ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 529 คนที่ไว้ใจได้ + บทที่ 530 ไม่อาจตัดขาดได้ตลอดชีวิต
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 529 คนที่ไว้ใจได้ + บทที่ 530 ไม่อาจตัดขาดได้ตลอดชีวิต
บทที่ 529 คนที่ไว้ใจได้
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วมองหนานกงหมิง “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นหนานกงหมิงจึงมองประเมินองค์หญิงของพวกเขา เขาได้ยินมาว่าองค์หญิงนั้นเป็นเจ้าของทงเป่าไจ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็รู้สึกว่านางเป็นเพียงหญิงธรรมดาเท่านั้น มีเพียงรูปโฉมและนิสัยใจคอเท่านั้นที่โดดเด่น
“ช่วงนี้ที่วังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเมิ่งเหยาแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเป็นคำถามและความสงสัยในดวงตาของหนานกงหมิง นางควงแขนเฉียวเทียนช่างแล้วเดินเข้าไปข้างในพลางถาม
หนานกงหมิงครุ่นคิดแล้วจึงเล่าเรื่องในวังหลวงให้หนิงเมิ่งเหยาฟัง
กลายเป็นว่าหลิงฮ่องเต้นั้นเลิกโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการไปเมื่อห้าวันที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าเป็นเพราะแรงกดดันจากกองทัพของเมืองเซียว แต่ก็มีแรงกดดันจากทงเป่าไจรวมอยู่ด้วยเช่นกัน กว่าครึ่งของเศรษฐกิจภายในเมืองหลิงนั้นอยู่ในสภาวะลำบาก ส่งผลให้ชาวเมืองต่างรู้สึกเป็นทุกข์ แต่ยังไม่ถึงขั้นสิ้นหวัง
ในทางตรงกันข้าม ทรัพย์สินของเสนาบดีหลายคนกลับได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง มีเหตุร้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้งกับพ่อค้าหลวง
เมื่อตกอยู่ภายใต้ปัญหาความกดดันจากทั้งภายในและภายนอก แน่นอนว่าหลิงฮ่องเต้จึงไม่มีแรงเหลือที่จะเล่นงานพวกเขาได้อีก
“เช่นนั้นก็ดี” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า นางนึกถึงชายผู้หนึ่งที่เซียวฉีเทียนเคยกล่าวถึงขึ้นมาในหัว
ชายผู้นั้นเป็นพ่อค้าหลวงแห่งเมืองหลิง หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงเขาขณะหันไปหาหนานกงหมิง “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับพ่อค้าหลวงที่เมืองหลิงไหม”
“ชายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นเมื่อสิบสามปีที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ในตอนแรกเขาคุมเศรษฐกิจภายในเมืองหลิงไม่ถึงครึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ” หนานกงหมิงบอกทุกอย่างที่ตนรู้ให้กับหนิงเมิ่งเหยา
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า ดูเหมือนว่าเขาคงจะถูกทงเป่าไจกดดัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะทนไม่ไหวจนต้องแย่งร้านใหม่ของพวกนางไป
แต่การกระทำของเขานั้นก็เข้าใจได้ ร้านนั้นนับว่าเป็นโอกาสทองที่จะหาเงินในเวลานี้เลยทีเดียว หนิงเมิ่งเหยาคงแปลกใจหากพวกเขาไม่สนใจมัน
หนิงเมิ่งเหยาเคาะโต๊ะด้วยมือข้างหนึ่ง ในเวลาเดียวกันริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าขั้นต่อไปเราควรทำเช่นไร”
“ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าอยากทำเช่นไร”
หนิงเมิ่งเหยามองหนานกงหมิง “จะเกิดอะไรขึ้นหากเราบุกเมืองหลิง”
“นายท่านออกคำสั่งไว้ก่อนนี้ว่าหากหลิงฮ่องเต้ตัดสินใจจัดการจวนผู้สำเร็จราชการตอนที่เขาไม่อยู่ ให้องค์หญิงทำตามที่เห็นสมควรได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงหมิงอดสงสัยไม่ได้ว่าหนานกงเยี่ยนออกคำสั่งเช่นนั้นไว้เพราะเขารู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าวันนี้จะมาถึง
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้า “เข้าใจล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เทียนช่าง เจ้าคิดว่าหนานกงหมิงเป็นคนที่ไว้ใจได้หรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาค่อนข้างอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางเป็นห่วงยิ่งนักว่าคนผู้นี้จะไม่ใช่คนที่สามารถเชื่อใจได้
เฉียวเทียนช่างดึงนางเข้าไปกอดแล้วกระซิบว่า “เราเชื่อใจหนานกงหมิงได้ ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เชื่อใจได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็คงไม่รู้อะไรมากมายขนาดนี้”
