ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 47 ซื้อไปทั้งหมดเสีย + บทที่ 48 นางเฉินอาละวาด
บทที่ 47 ซื้อไปทั้งหมดเสีย
“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะออกไปจัดการเรื่องที่ดินแล้วก็ช่วยเจ้าจัดการเรื่องเอกสารให้ผ่านฉลุย รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่” หยางจู้กล่าวพลางสาวเท้าออกไป
หลังจากหลุดหัวเราะออกมาเพราะท่าทางอันกระตือรือร้นของหยางจู้ หนิงเมิ่งเหยาก็ทำอะไรไม่ถูก ”ลุงหยาง ข้ายังไม่ได้จ่ายเงินให้ท่านเลย แท่านจะออกไปทั้งอย่างนี้หรือ?”
หยางจู้ชะงักกึกและเพิ่งระลึกได้ว่าตนเองกำลังจะทำอะไร เขาหัวเราะออกมาด้วยความเขินอาย
หนิงเมิ่งเหยาเอาเงินจำนวนสามร้อยห้าสิบตำลึงเงินออกมาและมอบมันให้กับหยางจู้ “ลุงหยาง ข้าทราบดีว่าการจะเข้าเมืองเพื่อจัดการเรื่องเอกสารนั้นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ถ้าหากเสร็จเรื่องแล้ว แต่ยังมีเงินเหลืออยู่ ขอให้ท่านเก็บไว้เป็นค่าแรงเถิด”
“ไม่ได้หรอก ข้าจะรับไว้ได้อย่างไรกัน?” หยางจู้ปฏิเสธทันควัน
“ลุงหยาง ถ้าหากท่านยังดึงดันไม่เข้าท่า คราวหน้าข้าคงไม่กล้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านอีก” ที่หมู่บ้านนั้นมีกฏอยู่ว่า หากจะซื้อที่ดิน จะต้องได้ผลกำไรเช่นนี้
หยางจู้มองหนิงเมิ่งเหยาอย่างอับจนหนทาง “ก็ได้ ข้าจะทำตามเจ้าว่า” จากนั้นเขาก็ออกจากบ้านไปเพื่อเตรียมตัวจัดการเรื่องนี้ให้กับหนิงเมิ่งเหยา
แม้ว่าครั้งนี้เขาจะมีปัญหาหนักใจเรื่องที่ดินอยู่ แต่หยางจู้ก็สามารถจัดการได้โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาคิดพลางเขียนสัญญาที่ดินภายใต้ชื่อของหนิงเมิ่งเหยา
กว่าชาวบ้านจะรู้ข่าวนี้ ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแล้ว
เขาไม่มีอะไรจะพูดมากนัก เพียงแต่รู้สึกว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นต้องร่ำรวยเป็นอย่างมาก และบัดนี้นางได้กลายเป็นเจ้าของที่ดินตัวเล็กๆ จากการซื้อที่ดินทั้งผืนไปในครั้งเดียว
มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ต้องการซื้อที่ดินเท่านั้นที่รู้สึกไม่ชอบใจในสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับที่ดินพวกนี้เลยสักนิด และกว่าจะรู้ตัวที่ดินเหล่านั้นก็โดนขายให้คนอื่นไปเสียแล้ว เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้เช่นไร?
ดังนั้นกลุ่มคนที่ต้องการจะซื้อที่ดินจึงปรึกษาหารือกันและตัดสินใจมาที่บ้านของหยางจู้ หนึ่งในนั้นก็มีนางเฉินรวมอยู่ด้วย
ถึงแม้ว่าตระกูลของนางจะร่ำรวยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีที่ดินในครอบครองมากนัก นางเองก็ต้องการซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อปล่อยเช่าและเอากำไรเช่นกัน
แต่ตอนนี้ นางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว
ฝูงชนเดินทางมาถึงบ้านของหยางจู้ และนางเฉินก็พูดขึ้นมาเป็นคนแรกว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน ถึงพวกข้าจะทราบกันดีกว่าท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับนางผู้นั้น แต่ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้ ท่านขายที่ดินทั้งหมดไปโดยไม่ได้ให้สุ้มให้เสียง ท่านมาถามความคิดเห็นของพวกข้าเมื่อใดกัน?”
