ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 577 จับผิดตัวหรือ + บทที่ 578 จำเป็นต้องสืบสวน
บทที่ 577 จับผิดตัวหรือ
เฉียวเทียนช่างมองไปที่ท้องฟ้าแล้วตอบอย่างสบายๆ ว่า “คงจะเร็ว ๆ นี้”
หนิงเมิ่งเหยากระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ข้าจะตั้งตารอ”
“ข้าเองก็เช่นกัน” รอยยิ้มวาบขึ้นในดวงตาของเฉียวเทียนช่าง หากเสียงของพวกเขาเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ ต่อให้ตอนนี้ซ่งรุ่ยจะมายืนอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางระบุตัวได้ว่าเขากับหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนที่ทำร้ายตน
หลังจากที่ฟ้าเริ่มมืด เฉียวเทียนช่างก็จอดรถม้าไว้ใกล้ๆ กับลำธารสายเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเขาเก็บฟืนและเริ่มก่อไฟ เขาเอาวัตถุดิบหลายชนิดออกมา จากนั้นจึงเริ่มลงมือทำอาหาร
หนิงเมิ่งเหยาบอกให้เฉียวเทียนช่างทำอาหารที่ย่อยง่ายๆ ให้กับเด็กทั้งสอง
หลังป้อนข้าวต้มให้ลูกเสร็จ หนิงเมิ่งเหยาจึงหันไปมองเด็กอีกคนที่นอนอยู่บนที่นอน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอับจนใจ
ยังไม่ตื่นเสียที เด็กคนนี้เป็นอะไรหรือไม่ หรือเป็นเพราะเขาไม่ปรารถนาที่จะตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นั้นขึ้นมา หนิงเมิ่งเหยาจึงขมวดคิ้ว พวกนางจำเป็นต้องพาเด็กคนนี้ไปด้วยจริงๆ หรือ การพาเขาไปด้วยช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
หนิงเมิ่งเหยาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนในตอนที่ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านนอก พลันรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง หนิงเมิ่งเหยายกม่านขึ้นแล้วเดินออกไป
เมื่อเห็นองครักษ์ที่ล้อมรอบพวกตนอยู่ ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านพี่ พวกเขาเป็นใคร” หนิงเมิ่งเหยามองคนที่อยู่รอบๆ พลางแกล้งทำเป็นสับสน นางขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่พอใจกับการมาเยือนของพวกเขา
เสียงเรียกของหนิงเมิ่งเหยาทำให้ดวงตาของเฉียวเทียนช่างดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
คนที่เป็นหัวหน้าของเหล่าองครักษ์ดูมีสีหน้าไม่มั่นใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองคนนี้จะเป็นคู่สามีภรรยาที่ท่านประมุขบอกเอาไว้ แต่เมื่อมองดูทั้งสองคนแล้ว สภาพของคนทั้งคู่ดูไม่ตรงกับรูปพรรณที่พวกเขาได้มาเลยแม้แต่น้อย
“ขออภัยด้วย แต่ท่านประมุขตระกูลเราต้องการพบพวกท่าน ได้โปรดไปกับพวกเราด้วย” คนเป็นหัวหน้าที่ยังดูตัวจริงของทั้งสองไม่ออกเลือกที่จะใช้คำพูดเป็นทางการในการพูดกับพวกเขาแทน
หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ “ลูกสาวพวกข้ากำลังป่วยหนัก ข้าจะพานางไปหาหมอ หากการที่พวกเจ้ารั้งพวกข้าไว้ทำให้อาการของนางแย่ลง เจ้าจะชดใช้ให้พวกข้าอย่างไร”
ดวงตาของเฉียวเทียนช่างกระตุก พวกเขามีลูกสาวหรือ เหตุใดเขาจึงไม่รู้ แต่ลูกสาว….
ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาหันไปมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยดวงตาแวววาวราวกับสุนัขป่า
จู่ๆ ความคิดที่ว่าหากมีลูกสาวอีกคนก็คงจะดีเหมือนกันก็แล่นเข้ามาในหัวของเขา
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉียวเทียนช่าง หนิงเมิ่งเหยาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าคนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ นางจ้องเขาตาเขียว จากนั้นจึงหันไปมององครักษ์สองสามนายที่ยังคงมีท่าทีลังเลใจอยู่ “พวกข้าจะไปแล้ว หากท่านประมุขของพวกเจ้าต้องการพบพวกข้า บอกให้เขามาหาด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“เจ้า… เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านประมุขเป็นใคร”
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นใคร หากมันกระทบต่ออาการป่วยของลูกสาวข้า ข้าก็ไม่สามารถไปพบเขาได้” หนิงเมิ่งเหยามองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา
เฉียวเทียนช่างเดินไปยืนข้างกายหนิงเมิ่งเหยา “ภรรยาของข้าพูดถูกแล้ว หากเขาอยากพบพวกเรา ก็จงมาพบด้วยตัวเอง”
“เจ้า…”
“ท่านพี่ หลังกินเสร็จแล้วเรารีบออกเดินทางกันเถิด เรื่องครั้งนี้เป็นเพราะความประมาทของพวกเราเองที่ทำให้ลูกต้องเป็นเช่นนี้” ใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยานั้นดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก แม้แต่ในดวงตาของนางก็มีน้ำตาคลอขึ้นมา
หากเขาไม่รู้ว่าหนิงเมิ่งเหยากำลังแสดงละครอยู่ เฉียวเทียนช่างคงหลงคิดไปแล้วว่าเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปวางบนบ่าของหนิงเมิ่งเหยา เขาขมวดคิ้วแล้วจึงพยักหน้า “ได้เลย”
เฉียวเทียนช่างเดินไปนั่งลงข้างกองไฟก่อนจะเริ่มย่างเนื้อ เขาไม่สนใจเหล่าองครักษ์พวกนั้นเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่คิดจะสนใจหรือกังวลที่พวกตนอยู่ตรงนี้ด้วย องครักษ์เหล่านั้นจึงได้แต่สงสัยอยู่ภายในใจว่าพวกตนจับผิดตัวหรือไม่
หัวหน้าองครักษ์นิ่วหน้าและมองคนที่อยู่ข้างกายตน คนผู้นั้นพยักหน้า และจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนั้น หนิงเมิ่งเหยาจึงยิ้มออกมา และทำท่าไม่สนใจ
“หอมยิ่งนัก” ตอนแรกหนิงเมิ่งเหยาไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก แต่เมื่อได้กลิ่นหอมลอยมา ท้องของนางก็เริ่มร้องขึ้นมาเบาๆ
รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากของเฉียวเทียนช่าง เขายื่นมือไปลูบศรีษะของหนิงเมิ่งเหยา “อีกสักประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เจ้าไปเตรียมจานเถิด”
หนิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปที่ด้านหลังของรถม้า เมื่อนางกลับมาอีกครั้ง ในมือของนางก็มีจานบางๆ สองใบกับมีดขนาดเล็กด้ามหนึ่งติดมือมาด้วย
บทที่ 578 จำเป็นต้องสืบสวน
เฉียวเทียนช่างถือไก่ย่างเอาไว้ในมือ แล้วใช้มีดแล่เนื้อออกมาเป็นชิ้นบางๆ และจัดแจงวางมันลงบนจาน ก่อนจะส่งให้กับหนิงเมิ่งเหยา “รีบกินตอนที่ยังร้อนๆ อยู่”
“ขอบใจมาก” นางเอ่ยขึ้นแล้วหอมเฉียวเทียนช่าง จากนั้นจึงหยิบจานขึ้นมาแล้วลงมือกินไก่ในนั้น
องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างต่างมองนางกินข้าวด้วยสายตาหิวโหย พวกเขาไม่เคยได้กลิ่นไก่ย่างที่หอมหวนชวนน้ำลายสอเช่นนี้มาก่อน ช่างน่าอร่อยยิ่งนัก
องครักษ์ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตากระตุกไม่หยุดเมื่อเห็นลูกน้องของตนน้ำลายไหล เจ้าพวกนี้มาที่นี่เพื่อทำให้เขาขายหน้าหรือ
หลังจากทั้งสองกินเสร็จ เฉียวเทียนช่างจึงเก็บทุกอย่างเข้าที่ เขานำน้ำจากในลำธารมาดับไฟ จากนั้นจึงเดินไปยืนที่ข้างรถม้า “ไปกันเถอะ”
“ไปเถอะ ดูท่าลูกจะไข้ขึ้นอีกแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาจับหน้าผากของเด็กผู้นั้น ใบหน้าของนางดูเป็นกังวล
สายตาของเฉียวเทียนช่างแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง
“จับดีๆ เราจะไปกันแล้ว” เฉียวเทียนช่างบอกหนิงเมิ่งเหยาให้จับรถม้าไว้ให้ดี ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนที่นั่งคนขับ
“ข้าเกรงว่าเจ้าทั้งสองจะยังไปไม่ได้” หัวหน้าองครักษ์ขวางรถม้าเอาไว้ ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้พวกเฉียวเทียนช่างเดินทางต่อ
