ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 55 ปล่อยเช่าที่ดิน + บทที่ 56 หยางซิ่วเอ๋อร์ขอความเมตตา
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 55 ปล่อยเช่าที่ดิน + บทที่ 56 หยางซิ่วเอ๋อร์ขอความเมตตา
บทที่ 55 ปล่อยเช่าที่ดิน
เมื่อไม่มีใครมาหานางเพื่อสร้างปัญหาอีก ชีวิตของหนิงเมิ่งเหยาก็กลับคืนสู่ความสงบสุข แล้วก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นเพราะเรื่องที่ดินของนาง
ในจำนวนผู้คนที่มาหานางที่บ้าน สองสามตระกูลในนั้นคือตระกูลของเด็กๆ ซึ่งเรียนหนังสือกับนางอยู่ ตระกูลของพวกเขานั้นยากจน แต่เมื่อได้ยินเรื่องที่ชาวบ้านคนอื่นๆ พูดกันว่าหนิงเมิ่งเหยาต้องการปล่อยเช่าที่ดิน พวกเขาจึงเดินทางมาพบนาง
ที่ดินคุณภาพดียี่สิบหมู่สุดท้ายถูกแบ่งกันภายในตระกูลหลายตระกูล และนอกจากภาษี พวกเขาจำเป็นต้องมอบกำไรสามสิบส่วนให้แก่หนิงเมิ่งเหยาทุกปี
ที่ดินคุณภาพปานกลางนั้นถูกเช่าโดยสองตระกูลซึ่งสถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาค่อนข้างยากลำบากอยู่สักหน่อย แม้ว่ามันจะไม่สามารถเทียบได้กับที่ดินคุณภาพดี แต่ว่าก็ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้ หลังจากจ่ายภาษีเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาต้องมอบกำไรยี่สิบส่วนจากกำไรทั้งหมดของพวกเขาให้นางด้วย ชาวบ้านที่มาเช่าที่ดินของนางล้วนพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ผลผลิตระหว่างที่ดินคุณภาพดีและที่ดินคุณภาพปานกลางนั้นต่างกัน
ตอนแรกหนิงเมิ่งเหยาไม่ได้วางแผนที่จะปล่อยเช่าที่ดินคุณภาพต่ำจำนวนห้าหมู่สุดท้ายให้ผู้ใด แต่ตระกูลจากนอกเมืองบอกว่าพวกเขาไม่มีที่ดิน ดังนั้นแม้จะเป็นที่ดินคุณภาพต่ำก็ไม่เป็นไร ที่ดินเหล่านั้นมันสามารถหากำไรเพิ่มได้
เมื่อไม่มีหนทางอื่น หนิงเมิ่งเหยาจึงปล่อยที่ดินห้าหมู่นั้นให้เช่า
ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงด้วยดี หลังจากได้รับเงิน ที่ดินก็ถูกเช่าไป แต่เพราะว่าชาวบ้านนั้นไม่เข้าใจเรื่องของภาษี หยางจู้ก็เลยเข้ามาช่วยในทุกขั้นตอน แถมยังช่วยหนิงเมิ่งเหยาในการจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นด้วยอีกแรง
หลังจากเสร็จงานและคนอื่นๆ กลับออกไป หนิงเมิ่งเหยาก็มองหยางจู้ “ลุงหยาง วันนี้รบกวนท่านแล้วจริงๆ”
หยางจู้ส่ายศีรษะเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร “รบกวนอะไรกันเล่า? แต่แม่หนู เจ้าวางแผนจะทำอะไรกับที่ดินตรงตีนเขาและตรงที่เป็นพื้นที่แห้งแล้งกันหรือ?” พวกมันมีเหลืออยู่ร่วมสามสิบห้าหมู่
หนิงเมิ่งเหยาเล่าสิ่งที่นางคิดไว้ให้เขาฟัง
“ในเมื่อเจ้ามีแผนการสำหรับมันแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไร หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ขอแค่เอ่ยปากก็พอ” หยางจู้เห็นว่าหนิงเมิ่งเหยามีแผนการอยู่แล้วก็ยิ้มออกมา
“ตกลง ไว้ข้าจะบอกท่าน”
หลังจากกล่าวอะไรเพิ่มกับหนิงเมิ่งเหยาอีกเล็กน้อย หยางจู้ก็กลับไปในระหว่างที่หนิงเมิ่งเหยาหยิบเอาพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษขึ้นมาเขียน นางเขียนแผนการต่างๆ ของนางและเรื่องอื่นๆ ลงไป
