังปาดน้ำตาในใจ หากมีพ่อที่คอยปกป้องลูกจนเกินเหตุเช่นนี้ เห็นทีว่าความคิดของพี่เหมยคงจะต้องเหี่ยวแห้งไปเสียแล้ว
“พวกพี่เหมยว่าเช่นนั้นหรือ”
“เทียนช่าง เจ้าไม่โกรธหรือ” หนิงเมิ่งเหยาลองถามหยั่งเชิงหลังเห็นว่าเฉียวเทียนช่างไม่มีปฏิกิริยาอะไร
แต่เฉียวเทียนช่างกลับเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “มันยังเร็วเกินไป” เขาจึงไม่รู้สึกร้อนใจเลยแม้แต่น้อย
หนังตาของหนิงเมิ่งเหยากระตุก ไม่รู้ทำไม แต่นางกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีราวกับว่าจะมีใครบางคนโชคร้าย
“ไม่ดีหรือที่จะมีคนรักเด็กคนนี้เพิ่มอีกสองคน” หนิงเมิ่งเหยาอธิบายด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง
“ถ้าพวกเขาเป็นแค่ลุงกับป้า แล้วพวกเขาจะไม่รักลูกของเราหรือ” เลยอยากจะเป็นแม่แทนเช่นนั้นหรือ ไปคลอดลูกเอาเองสิ เหตุใดเขาจะต้องมาแบ่งลูกกับสองคนนั้นด้วย เฉียวเทียนช่างบ่นประโยคสุดท้ายในใจ
หนิงเมิ่งเหยาพูดไม่ออก ดูท่าไม่ว่านางจะพูดอย่างไรก็คงไร้ประโยชน์
มู่เสวี่ยมองหนิงเมิ่งเหยา จากนั้นจึงหันไปมองเฉียวเทียนช่าง นางรู้สึกเหมือนกำลังตกที่นั่งลำบาก หากพวกพี่เหมยรู้เข้า นางจะไม่โดนฝ่ามือพิฆาตฟาดจนตายเลยหรือ
เซียวฉีเทียนเห็นภรรยาของตนมองไปที่ทั้งสองคนจึงดึงนางมายืนข้างกาย “อย่าไปสนใจเจ้านั่นเลย เขาก็แค่ขี้หวงเกินไปหน่อย”
เฉียวเทียนช่างตวัดสายตามามองเซียวฉีเทียน เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำกับคำพูดนั้น แต่รอวันที่เซียวฉีเทียวจะมีลูกบ้าง เจ้านี่คงไม่ทำตัวใจเย็นเช่นนี้แน่หากมีคนอื่นพยายามแย่งลูกไปจากเขา
“เอาล่ะ ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังได้หรือไม่” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างอับจนคำพูด
“ได้”
ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ เขาจะไม่ยอมให้คนพึ่งพาไม่ได้ทั้งสองคนนั้นได้เป็นพ่อและแม่ทูนหัวของลูกตนแน่ เป็นไปได้โดยเด็ดขาด
“เจ้ามานี่เรื่องร้านหรือ” จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็นึกขึ้นมาได้ขณะมองเซียวฉีเทียน จึงเอ่ยถาม
“ใช่ ข้าหาร้านและต่อเติมตามที่เจ้าสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่นำของเข้าร้าน จากนั้นก็สามารถเปิดร้านได้” เซียวฉีเทียนนึกภาพออกเลยว่าของพวกนั้นจะดึงดูดผู้คนจำนวนมากได้อย่างแน่นอน จากนั้นพวกเขาก็สามารถนำเงินพวกนั้นไปเปิดร้านเพิ่มได้โดยไม่ต้องเสียเงินมากเกินไป
เมื่อนึกถึงการเติบโตในอนาคต ดวงตาของเซียวฉีเทียนก็เต็มไปด้วยคำว่าเงิน
ตาของหนิงเมิ่งเหยากระตุก “เจ้าอย่าเอาแต่นึกถึงเรื่องเงินจะได้หรือไม่”
“ไม่ได้ ข้าแต่งงานแล้วนะ ข้าจำเป็นต้องหาเงินเอาไว้เยอะๆ” เซียวฉีเทียนพูดราวกับว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
คำแก้ตัวนั้นฟังขึ้นจนนางพูดไม่ออก
มู่เสวี่ยเองก็มองเซียวฉีเทียน สีหน้าของเขานั้นช่างน่าขันยิ่งนัก “เจ้ามีเงินมากพออยู่แล้ว”
“แต่ข้าก็ไม่ได้เกลียดถ้ามีเงินอยู่ในมือมากขึ้นนี่” เซียวฉีเทียนหันหน้าไปหาภรรยาแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง
มู่เสวี่ยครุ่นคิด ในที่สุดนางก็ตัดสินใจว่าจะไม่เป็นแบบเขา
“เรื่องสินค้าไม่มีปัญหาอะไร เจ้าให้คนมารับไปได้ จากนั้นเราก็เลือกวันเปิดร้านพร้อมกันได้เลย” หนิงเมิ่งเหยาเอนกายลงในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่างพลางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน
“เจ้าจัดการเรื่องนี้เสีย เหยาเหยาท้องแก่มากแล้ว” เฉียวเทียนช่างพูดเสริมจากหนิงเมิ่งเหยา
ตาของเซียวฉีเทียนกระตุก เขามองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า “ไม่มีปัญหา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าได้เลย แต่ข้าขอเงินใส่ซองแดงเยอะๆ หน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหา” แน่นอนว่าคนที่มีส่วนช่วยในการเปิดร้านควรจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากพวกเขาอยู่แล้ว
เซียวฉีเทียนมีสีหน้าพอใจ แต่พอเห็นมู่เสวี่ยมองเขาอย่างรังเกียจ เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าข้าได้เงินแล้ว ข้าจะเอาให้เจ้าทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็ดี”
ร่างของหนิงเมิ่งเหยาแทบทรุด นางทิ้งตัวใส่เฉียวเทียนช่าง หญิงผู้นี้…เสียสติไปแล้วหรือ
“เสวี่ย จิตสำนึกเจ้าหายไปไหน”
“จิตสำนึกข้าหายไปตั้งนานแล้ว”
บทที่ 468 การช่วงชิง
นางรู้จักคำว่าจิตสำนึกมาจากหนิงเมิ่งเหยา เมื่อก่อนพวกนางเคยคุยกันเรื่องนี้ แต่ชายสองคนข้างๆ กลับสับสน หญิงสองนางนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจสักนิดเดียว
“แล้วก็อีกเรื่อง ข้าตั้งใจว่าจะส่งเด็กจำนวนหนึ่งให้ไปกับพวกเจ้าด้ว พวกเขาจะได้ลองเล่นของเล่นพวกนั้นดู แล้วก็จะได้สอนเด็กคนอื่นด้วยว่าของเล่นพวกนั้นเล่นอย่างไร” หนิงเมิ่งเหยาพลันผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา หากคนที่มาไม่รู้วิธีเล่น ทุกอย่างที่ทำมาก็สูญเปล่าหมดน่ะสิ
เซียวฉีเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ พอถึงเวลานั้นข้าจะได้เอาเงินใส่ซองแดงให้พวกเขาด้วย”
ตาของหนิงเมิ่งเหยากระตุก “เจ้าใจกว้างขนาดนั้นเชียวหรือ”
“เงินบวกเพิ่มจากส่วนแบ่ง” เซียวฉีเทียนมองหนิงเมิ่งเหยาและพูดขึ้น โดยไร้ซึ่งความละอายใดๆ
มุมปากของหนิงเมิ่งเหยากระตุก “เจ้านี่มันขนแกะเกิดมาจากตัวแกะ[1] เสียจริง ช่างคิดคำนวณนัก”
“ถูกอย่างเจ้าว่า”
หนิงเมิ่งเหยาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ช่วยอย่าทำท่าภาคภูมิใจขนาดนั้นได้ไหม สิ่งที่นางกล่าวนั้นไม่ใช่คำชมเสียหน่อย
“เจ้าวางแผนจะส่งเด็กจากหมู่บ้านไปหรือ”
“ใช่ เลือกไปไม่กี่คน แต่ยังไงเราก็ยังต้องปรึกษากับพ่อแม่ของพวกเขาด้วย” หยางจื้อกับเด็กคนอื่นนั้นโตกันหมดแล้ว การพาเขาออกไปนอกหมู่บ้านก็ไม่เลวเหมือนกัน ได้ยินอาจารย์จากสถานศึกษาบอกเอาไว้ว่ามีเด็กสองสามคนที่เรียนรู้ได้ไว และยังเฉลียวฉลาดมากรู้จักกระทั่งคิดตัดสินใจด้วยตัวเอง พวกเขาเพียงแค่ขาดประสบการณ์เท่านั้น
เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดอยู่เช่นนั้น เฉียวเทียนช่างก็รู้ว่านางกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ “เจ้าตั้งใจจะส่งหยางจื้อกับหลินเอ๋อร์ไปหรือ” เมื่อก่อนหนิงเมิ่งเหยาเป็นผู้สอนเด็กทั้งสองคนด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้พวกเขาต่างย่างเข้าวัยรุ่นแล้ว
หนิงเมิ่งเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว อาจารย์เองก็เคยบอกว่าพวกเราควรส่งทั้งสองคนออกไปเปิดหูเปิดตาและเพิ่มประสบการณ์บ้าง นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก”