คำพูดของนางเฉินฟังไม่เข้าหูนัก ยิ่งโดยเฉพาะกับหนิงเมิ่งเหยาซึ่งมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวด้วยแล้ว
วินาทีที่นางอยากจะโต้กลับไป หยางจู้ก็กล่าวขัดขึ้นมาก่อน “ฟังความคิดเห็น? ใครกันแน่ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน?” เจ้าหรือข้า? พวกเจ้าทุกคนบอกว่าอยากซื้อที่ดิน ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่มาซื้อที่ดินทั้งหมดเจ็ดสิบห้าหมู่นี้ไปบ้างเล่า?”
ใบหน้าของนางเฉินบิดเบี้ยวด้วยแรงอารมณ์ “ท่านจะพูดเช่นนี้ไม่ได้ แม้ว่าพวกข้าจะไม่ได้ซื้อที่ดินที่มีทั้งหมดนั้น พวกข้าก็ยังจะซื้ออยู่สองสามหมู่ แต่ท่านกลับขายที่ดินทั้งหมดให้นางเช่นนั้น แล้วยังจะหวังให้พวกข้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้เช่นไรเล่า?” คำพูดของนางเฉินนั้นชัดเจนว่าคือคำขู่
หยางจู้ปรายตามองนางเฉินและกล่าวนิ่ง ๆ “ที่ข้าขายที่ดินให้แม่หนูเมิ่งเหยาได้นั้น เป็นเพราะความบังเอิญ ตอนที่นางมาถามเพื่อขอซื้อที่ดินนั้น มีที่ดินว่างสำหรับขายอยู่พอดี ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีพวกเจ้าคนใดมาบอกข้าเอาไว้ก่อนเสียด้วยซ้ำว่าอยากจะซื้อ เจ้าจะให้ข้าเดินเข้าไปถามทุกบ้านหรือเช่นไรว่ามีผู้ใดสนใจจะซื้อที่ดินหรือไม่? ผู้ใดกันแน่ที่สมควรจะเป็นคนผิด?”
การซื้อขายที่ดินภายในหมู่บ้านเป็นเช่นนี้ เมื่อผู้ใดต้องการที่จะซื้อที่ดินนั้นจะต้องไปบอกเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หากมีที่ดินว่างเมื่อใด หัวหน้าหมู่บ้านจะเดินทางไปแจ้งกับผู้ซื้ออีกครั้ง
ทว่าทั้งที่พวกเขาบอกว่าต้องการซื้อที่ดิน แต่ไม่มีผู้ใดมาแจ้งกับเขาเอาไว้เลยสักคน ไม่เคยบอกว่าจะซื้อ พอมาถึงตอนนี้กลับแห่กันมาสอบถามเสียอย่างนั้น เจ้าพวกนี้มันหาเรื่องกันเกินไปหรือไม่?
ฝูงชนนิ่งฟังและมองหน้ากันไปมา มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พวกเขาไม่ได้แจ้งกับทางหัวหน้าหมู่บ้านเอาไว้ก่อน จะว่าไปมันไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือที่มีใครบางคนกว้านซื้อที่ดินในหมู่บ้านไปจนหมด? อีกอย่างพวกเขาก็ไม่สามารถทำให้หัวหน้าผู้บ้านต้องมาไล่เคาะประตูบ้านแต่ละหลังเพื่อถามเรื่องการซื้อที่ดินได้ด้วย
โดยปกติหากเป็นเช่นนี้ ที่ดินที่ขายออกจะมีเพียงแค่ตรงที่เป็นดินคุณภาพดีเท่านั้น และจะเหลือเพียงแต่ที่ดินตรงภูเขาและพื้นที่แห้งแล้งซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้ ทว่าผู้ซื้อในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางกว้านซื้อที่ดินทั้งหมดไปโดยไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นพื้นดินคุณภาพดีหรือแย่ แล้วพวกเขายังจะไปพูดอะไรได้อีกเล่า?
ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงแค่นางเฉินผู้เดียวซึ่งยังคงหัวเสียและโวยวายขึ้นมา “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านดูถูกพวกข้าหรือ?”