หลังจากใช้เวลาทั้งบ่ายกับการเขียนสิ่งต่าง ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็ลุกขึ้นเก็บของทุกอย่าง และสุดท้ายนางก็นึกออกว่าที่ดินแห้งแล้งใกล้ๆ กับฝั่งตะวันออกนั้นคงใช้การไม่ได้ แต่มันก็อยู่ใกล้กับแม่น้ำใหญ่เอามากๆ
หากจะกล่าวถึงสาเหตุว่าทำไมจึงมีพื้นดินแห้งแล้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำนั้น คงเป็นเพราะที่ดินตรงนั้นสูงเกินไป ยิ่งกว่านั้น แม่น้ำตรงนั้นก็ลึกจนไม่สามารถทำการทดน้ำขึ้นมาได้
เมื่อคิดถึงปัญหาในเรื่องนี้ หนิงเมิ่งเหยาก็ลุกขึ้นและตรงไปยังที่แห่งนั้น นางจ้องมองสายน้ำอันเชี่ยวกรากในแม่น้ำเบื้องล่าง ก่อนสาวเท้าเข้าไปข้างหน้า จึงรู้ว่าสายน้ำยิ่งไหลเชี่ยวขึ้นอีก ในใจของนางมีแผนการเกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่าพื้นที่ตรงนี้จะเหมาะกับการเพาะพันธุ์ปลาหรอกหรือ?
หลังจากกลับมาจากแม่น้ำ หนิงเมิ่งเหยาก็ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนและรู้สึกว่าการเพาะพันธุ์ปลาตรงนั้นก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่เท่าใดนัก นางเขียนแผนการ และความคิดของตนลงไปบนแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขียนเสร็จเรียบร้อย หนิงเมิ่งเหยาก็พบว่าตนหิวมากแล้ว
เมื่อลูบท้องอันว่างเปล่าของตน หนิงเมิ่งเหยาเดินไปที่ห้องครัวและทำข้าวผัดให้ตัวเอง ก่อนหยิบผ้าปักของตนมาปักให้เสร็จ
ไม่นานนักหลังจากนางเริ่มปักผ้า แขกผู้ไม่ได้รับเชิญนามว่าหยางซิ่วเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาข้างใน
หนิงเมิ่งเหยายืนข้างหยางซิ่วเอ๋อร์และใช้สายตาทิ่มแทงจ้องมองนาง ราวกับว่าหยางซิ่วเอ๋อร์ได้กระทำการบางสิ่งอันไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดได้ลงไป บางสิ่งที่ผิดทำนองคลองธรรม และทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกสะอิดสะเอียน
“เหมือนว่าเจ้าจะลืมถ้อยคำที่ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้หยุดปักผ้าในมือลงแต่อย่างใด แต่เสียงของนางนั้นนิ่งและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
หยางซิ่วเอ๋อร์ชะงักร่างเล็กน้อย และหันศีรษะไปเพื่อมองหน้าหนิงเมิ่งเหยา บนริมฝีปากของนางมีรอยยิ้มฝืนๆ ปรากฏอยู่ “เจ้าทนข้าไม่ได้จริงๆ หรือ?”
หยางซิ่วเอ๋อร์ได้รับการปฏิบัติอันไม่เป็นมิตรเช่นนี้มาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทำเอาหัวใจของนางตกผลึกเป็นน้ำแข็งหลายต่อหลายชั้น ไม่ใช่ว่าหนิงเมิ่งเหยาก็เป็นเช่นนี้อยู่เสมอหรอกหรือ? แม้จะพยายามเรียกร้องหาการตอบสนองอื่นจากหนิงเมิ่งเหยาเพียงใด สิ่งที่นางได้รับกลับมานั้นมีแต่ตัวตนซึ่งเต็มไปด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจเท่านั้น
มือของหนิงเมิ่งเหยาหยุดการกระทำลง นางเงยหน้าขึ้นมามองหยางซิ่วเอ่อร์ซึ่งบัดนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตา นางกล่าวเยาะ “ข้าทนเจ้าไม่ได้? ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนคือสิ่งใดกัน?”