หนานกงหมิงบอกพวกเขาหลายเรื่อง และเรื่องพวกนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนผู้สำเร็จราชการ หากเป็นคนอื่น จะต้องมีปัญหาแน่
หนิงเมิ่งเหยาไตร่ตรอง และจึงเห็นด้วยกับเฉียวเทียนช่าง “หากเป็นเช่นนั้น จากนี้เราจะทำตามแผนการที่วางเอาไว้”
“ตกลง”
เมื่อหารือกันจนเสร็จ ทั้งสองจึงเดินทางออกจากจวนผู้สำเร็จราชการในเวลาต่อมา
คืนนั้น หนิงเมิ่งเหยาใช้ช่องทางพิเศษเรียกหนานกงเยว่มาที่โรงเตี๊ยม
“นายหญิง” หนานกงเยว่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น บนใบหน้าไม่มีทั้งความรู้สึกเศร้าหรือยินดี ราวกับว่าเขาเป็นเพียงซากศพเดินได้ศพหนึ่งเท่านั้น
หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยทักทายเสียงเบา จากนั้นจึงหรี่ตามองหนานกงเยว่ “ตอนนี้หลิงฮ่องเต้พยายามจะทำอะไร”
“เขาแอบส่งคนไปยังเมืองเซียวขอรับ เขาพยายามจะลักพาตัวท่านกับบุตรชายเพื่อนำมาใช้ขู่จวนผู้สำเร็จราชการขอรับ” ขณะหนานกงเยว่ตอบเช่นนั้น ใบหน้าของเฉียวเทียนช่างพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
หนิงเมิ่งเหยาสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในชั่ววินาทีนั้นได้ นางยื่นมือไปปลอบโยนเขา “ไม่เป็นไร ไม่มีใครทำร้ายข้ากับเจ้าลิงน้อยได้แน่ อย่าโกรธไปเลย”
“ชายผู้นั้นสมควรตาย” เฉียวเทียนช่างเอ่ยเสียงเย็น
“ข้ารู้ จะว่าไปฮ่องเต้ผู้นั้นภาคภูมิใจในตำแหน่งของตัวเองมากใช่หรือไม่ เช่นนั้นเรามาทำให้เขาร่วงลงจากตำแหน่งกันดีกว่า” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกไม่พอใจหลิงฮ่องเต้ยิ่งนัก เขากล้าคิดที่จะจับตัวเจ้าลิงน้อยของนางหรือ เขาประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปเสียแล้ว
หนานกงเยว่มองเฉียวเทียนช่างกับภรรยาของเขาด้วยสีหน้าสับสน ลึกๆ ภายในดวงตาของเขามีทั้งความไม่เต็มใจและความเจ็บปวดฉายชัดอยู่ แต่เขาไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคิดอยู่ออกมา
เมื่อใดที่เขามีความคิดเช่นนั้น กู่พิษก็จะเริ่มแทรกแซงเขา อย่างไรเสียคนที่ควบคุมกู่พิษนี้ก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่าง ความรู้สึกนี้ที่เขาต้องเจอคงไม่มีทางสิ้นสุดลงอย่างแน่นอน
บทที่ 530 ไม่อาจตัดขาดได้ตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ หนานกงเยว่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเต็มใจช่วยหนิงเมิ่งเหยา
เขาหวังว่าสักวันตนจะได้เป็นอิสระ
“หลิงฮ่องเต้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเหมียวเจียง” หนิงเมิ่งเหยาถามโดยไม่ต้องคิด
หนานกงเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “ความร่วมมือระหว่างฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงกับหลิงฮ่องเต้นั้นมีมานานมากกว่าสิบปีแล้วขอรับ ด้วยเหตุนั้นภายในเมืองหลิงจึงมีประชาชนจากเหมียวเจียงอยู่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงเมิ่งเหยาก็เข้าใจ “พวกเขาคิดจะทำอะไร”
“รวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งขอรับ”
นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทุกพระองค์ต้องการจะทำ แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จ
หลิงฮ่องเต้ช่างเป็นคนน่าหัวเราะยิ่งนัก เขาคิดว่าเหมียวเจียงจะให้ความร่วมมือกับตนจริงๆ หรือ ตราบใดที่แต่ละเมืองยังตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองหลิงอยู่ จุดจบของเมืองหลิงก็คงอยู่ไม่ไกล
ความทะเยอทะยานของฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่หลิงฮ่องเต้จินตนาการเอาไว้เสียอีก เขาจะพอใจกับการตีเมืองจำนวนเล็กน้อยเช่นนั้นได้อย่างไร
“ดูท่าว่าเมืองหลิงจะเป็นเพียงก้าวแรกสำหรับเหมียวเจียง จุดประสงค์หลักของพวกเขายังคงเป็นการมีชัยเหนือทุกแผ่นดินอยู่เช่นเดิม” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมถอนหายใจ
“เป็นจริงดังนั้น แต่กลับมีคนจำนวนไม่มากที่มองปัญหานี้ออก” เฉียวเทียนช่างพยักหน้า หลิงฮ่องเต้กำลังถูกจูงจมูกให้คิดว่าตนนั้นเป็นคนที่โชคดีเพียงใด
หนิงเมิ่งเหยาตริตรองเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนมองไปที่หนานกงเยว่ “เจ้ากลับไปก่อน”
“ขอรับ”