สีหน้าของเฉียวเทียนช่างพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง “ถอยไป”
“ท่านประมุขของตระกูลข้าจะมาถึงในไม่ช้านี้ ได้โปรดรอก่อนเถิด แน่นอนว่าพวกข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปแน่หลังจากยืนยันได้แล้วว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ใช่คนที่พวกข้ากำลังตามหาอยู่” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
เดิมทีหนิงเมิ่งเหยานึกสนุกอยู่ในใจ แต่เมื่ออุณหภูมิภายในร่างของเด็กผู้นี้ร้อนขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของนางก็ยิ่งแย่
“ท่านพี่…”
“ดูแลพวกลูกๆ ให้ดี ไปกันเถอะ” เฉียวเทียนช่างรู้สึกเช่นเดียวกันกับหนิงเมิ่งเหาย ตอนนี้เขาชักอารมณ์ไม่ดีเข้าจริงๆ เสียแล้ว
เขาอยากดูว่าคนพวกนี้จะขวางทางเขาอย่างไร
หัวหน้าองครักษ์เห็นว่าเฉียวเทียนช่างบังคับรถม้าเดินหน้าต่อ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปในทันที
“พวกเจ้า…”
“ย่ะ!” แส้ในมือของเฉียวเทียนช่างฟาดลงบนหลังม้า
ม้าหลายตัวด้านหน้าส่งเสียงร้องออกมาก่อนจะกระทืบเท้าแล้วกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เหล่าองครักษ์ที่ขวางทางอยู่ต่างคาดไม่ถึงว่าเฉียวเทียนช่างจะบังคับรถม้าพุ่งตรงไปข้างหน้าจริงอย่างที่ว่า
พวกเขาพุ่งตัวหลบในทันที แต่หัวหน้าองครักษ์กลับกระโดดเข้ามา เขาพยายามถีบเข้าที่รถม้า
เป้าหมายของเขาคือม้าที่กำลังแตกตื่น สายตาของเฉียวเทียนช่างเปลี่ยนเป็นเย็นชา หากม้าล้มลงไปจริงๆ จะต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับหนิงเมิ่งเหยาและซางเอ๋อร์แน่ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเห็น
ในขณะที่เท้าของอีกฝ่ายกำลังจะเตะโดนม้า เฉียวเทียนช่างพลันสะบันแส้ในมือของเขาฟาดออกไป แส้อันไม่สั้นไม่ยาวนั้นพันรอบขาของชายผู้นั้นเอาไว้
เขาออกแรงที่มือส่งชายผู้นั้นลอยละลิ่วไปอัดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
เหล่าองครักษ์ต่างกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นภาพนั้น คนผู้นี้ฝีมือเยี่ยมยอดนัก
เฉียวเทียนช่างมององครักษ์ที่ค่อยๆ คลานขึ้นมาจากพื้นก่อนเอ่ยว่า “ไสหัวไป”
“ขวางพวกเขาเอาไว้” หัวหน้าองครักษ์รู้ได้ทันทีว่าวรยุทธ์ของชายผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก แม้พวกเขาจะผนึกกำลังกันเข้าสู้ก็คงไม่สามารถเป็นคู่มือของเขาได้ แต่เมื่อนึกถึงท่านประมุขของตระกูลขึ้นมา เขาจึงทำได้เพียงออกคำสั่งให้ขวางทางเอาไว้ทั้งที่ในใจรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นความสิ้นคิดขององครักษ์เหล่านี้ เขาจึงไม่ออมมือให้อีกต่อไป ตลอดเส้นทางที่แส้ในมือของเขาฟาดผ่านล้วนทิ้งหยดเลือดไว้เป็นทาง
ตอนที่ทั้งสองฝ่ายต่างยังไปไหนไม่ได้ พลันพวกเขาก็ได้ยินเสียงควบม้าดังมาแต่ไกล หัวหน้าองครักษ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ในไม่ช้าเสียงควบม้าก็เข้ามาใกล้ ก่อนหยุดลงตรงหน้าของพวกเฉียวเทียนช่าง
เฉียวเทียนช่างบังคับรถม้าให้หยุดลง เขามองประมุขตระกูลซ่งที่อยู่บนหลังม้า “เจ้าคือคนที่อยากพบพวกเราหรือ ข้าสงสัยยิ่งนักว่ามีเรื่องอันใดกัน”
ประมุขตระกูลซ่งขมวดคิ้ว เหตุใดจึงเป็นชายผู้นี้
“วันนี้เจ้าเข้าไปทำอะไรในเมือง” ประมุขตระกูลซ่งมองทั้งสองราวกับกำลังสอบปากคำนักโทษ
เฉียวเทียนช่างมองเขาอย่างเยือกเย็น “เหมียวเจียงห้ามคนเข้าไปทำธุระที่นั่นหรือ หรือนี่เป็นสิ่งที่เหมียวเจียงปฏิบัติต่อคนภายนอก คิดจะสอบปากคำข้าหรือ ใครให้ความกล้ากับเจ้าได้ถึงเพียงนี้”
เฉียวเทียนช่างสวมเสื้อผ้าราคาแพงหูฉี่ และมีบรรยากาศอันน่าเกรงขามอยู่รอบตัว ประมุขตระกูลซ่งถึงกับชะงัก
แต่เมื่อนึกถึงบุตรชายของตน เขาจึงตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “ข้าสงสัยว่าพวกเจ้าจะเป็นคนทำร้ายบุตรชายข้า ด้านในรถม้ามีใครอยู่หรือ ข้าจำเป็นต้องตรวจสอบ”
หนิงเมิ่งเหยาที่อยู่ในรถม้ายิ้มเยาะ นางยกม่านขึ้นแล้วเดินออกมา เมื่อม่านถูกยกขึ้น พวกเขาเห็นเด็กสองคนอยู่ด้านใน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กโต นางเป็นเด็กผู้หญิง ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ริมฝีปากของนางแห้งและแตก มองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านางป่วยหนักจริงดังว่า
จากข้อมูลที่พวกเขาได้รับมามีเด็กเพียงแค่คนเดียวมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงมีถึงสองคนเล่า