หยางซิ่วเอ๋อร์ชะงักงัน นางเคยจินตนาการสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาอาจจะกล่าวกับนาง คิดไปไกลถึงขนาดการให้อภัยนาง แต่เมื่อได้ยินหนิงเมิ่งเหยากล่าวเช่นนี้ หยางซิ่วเอ๋อร์เข้าใจแล้วว่าตนนั้นโง่เขลาและอ่อนต่อโลกเพียงใด
บทที่ 56 หยางซิ่วเอ๋อร์ขอความเมตตา
ถูกต้องแล้ว หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนางเลย ที่นางสามารถเดินเข้าออกบ้านของหนิงเมิ่งเหยาได้ตามใจนั้นเป็นเพราะนางทำหน้าด้านหน้าทนต่างหาก แล้วตอนนี้ล่ะ?
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ข้าหวังว่าเจ้าจะออกจากบ้านข้าไปได้แล้ว ข้าไม่ได้ต้อนรับเจ้า” หนิงเมิ่งเหยาพูดอย่างหมดความอดทน
หนิงเมิ่งเหยาคิดว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น หยางซิ่วเอ๋อร์คงจะไม่มาก่อปัญหาให้กับนางอีก แต่ใครจะคิดว่านางจะคิดตื้นเกินไป อีกทั้งยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนดีเสียอีก
“เมิ่งเหยา ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าทำก่อนหน้านี้นั้นเป็นสิ่งที่ผิด ข้ารู้แก่ใจแล้วว่าข้านั้นผิดไปแล้ว เจ้าช่วยให้อภัยข้าสักครั้งได้หรือไม่?” หยางซิ่วเอ๋อร์ขอร้องหนิงเมิ่งเหยา
หยางซิ่วเอ๋อร์ตระหนักว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นมีฝีมือมากกว่าที่นางคิด สองสามวันที่ผ่านมานี้ นางเอาแต่คิดว่าถ้าหากนางสามารถทำให้หนิงเมิ่งเหยาปฏิบัติต่อนางได้อย่างบริสุทธิ์จริงใจแล้วล่ะก็ เช่นนั้นความสำเร็จของนางก็คงจะถือว่าไม่น้อย และนางคงสามารถใช้ชีวิตหรูหราได้ดั่งใจ
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางมาหาหนิงเมิ่งเหยา เพื่อทำให้หนิงเมิ่งเหยาให้อภัยนางและเป็นเพื่อนกับนางต่อไป
หนิงเมิ่งเหยามองหยางซิ่วเอ๋อร์พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มเท่าใดนัก สายตาของนางนั้นมีความไม่พอใจและแววตาเยาะหยันปรากฏอยู่ “เจ้าบอกว่าเจ้าผิดไปแล้วหรือ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้ากันเล่า?”
ใช่แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางเลยมิใช่หรือ? ไม่ใช่ว่านางไม่เคยมอบโอกาสให้กับหยางซิ่วเอ๋อร์ แต่เป็นหยางซิ่วเอ๋อร์ต่างหากที่ไม่รักษามันเอาไว้ให้ดี
“เจ้าช่างโหดร้ายเหลือเกิน”
หนิงเมิ่งเหยาวางเข็มปักลงบนผ้า ก่อนยืนขึ้นเพื่อประสานสายตากับหยางซิ่วเอ๋อร์ “ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้วิธีที่จะรักษามันไว้ต่างหาก หยางซิ่วเอ๋อร์ อย่าคิดว่าตัวเจ้านั้นฉลาดมาก และคิดว่าผู้อื่นนั้นโง่เขลาเกินไป ข้าไม่ส่งล่ะ”
เป็นการบอกลาที่ชัดเจนเหลือเกิน หยางซิ่วเอ๋อร์ยังจะควรอยู่ต่ออีกหรือ? แน่นอนว่าไม่
นางกัดฟันกรอดระหว่างมองหนิงเมิ่งเหยา หยางซิ่วเอ๋อร์คำรามใส่หนิงเมิ่งเหยา “หนิงเมิ่งเหยา ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ!”
