ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 571 บางทีข้าอาจจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด + บทที่ 572 เด็กโต
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 571 บางทีข้าอาจจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด + บทที่ 572 เด็กโต
บทที่ 571 บางทีข้าอาจจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เจ้าพาเด็กมาทำไม” ผู้เฒ่าไกว้มีความสุขมากเมื่อเห็นเฉียวโม่ซาง แต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด
“ความกังวลของพวกข้าคงน้อยลง หากมีเขาอยู่ด้วย” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยพลางมองผู่เฒ่าไกว้ด้วยสีหน้าอับจนหนทาง
ผู้เฒ่าไกว้มีท่าทางอยากจะพูดอะไรต่อ แต่หลังจากเห็นทั้งสอง เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าพวกเขาหมายความว่าอย่างไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องระมัดระวังให้ดี” ผู้เฒ่าไกว้ว่า ในใจเขารู้สึกเป็นกังวล
เหมียวเจียงในปัจจุบันนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ในอดีตนั้นแม้ว่าชาวเมืองเหมียวเจียงจะมีทักษะพิเศษเรื่องกู่พิษ แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย แต่ไม่รู้ว่าชาวเมืองเหมียวเจียงเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด ตอนนี้ คนพวกนั้นดูจะคิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์โดยไม่สนใจเรื่องอื่นเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้มีคนที่เรียกตัวเองว่าราชครูคอยชักใยเมืองทั้งเมืองอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เฒ่าไกว้รู้สึกเป็นกังวล เขาควรปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ
“ท่านปู่ไกว้ ข้าเข้าใจดีขอรับ”
หนานอวี่ตื่นเต้นเมื่อเขาได้เจอกับหนานชี เมื่อเห็นว่าน้องชายเพียงคนเดียวของตนนั้นแข็งแรงดี เขาก็รู้สึกโล่งใจ
“ท่านพี่ ท่านพี่สะใภ้ พวกท่านมาถึงแล้ว” หนานชีมองพี่ชายของตน เขามีท่าทางสงบเสงี่ยมและจริงใจ
ชิงซวงมองหนานชี นางอดไม่ไหวจึงเดินเข้าไปเขกศีรษะเขา ก่อนกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงดูผอมลง”
หนานชีที่ถูกเขกศีรษะมองพี่สะใภ้ของตนอย่างเศร้าสร้อย เขาตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ท่านพี่สะใภ้ ข้าอ้วนขึ้นนะขอรับ” เหตุใดพี่สะใภ้ของเขาจะต้องแกล้งเขาทันทีที่เจอด้วย ไม่ดีเลยจริงๆ
ชิงซวงเลิกคิ้วมองหนานชี “ข้าบอกว่าเจ้าผอมลง ดังนั้นเจ้าก็ต้องผอมลง หนานอวี่ ข้าพูดถูกหรือไม่”
“ถูก” หนานอวี่พยักหน้าอย่างไม่อาย
หนังตาของเฉียวเทียนช่างกระตุกขณะมองหนานชีทำสีหน้าปั้นยากอยู่ตรงนั้น “เอาล่ะ หยุดเล่นกันได้แล้ว บอกพวกข้ามาเสียทีว่าสถานการณ์ภายในเหมียวเจียงเป็นเช่นไร หลังจากอยู่ที่นี่มานานถึงเพียงนี้ เจ้าได้ข้อมูลอะไรมาบ้างหรือ”
เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างถามถึงเรื่องนี้ หนานชีจึงรีบผุดลุกขึ้นจากพื้น เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่านขอรับ ดูเหมือนว่าราชครูอาจกำลังตามหาจิ้งจอกวิญญาณอยู่ขอรับ”
“อาจหรือ” เฉียวเทียนช่างนิ่วหน้า เขาไม่เคยสอนให้ลูกน้องพูดอะไรกำกวมเช่นนี้
มีเพียงใช่หรือไม่ใช่เท่านั้น ไม่มีคำว่า ‘อาจ’
หนานชีมองเฉียวเทียนช่างอย่างอับจนหนทาง “ข้าได้ข่าวมาว่าราชครูอาจจะกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่ขอรับ เห็นว่าเป็นยาชั้นเลิศสำหรับรักษาอาการป่วย แต่ข่าวที่ข้าได้รับจากเหมียวเจียงนั้นบอกว่าเขากำลังตามหาจิ้งจอกวิญญาณอยู่ ใครที่มีข่าวเกี่ยวกับจิ้งจอกวิญญาณสามารถนำข่าวไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ตนต้องการได้ดั่งใจขอรับ”
หนานชีขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่เมื่อนึกถึงราชครูผู้แสนใจกว้างผู้นั้น ใจกว้างถึงขนาดนั้นต้องไม่ใช่คนปกติแน่ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร
จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเทียนช่าง นางเห็นสิ่งที่นางคิดปรากฏอยู่ภายในดวงตาของเขา
เป็นไปได้หรือไม่ว่า… แม่ของนางจะอยู่ในมือของราชครู
“เทียนช่าง เจ้าไม่คิดหรือว่าบางที…”
“อืม เป็นไปได้มาก” ตามที่หนานกงเยี่ยนเคยพูดไว้ ในเวลานั้นร่างกายของท่านแม่ยายอ่อนแอมาก ระบบหลายอย่างในร่างของนางหยุดทำงานแล้ว การรักษานางคงจะยากยิ่งนัก
เมื่อรวมความเป็นไปได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน มีโอกาสมากกว่าเก้าสิบส่วนเสียอีกที่เซียวเฉิงหย่าจะอยู่ในมือของราชครู
“แล้วท่านพ่อของข้าล่ะ ท่านผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองหลิง” หนิงเมิ่งเหยาพลันนึกถึงบิดาของตนขึ้นมา นางจึงถามออกไป
“พวกเราไม่ได้ข่าวอะไรเลยขอรับ ที่พวกเรารู้ทั้งหมดมีเพียงแค่ตอนนี้ท่านผู้สำเร็จราชการอยู่ในเหมียวเจียง” นอกจากข่าวเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้น พวกเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีก
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จู่ๆ นางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังเฉียวเทียนช่าง “ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องตามหาท่านพ่อเสียก่อน หากเราต้องการจะบุกเหมียวเจียง”
“จริงดังเจ้าว่า อย่ากังวลไปเลย ค่อยๆ คิดเถอะ” คนเราไม่สามารถกินเต้าหู้ตอนที่ร้อนได้ ความใจร้อนรังแต่จะทำให้เสียเรื่อง ดังนั้น พวกเขาควรรอเสียก่อน
หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจออกมาเบาๆ จนถึงตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดที่นางสามารถทำได้เลยนอกจากการรอคอย
ผู้เฒ่าไกว้มองคนทั้งสองทันที “อย่ามองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยเลย บางทีข้าอาจจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด”
คำพูดของผู้เฒ่าไกว้ทำให้ทุกคนมองตรงไปที่เขาแทบจะพร้อมกัน ในดวงตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ท่านปู่ไกว้…”
“ตอนนี้ข้าไม่มั่นใจเท่าใดนักว่าเขาจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ ดังนั้นพวกเจ้าควรจะเตรียมใจเอาไว้ด้วย”
บทที่ 572 เด็กโต
ผู้เฒ่าไกว้ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนั้นยังคงมีอยู่หรือไม่
เขาจากที่แห่งนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว หากที่แห่งนั้นยังคงอยู่ หนานกงเยี่ยนก็อาจจะอยู่ที่นั่น
“ท่านปู่ไกว้ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ที่แห่งนั้นเป็นที่ที่ชาวเหมียวเจียงผู้กระทำความผิดอย่างรุนแรงจะถูกคุมขังเอาไว้ ข้าไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าจะอยู่ในนั้นหรือไม่ แต่หากที่แห่งนั้นยังคงอยู่ เขาก็น่าจะอยู่ที่นั่นแหละ” หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนั้นอยู่แล้ว ต่อให้หาอย่างไรก็ไม่มีทางเจอ แต่แม้จะหาเจอ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือคนที่อยู่ข้างในได้
ที่แห่งนั้นเปรียบเสมือนกระดองเต่าที่ไม่อาจทลายได้ สิ่งที่พวกเขาสามารถใช้ได้มีเพียงแค่สติปัญญาของตน หาใช่การใช้กำลังไม่
หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางยิ้มพลางมองผู้เฒ่าไกว้ “ท่านปู่ไกว้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็หวังว่าทุกอย่างจะสำเร็จไปได้ด้วยดี”
ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ สำหรับหนิงเมิ่งเหยาแล้ว ตราบใดที่มีเงื่อนงำ นางก็จะลงมือค้นหาต่อไปเช่นนั้น เช่นเดียวกันกับการตามหามารดาของนาง
ผู้เฒ่าไกว้เห็นว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นช่างมีความแน่วแน่ยิ่งนัก เขาจึงเงียบเสียงลงครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงหันไปมองหนิงเมิ่งเหยาก่อนพยักหน้า “ข้าสามารถพาพวกเจ้าไปที่นั่นได้ แต่มันอันตรายยิ่งนัก”