“เหยาเหยา เจ้าต้องการให้หนานกงเยว่ทำอะไรหรือ” หลังจากหนานกงเยว่ออกไป เฉียวเทียนช่างจึงมองหนิงเมิ่งเหยาแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
หนิงเมิ่งเหยากะพริบตาแล้วหันหน้าไปหาเฉียวเทียนช่าง นางถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้วใส่หนิงเมิ่งเหยา เขามองนางด้วยสายตาหยอกล้อ
หนิงเมิ่งเหยากลอกตาใส่เฉียวเทียนช่าง แล้วจึงเอ่ยความคิดของตนออกมาว่า “หนานกงเยว่รู้จักเมืองหลิงดีกว่าพวกเรา คงดีกว่าหากให้เขาจัดการเรื่องพวกนี้ให้ ในขณะที่เขาช่วยเราจัดการกับหลิงฮ่องเต้ พวกเราก็จะไปสังหารพ่อค้าหลวงแห่งเหมียวเจียงเสีย” ไม่ว่าใครกล่าวหาว่านางเป็นคนโหดเหี้ยมไม่ได้ พวกมันต่างหากที่สมควรเป็นคนที่ถูกกล่าวหาเช่นนั้น พวกมันเอาแต่ตามล่าตระกูลของนางไม่หยุดหย่อนเสียที
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปบิดแก้มของหนิงเมิ่งเหยา “ก็ได้ เราจะทำตามนั้น”
“เจ้าต้องช่วยข้าด้วย” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างด้วยความไม่พอใจ
“ตราบใดที่เจ้ามีความสุข ข้าก็จะทำ”
หากสิ่งที่สามีภรรยาคู่นี้กำลังคุยกันอยู่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถึงเพียงนี้ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าพวกเขากำลังแสดงความรักต่อกันอยู่แน่
“ไปหาพ่อค้าหลวงผู้นั้นกัน” หนิงเมิ่งเหยายิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วลากตัวเฉียวเทียนช่างออกไป
หนานอวี่เดินตามพวกเขา เขาใช้ราชากู่นำทางให้กับสองสามีภรรยา
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง นับว่าเป็นร้านอาหารชั้นดีเลยทีเดียว หนิงเมิ่งเหยาหันไปถามหนานอวี่ว่า “แน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่”
หนานอวี่พยักหน้า “เป็นที่นี่ขอรับ” การเคลื่อนไหวของราชากู่นั้นมีความรุนแรงที่สุดเมื่อมาถึงที่นี่ ไม่เพียงแค่นั้น การเคลื่อนไหวของมันยังดูตื่นเต้นเอาการ ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในนี้
หนิงเมิ่งเหยามองป้ายร้าน จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มซุกซน
“ไปกันเถอะ ไปดูกันเสียหน่อยว่าที่นี่มีอะไรดี” ภายในร้านมีผู้คนมากมาย คนพวกนั้นดูค่อนข้างแปลก
ทั้งสามเดินขึ้นบันไดไปยังห้องอาหารส่วนตัว เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “รับอะไรดีขอรับ”
“เอาอาหารแนะนำของพวกเจ้ามา” เฉียวเทียนช่างสั่งอย่างเย็นชา
ดวงตาของเสี่ยวเอ้อร์เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด ได้พบกับชายผู้ร่ำรวยเข้าแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์รีบออกไป หลังจากนั้นไม่นาน อาหารก็ถูกนำมาวาง
หนานอวี่มองจานอาหารหลายจานบนโต๊ะ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา “นายท่านขอรับ อาหารพวกนี้กินไม่ได้ขอรับ”
“เอ๋ มีอะไรผิดปกติหรือ” พอเฉียวเทียนช่างกำลังจะอ้าปากพูด หนิงเมิ่งเหยาก็ถามขึ้นมาก่อนด้วยความประหลาดใจ
หนานอวี่มีสีหน้าจริงจังขณะจ้องมองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นเขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงอันเคร่งเครียดว่า “มีเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งอยู่ในอาหารพวกนี้ขอรับ แม้มันจะช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร แต่หากกินเข้าไปมากๆ แล้วจะทำให้ติดได้ขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยาตกตะลึง เหมือนกับฝิ่นน่ะหรือ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ที่เหมียวเจียงมีเครื่องปรุงเช่นนี้อยู่มากมายขอรับ สำหรับคนที่เกิดในเหมียวเจียง เครื่องปรุงชนิดนี้นับว่าเป็นประโยชน์มาก แต่กับผู้อื่นนั้นนับว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตขอรับ” ยิ่งกินเข้าไปมากเท่าใด คนที่กินก็จะยิ่งติดมากขึ้นเรื่อยๆ และหากคนผู้นั้หยุดกินมันไปสักระยะหนึ่ง เขาจะเริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงจนมีสภาพราวกับคนป่วย
และเมื่อเป็นเช่นนั้น หากคนผู้นั้นตัดสินใจที่จะเลิกกินมัน เขาอาจจะยังพอมีโอกาสที่จะรักษาตัวเองให้หายขาดได้ ทว่าหากเลือกที่จะกินอาหารเช่นนั้นต่อไปแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นจะไม่สามารถตัดขาดจากมันได้ตลอดชีวิต