นางจะทำให้หนิงเมิ่งเหยาต้องเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปกับนางวันนี้
หนิงเมิ่งเหยาหันศีรษะไปมองและกล่าวนิ่ง “ข้ารออยู่”
หยางซิ่วเอ๋อร์กลับไปที่บ้านของตนในสภาพหดหู่สิ้นหวัง นางหลัวเห็นเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “แม่หนู เหตุใดเจ้าจึงอยู่ในสภาพนี้เล่า? ใครกลั่นแกล้งเจ้าหรือ?”
“ท่านแม่ ข้าไปก้มหัวขอร้องหนิงเมิ่งเหยาก็แล้ว เหตุใดนางจึงไม่ยอมยกโทษให้ข้ากัน” ในดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสับสน ทำให้นางหลัวรู้สึกสงสารนางจับใจ
นางหลัวยื่นมือไปกอดบุตรสาวของตน แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปหานางอีกทำไมกัน? เจ้ายังลิ้มรสความพ่ายแพ้ไม่พออีกหรือ?”
“ท่านแม่ หนิงเมิ่งเหยาเป็นคนที่เก่งมาก หากข้าติดตามนาง ข้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา” เฉกเช่นเดียวกับหยางเล่อเล่อ
ถึงแม้ว่าบ้านของพวกนางจะยังเหมือนเดิม แต่จากเสื้อผ้าที่พวกนางสวมใส่และการส่งหยางจื้อไปเรียนในเมือง ก็เห็นได้ว่าสถานภาพของพวกนางเป็นอย่างไร
ทุกวันนี้หยางเล่อเล่อต้องหาเงินได้มากมายแน่
แล้วนางเล่า? หยางซิ่วเอ๋อร์รู้จักหนิงเมิ่งเหยาก่อนหยางเล่อเล่อ แต่สิ่งที่นางได้รับกลับไม่ได้มากเท่ากับที่หยางเล่อเล่อได้เลย หยางซิ่วเอ๋อร์กลับต้องลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้ไปเสียอีก
เมื่อพูดถึงประเด็นนั้น ดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง
พวกนางเคยเป็นเพื่อนกัน ด้วยเหตุใดนางจึงทำตัวลำเอียงเช่นนี้? ด้วยเหตุใดนาง หนิงเมิ่งเหยา จึงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้?”
หากหนิงเมิ่งเหยารู้ในสิ่งที่หยางซิ่วเอ๋อร์กำลังคิดอยู่ นางคงจะกล่าวว่า “สาวน้อย เจ้าคิดมากไปแล้ว”
หลังจากที่หยางซิ่วเอ๋อร์มา หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะปักผ้าต่อ นางนั่งอยู่ที่ลานบ้าน จ้องมองพืชผัก และยิ้มบางๆ
อันที่จริงแล้วนางยังมีหลายสิ่งที่สามารถทำได้ โดยไม่ต้องเอาสมองไปนึกถึงเรื่องของคนอื่นอยู่ไม่ใช่หรือ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ ความคิดของหนิงเมิ่งเหยาก็ปลอดโปร่ง นางลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นออกจากตัวก่อนเดินออกไป
เมื่อมาถึงบ้านตระกูลหยาง หนิงเมิ่งเหยาพูดความคิดของนางออกมา และหยางจู้ผู้ซึ่งนั่งฟังอยู่ก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “เอาล่ะ ข้าจะช่วยเจ้าหาคนผู้นี้”
“ข้าขอขอบท่านคุณลุงหยางล่วงหน้าด้วย ค่าแรงเอาเป็นเจ็ดสิบอีแปะต่อวัน ไม่รวมอาหารได้หรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาเสนอราคาที่สมเหตุสมผล
หยางจู้ครุ่นคิดอีกครั้งแล้วตอบตกลง “เอาล่ะ แค่นี้ก็ถือว่าสูงมากแล้ว ข้าเชื่อว่าคงมีชาวบ้านมาสมัครหลายคน”
“ดีเลย”
ในวันที่สองหลังจากการพูดคุย หยางจู้ก็พาคนมา หนิงเมิ่งเหยาบอกความคิดของนางให้พวกเขาฟัง พวกเขาจึงรู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาวางแผนจะสร้างโรงเลี้ยงไก่และกำแพงที่สวน