หยางจู้อยากจะตอกกลับ แต่หนิงเมิ่งเหยาเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว นางยืนขึ้นพลางจ้องเขม็งไปยังนางเฉินพลางกล่าว “ที่ดินจำนวนเจ็ดสิบห้าหมู่ ทั้งหมดราคาสามร้อยห้าสิบตำลึงเงิน หากท่านต้องการจะซื้อต่อ ขอให้นำเงินมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าหากท่านไม่ได้อยากจะซื้อที่ดินทั้งหมด ก็ไม่ต้องมาโวยวาย”
“เจ้า…..” นางเฉินจ้องกลับไปที่หนิงเมิ่งเหยา นางเพียงต้องการจะซื้อที่ดินเพียงแค่ไม่กี่หมู่เท่านั้น และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะซื้อที่ดินตรงที่เป็นพื้นที่แห้งแล้งหรือที่ดินส่วนที่ไม่สามารถปลูกพืชหรือทำการเกษตรใดๆ ได้
“ข้าทำไมหรือ? หากท่านอยากจะซื้อที่ดิน ก็ซื้อไปทั้งหมดเสีย แต่ถ้าหากไม่ได้ต้องการจะซื้อก็อย่ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่เลย ทั้งที่ท่านเป็นถึงมารดาของซิ่วไฉ แต่กลับไม่เคยพลาดโอกาสที่จะทำเรื่องขายหน้าเลย หนิงเมิ่งเหยาแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชาและหงุดหงิด
ฝูงชนถอนตัวกลับโดยไม่พูดอะไร คำพูดของหนิงเมิ่งเหยานั้นชัดเจนยิ่งนัก นั่นคือถ้าใครมีปัญญาซื้อก็ขอให้ซื้อมันไปให้หมด แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่วยหลีกไปและอยู่นิ่งๆ เสีย
บทที่ 48 นางเฉินอาละวาด
นางเฉินจ้องเขม็งไปที่หนิงเมิ่งเหยา ใบหน้าของนางนั้นช่างอัปลักษณ์เสียจนไม่น่ามอง ตั้งแต่บุตรชายของนางได้เป็นซิ่วไฉ ก็ไม่เคยมีผู้ใดที่ทำให้นางโกรธจนดูน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้ได้
นางจ้องหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว ราวกับอยากจะจับหนิงเมิ่งเหยากินและเคี้ยวไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูก
“หญิงแพศยา! ไม่มีผู้ใดรู้ด้วยซ้ำว่าเงินที่เจ้าได้มามันถูกกฏหมายหรือไม่ เจ้ายังจะมีหน้ามาภูมิใจอะไรอีกหรือ?”
หนิงเมิ่งเหยาตวัดสายตาไปมองนางเฉิน และไม่ได้โกรธน้อยลงแม้แต่น้อย “แม้จะเป็นเงินผิดกฏหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ท่านไม่มี”
ผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ด้วยเพราะเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยามิใช่ผู้ที่จะใช้วิธีการสกปรกในการหาเงิน ลักษณะนิสัยของนางนั้นดูเป็นคนเย็นชาเกินไป ดังนั้นถึงแม้ว่าการต่อบทสนทนากับนางนั้นจะทำได้ง่าย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าที่จะคุยกับนางมากนักราวกับกลัวว่าจะเป็นการรบกวนนาง
“เจ้าหัวเราะอะไร? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะสั่งให้บุตรชายข้าจับเจ้าขังไว้ในคุกเสีย?”
เมื่อฝูงชนได้ยินดังนั้น พวกเขาก็เริ่มไม่พอใจ
แต่หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะออกมาแทน เสียงหัวเราะของนางเต็มไปด้วยความขบขัน “ช่างเป็นการขู่ที่รุนแรงนัก คนที่ไม่สนใจคงคิดว่าบุตรชายของท่านนั้นเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โต จึงสามารถลากคนไปเข้าคุกได้ ข้าละอยากจะถามนักว่าคนเหล่านี้ได้กระทำความผิดร้ายแรงกระทงใดไปหรือ?”
“ใช่แล้ว นางเฉิน ท่านคิดว่าการมีบุตรชายเป็นซิ่วไฉนั้นทำให้ท่านวิเศษวิโสนักหรือ? พวกเราต่างอยู่ของเรากันดีๆ แต่ท่านกลับอยากจะลากพวกเราไปขังคุก? ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ใดกัน?”
“นางเฉิน อย่าประเมินตนเองสูงไปนัก”
ถัดจากหนิงเมิ่งเหยา ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของตนออกมา
หนิงเมิ่งเหยารู้ว่าจากวันนั้นเป็นต้นไป นางเฉินคงได้กลายเป็นหนูสกปรกสำหรับชาวบ้านเป็นแน่
นางเฉินขึงตามองหนิงเมิ่งเหยาแต่ไม่ได้พูดอะไร นางบอกว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นปัญหาของนางเอง แล้วเหตุใดนางจึงไปโวยวายกับผู้อื่นกันเล่า?