“พวกข้าหากลัวไม่”
“แล้วลูกเจ้าล่ะ” ผู้เฒ่าไกว้ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นขณะมองเด็กน้อยผู้เป็นราวกับกำไลหยกภายในอ้อมอกของหนิงเมิ่งเหยา
หนิงเมิ่งเหยามองลูกในอ้อมแขน ในดวงตาของนางดูขัดแย้งกันอยู่ ผู้เฒ่าไกว้ส่ายหน้าอย่างอับจนหนทางเมื่อเห็นนางแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา “เอาล่ะ ข้าจะไปสืบให้เจ้าก่อน ระหว่างนั้นพวกเจ้าก็เดินเล่นรอบเมืองและทำตัวให้คุ้นชินกับที่แห่งนี้เสีย เมื่อเวลานั้นมาถึงคงไม่ใช่เรื่องดีนักหากพวกเจ้าต้องเสียใครไป”
“ขอบคุณท่านมาก ท่านปู่ไกว้”
“ใครบอกให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่” ผู้เฒ่าไกว้มองหนิงเมิ่งเหยาอย่างโกรธคือง แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
ผู้เฒ่าไกว้เป็นคนรักษาสัจจะ เมื่อสัญญากับหนิงเมิ่งเหยาแล้ว เขาก็รีบรุดนำกำลังคนของตนออกไป
หนิงเมิ่งเหยามองร่างของผู้เฒ่าไกว้ที่ค่อยๆ ลับสายตาไปด้วยความรู้สึกโทษตัวเองเล็กน้อย “เทียนช่าง ข้าเป็นคนที่แย่มากเลยใช่ไหม” นางใช้ให้คนแก่มาวิ่งวุ่นช่วยตนเช่นนี้
“อย่าพูดถึงตัวเองเช่นนั้นเลย” เฉียวเทียนช่างขัดคำพูดของนาง เขานิ่วหน้าเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยามีท่าทีเช่นนั้น
เขาบอกได้ว่าสายตาที่ผู้เฒ่าไกว้ใช้มองหนิงเมิ่งเหยานั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู เขารักนางราวกับเป็นบุตรสาวของตน เขาเต็มใจที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อแบ่งเบาภาระของหนิงเมิ่งเหยา หาใช่เพื่อทำให้นางต้องรู้สึกผิดและเฝ้าโทษตัวเองเช่นนี้ไม่
“แต่…”
“เขาปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนลูกแท้ๆ ของเขา เขาคงไม่ช่วยเราเรื่องนี้เพราะอยากให้เจ้ารู้สึกผิดหรือโทษตัวเองแน่ เขาเพียงแค่อยากให้เจ้าสบายใจขึ้นต่างหาก” เฉียวเทียนช่างขัดบทสนทนาของหนิงเมิ่งเหยาอีกครั้ง เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนพลางยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมของนาง
“ข้าเข้าใจ” เพราะนางเข้าใจดี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกผิดและโทษตัวเองเช่นนี้ ความรู้สึกนี้มันทำให้นางลำบากใจจนแทบทนไม่ไหว
“หากเจ้ารู้สึกผิด หลังเรื่องนี้จบลงก็บอกให้เขามาอยู่กับเราและดูแลเขาอย่างดีสิ เช่นนั้นเขาจะได้สามารถใช้ชีวิตยามชราได้อย่างมีความสุข หากเป็นเช่นนั้นคงจะพอทดแทนบุญคุณของเขาได้” เฉียวเทียนช่างรู้มาจากลุงเจี่ยงว่าผู้เฒ่าไกว้นั้นไม่มีทั้งภรรยาและครอบครัว
การทำเช่นนั้นคงจะสามารถถมช่องว่างภายในจิตใจของเขาให้เต็มได้
หนิงเมิ่งเหยาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่ผู้เฒ่าไกว้ออกไป พวกเขาก็ทำตามที่ท่านผู้เฒ่าสั่งเอาไว้ หลังจากพักผ่อนไปสองสามวันทุกคนก็แยกย้ายกันไป
เฉียวเทียนช่างพาหนิงเมิ่งเหยาและลูกเดินเล่นรอบๆ เหมียวเจียง
ทั้งสองเดินไปรอบเมืองก่อนนั่งพักเป็นครั้งคราว พวกเขาเดินเที่ยวกันไปตามอารมณ์โดยไม่ไร้จุดหมาย
สถานที่และวัฒนธรรมอันแปลกตาทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าเหมียวเจียงเป็นสถานที่แบบใดกันแน่
คนขี้สงสัยทั้งสองเดินเที่ยวรอบเหมียวเจียง บางครั้งก็หยุดฝีเท้าลงเพื่อแวะดูสถานที่ที่น่าสนใจ
หลังจากผ่านไปสองสามวัน หนิงเมิ่งเหยาจึงตระหนักได้ว่าชาวพื้นเมืองของเหมียวเจียงนั้นเป็นคนง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มีน้อยคนนักที่จะเหมือนกับซ่งลี่
“ตอนจะกลับเราแวะซื้อของกันเถอะ” มีเครื่องประดับเล็กๆ หลายชนิดที่หนิงเมิ่งเหยารู้สึกถูกใจ
“เอาสิ”
ทั้งสองคนเดินคุยกันตลอดทาง ทันใดนั้น ก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งสะดุดล้มลงมาทางพวกเขาและชนเข้ากับหนิงเมิ่งเหยา “ช่วยข้าด้วย”