“ก็จริง”
เซียวฉีเทียนไม่ได้ซักถามอะไรต่อเมื่อเห็นว่าพวกเขาเลือกเด็กๆ ได้แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะเตรียมคนให้มาขนสินค้าไป แล้วพวกข้าจะมารับเด็กๆ ตอนที่พวกเจ้ากำหนดวันได้แล้ว” เซียวฉีเทียนกล่าวแล้วตบฝ่ามือเข้าหากัน
เรื่องเช่นนี้ควรจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่ยอมเปิดร้านช้ากว่านี้แน่
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “ก็ได้ ให้ข้ากับเทียนช่างเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ของเขาเองก็แล้วกัน”
“ตกลงตามนั้น”
หลังพูดคุยกันจนจบ เซียวฉีเทียนจึงยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง “เสวี่ยเอ๋อร์กับข้าจะไปพักเสียหน่อย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วส่งคนมาเรียกก็แล้วกัน”
“ไปเถอะ”
หลังจากทั้งสองเดินจากไป หนิงเมิ่งเหยาจึงมองเฉียวเทียนช่าง สายตาอันรบเร้าของนางทำให้อีกคนรู้สึกพูดไม่ออก “ไปกันเถอะ”
หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างมีความสุข นางหอมแก้มเฉียวเทียนช่างก่อนเดินกลับไปพร้อมกับเขาด้วยความพอใจ
เฉียวเทียนช่างส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาเดินตามนางไปยังบ้านของหยางจู้เพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับหยางจู้และภรรยาของเขา
“เมิ่งเหยา พวกข้าจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อแม่เขาก่อน พวกข้าจะให้คำตอบเจ้าทีหลัง ตกลงหรือไม่” แม้พวกเขาจะเห็นด้วย แต่อย่างไรพวกเขาก็ยังต้องหารือเรื่องนี้กับหยางอี้และภรรยาของเขาเสียก่อน
“ตกลง”
ส่วนครอบครัวของเด็กคนอื่นๆ นั้น นอกจากตระกูลของหลินเอ๋อร์ที่ตอบตกลงแล้ว พวกผู้อาวุโสจากตระกูลอื่นๆ ล้วนแต่บอกว่าพวกเขาจะให้คำตอบได้ก็ต่อเมื่อปรึกษากับพ่อแม่ของเด็กเสียก่อน
แต่ถึงกระนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ยังคงอารมณ์ดี
“เจ้าไม่กังวลหรือว่าพวกเขาจะไม่ตอบตกลง” เฉียวเทียนช่างอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยา
หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้า “ไม่เลย พวกเขาจะต้องตอบตกลงแน่”
เฉียวเทียนช่างเผลอยิ้มออกมา ตระกูลเหล่านั้นคงจะตอบตกลงจริงๆ แม้ว่านั่นจะเป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของเหยาเหยาก็ตาม
ทั้งสองเดินทอดน่องและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อเดินมาถึงบ้านเดิมของหยางซิ่วเอ๋อร์ นางหลัวก็หยุดพวกเขาเอาไว้ นางจ้องเขม็งมายังเขาทั้งสอง “หนิงเมิ่งเหยา เจ้าฆ่าลูกข้า เจ้าไม่เสียใจกับเรื่องนั้นเลยหรือ”
คนในหมู่บ้านทำงานอยู่ที่โรงงานของหนิงเมิ่งเหยา เว้นแต่คนจากตระกูลของนางกับตระกูลของหยางฮว๋าย แต่เพราะหยางชู่จากตระกูลของหยางฮว๋ายนั้นเปิดกิจการทำการค้า ดังนั้นฐานะของทางตระกูลนั้นจึงดีขึ้นเรื่อยๆ
มีเพียงตระกูลของนางเท่านั้นที่มีรายได้น้อยกว่าหนึ่งร้อยอีแปะต่อวัน หนำซ้ำผู้ชายในตระกูลยังมีความคิดไม่เอาอ่าว เขาไม่เอาเงินที่ได้กลับมาบ้าน แม้แต่อาหารกว่าครึ่งในบ้านยังถูกเอาไปด้วย
[1] ขนแกะเกิดมาจากตัวแกะ (羊毛出在羊身上) หมายถึง ได้ทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่งแล้วตอบแทนหรือคืนประโยชน์แก่ผู้นั้นด้วยอีกวิธีหนึ่ง โดยที่ตนเองไม่เสียอะไร ตรงกับสำนวนไทยว่า อัฐยายซื้อขนมยาย