หยางจู้เห็นว่าชาวบ้านวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองลูกบ้านของตน “เอาล่ะ เอาล่ะ เหตุใดจำเป็นต้องทะเลาะกันเล่า? อะไรกันนักหนา นางเฉิน บุตรชายของท่านยังมิได้เป็นขุนนาง แต่ท่านกลับทำตัวเช่นนี้ หากวันใดที่บุตรชายของท่านได้เป็นขุนนางขึ้นมา แล้วท่านจะเป็นอย่างไร เมื่อวันนั้นมาถึง ทั้งหมู่บ้านจะมิกลายไปเป็นของตระกูลท่านเลยหรอกหรือ?”
หยางฮว๋ายนั้นเป็นเด็กจิตใจดี หากแต่มารดาของเขานั้นเชื่อถือไม่ได้
นางเฉินมาวันนี้ด้วยปัญหาเรื่องที่ดิน แต่นางไม่คิดเลยว่านางจะต้องมาโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมาเช่นนี้
เมื่อมองทางนั้นทีทางนี้ที สุดท้ายนางก็กลับออกไปด้วยความโมโห
หลังจากที่นางกลับไป หนิงเมิ่งเหยามองไปยังชาวบ้านและยิ้มออกมา “ที่ดินตรงที่เป็นดินคุณภาพดีและดินคุณภาพปานกลางนั้น ข้าจะปล่อยเช่าแน่นอน พวกท่านลองตัดสินใจดูว่าอยากจะเช่าเพื่อการเพาะปลูกหรือไม่ แต่ว่ามันมีไม่มากเท่าไหร่นัก ลองเอาเรื่องนี้ไปบอกต่อให้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านรู้ด้วยก็ดี” ยังไงเสียจำนวนของที่ดินประเภทนี้นั้นไม่ได้มีน้อยๆ อยู่แล้ว
ฝูงชนเงียบเสียงลงครู่หนึ่งและพยักหน้า ก่อนกลับไปทีละคน
หนิงเมิ่งเหยาคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตรงที่เป็นดินแห้งแล้งกับส่วนที่เป็นภูเขานั้นคงจะเป็นส่วนที่นางไว้ใช้ทำการเกษตรเอง ส่วนที่ดินส่วนอื่นๆ นั้นค่อยว่ากันทีหลัง
“ลุงหยาง ข้าต้องขออภัยที่สร้างปัญหาให้กับท่านด้วย” หนิงเมิ่งเหยามองหยางจู้ด้วยความลำบากใจ
“เจ้าขอโทษเรื่องใดกัน? นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” หยางจู้กล่าวอย่างมีความสุขและนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขามองดูหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้ากังวลใจ “แม่หนู เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ด้วยนะ ผู้หญิงอย่างนางเฉินนั้น.. เฮ้อ…”
“ข้าทราบแล้ว ขอลุงหยางอย่าเป็นห่วงเลย ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อน”
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถอะ”
หลังออกจากบ้านของหยางจู้ หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่กลับไปตรวจสอบที่ดินเพื่อเตรียมการบางอย่าง
พูดถึงเรื่องที่ดินส่วนที่เป็นภูเขาและที่แห้งแล้งนั้น หนิงเมิ่งเหยารู้สึกว่าตรงนี้น่าจะนำไปใช้ในการเลี้ยงไก่และแพะได้ แต่การจัดการเรื่องนี้นั้นช่างยุ่งยากนัก นางอาจจะต้องจ้างใครสักคนมาทำงานนี้
ครุ่นคิดในขณะที่เดินไปด้วย นางค่อยๆ เดินห่างออกมาทีละก้าว ทันในนั้นหนิงเมิ่งเหยาก็หยุดฝีเท้าลง นางหรี่ตาลงและหันกลับไป
ไม่ผิดแน่ นี่เป็นความรู้สึกราวกับกำลังถูกมองอยู่อย่างแน่นอน และเป็นดังคาด มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังของนางไปราวๆ สามจั้ง สีหน้าของเขาน่าสะอิดสะเอียนและเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ใคร ๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี
เมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาสังเกตเห็นเขา ชายผู้นั้นก็เปลี่ยนจากเดินตามมาเป็นวิ่งเข้าหาพร้อมกับมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างชั่วร้ายแทน “แม่สาวน้อย เจ้าจะไปไหนหรือ? ให้พี่ชายไปส่งเจ้าดีหรือไม่?”
พี่ชาย? คนแบบนี้น่ะหรือจะมีความอยากเป็นพี่ชายกับชาวบ้านเขาด้วย? ช่างเป็นการทำให้คำว่า ‘พี่ชาย’ แปดเปื้อนยิ่งนัก