ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 581 นามว่าโม่เฟิง + บทที่ 582 บุตรชายของข้า
บทที่ 581 นามว่าโม่เฟิง
เฉียวเทียนช่างจับมือเฉียวโม่ซางแน่น เขามองเด็กชายที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นด้วยความประหลาดใจ และถามขึ้นว่า “เจ้าจำไม่ได้หรือว่าตัวเองเป็นใคร”
เด็กชายก้มหน้าลง เขาขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงส่ายหน้า “ข้าจำไม่ได้”
“เช่นนั้นเจ้าจำได้หรือไม่ว่าพบกับพวกข้าได้อย่างไร” แม้เฉียวเทียนช่างจะไม่อยากยอมรับ แต่ดูเหมือนเด็กชายจะจำอะไรไม่ได้จริง ๆ และเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกเสียจากต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนี้
เด็กชายกะพริบตาด้วยสีหน้าว่างเปล่าราวกับเขาไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เฉียวเทียนช่างกำลังพูดอยู่ได้
“ข้าไม่รู้”
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเข้ามาในห้อง นางสังเกตเห็นทันทีว่าเด็กชายลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว แต่นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนักเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมมองเด็กชายตาแทบถลน มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่ชอบมาพากลเอามากๆ เสียด้วย
“เทียนช่าง เกิดอะไรขึ้น”
“เด็กคนนี้จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” เฉียวเทียนช่างทำท่าราวกับเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ หลังจากได้ยินเสียงของหนิงเมิ่งเหยา เขาจึงหันหน้าไปหานางแล้วตอบไปโดยไม่หยุดคิด
หนิงเมิ่งเหยามีท่าทีลังเลไปชั่วขณะ นางคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
แผนการขั้นแรกที่นางคิดเอาไว้คือการรักษาเด็กชายให้หายดี จากนั้นจึงค่อยถามว่าเขามาจากไหน แล้วนางกับเฉียวเทียนช่างจะได้พาเขากลับบ้านได้
ตอนนี้ถึงเขาจะได้สติแล้ว แต่ดันจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แล้วจะให้พวกนางส่งตัวเขากลับบ้านได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่หนิงเมิ่งเหยา แม้แต่เฉียวเทียนช่างเองก็ยังรู้สึกปวดหัว “เราจะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ดี” ตอนนี้เด็กอยู่กับพวกเขา พวกเขาคงไม่สามารถเอาเด็กชายไปทิ้งไว้ที่อื่นได้
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นนอกจากพาเขาไปด้วย
นางนั่งลงข้างเตียง หนิงเมิ่งเหยามองดวงตาอันแสนบริสุทธิ์ของเด็กชายอย่างอ่อนโยน นางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “จำอดีตไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อแต่นี้ไปเจ้าจะเป็นลูกของพวกเรา จากวันนี้ชื่อของเจ้าคือเฉียวโม่เฟิง พวกเราคือพ่อกับแม่ของเจ้า นี่คือเฉียวโม่ซาง น้องชายของเจ้า” หนิงเมิ่งเหยาแนะนำครอบครัวให้เด็กชายฟังอย่างคร่าวๆ
ใบหน้าของเด็กชาย ไม่สิ เฉียวโม่เฟิงสดใสไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีน้องชายด้วย” ขณะว่าเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปยังเฉียวโม่ซาง ท่าทางอันแสนกระตือรือร้นนั้นทำเอาหนิงเมิ่งเหยารู้สึกพูดไม่ออกไปเล็กน้อย
เฉียวโม่ซางดูจะสัมผัสถึงสายตาของผู้เป็นพี่ได้ เขายิ้มยิงฟันให้กับเฉียวโม่เฟิง
“ท่านแม่ ข้าชอบน้องยิ่งนักขอรับ” เฉียวโม่เฟิงจับมือของหนิงเมิ่งเหยาแล้วพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
“น้องก็คงชอบเจ้ามากเช่นกัน ไปเล่นกับน้องสักหน่อยสิ พ่อกับแม่มีเรื่องต้องคุยกัน” ขณะที่หนิงเมิ่งเหยาบอกเขาเช่นนั้น เฉียวเทียนช่างก็อุ้มเฉียวโม่ซางไปไว้ข้างๆ เฉียวโม่เฟิง
เฉียวโม่เฟิงมองน้องชายของตนด้วยความยินดี เขาเอาของเล่นชิ้นเล็กๆ จากเฉียวเทียนช่างมาแล้วเริ่มเล่นกับน้องชาย
เมื่อเห็นเฉียวโม่เฟิงดูแลเฉียวโม่ซางเป็นอย่างดี สองสามีภรรยาจึงเดินออกไปอย่างโล่งใจ ทั้งสองหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างแล้วถามว่า “ทีนี้จะเอาอย่างไรกันดี”
“เราต้องค่อยเป็นค่อยไป” เฉียวเทียนช่างก็ปวดหัวเหมือนกัน
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราดูแลเด็กได้แค่คนเดียวเท่านั้น ข้าเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้หากเราคิดจะดูแลเฟิงเอ๋อร์ด้วย เห็นทีต้องเรียกคนจากทงเป่าไจมาช่วยสักสองสามคนเสียแล้ว” แน่นอนว่าคนที่นางเรียกตัวมาจะต้องเป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบดี
“เอาสิ”
นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาสบายใจได้
หลังจากปรึกษากับเฉียวเทียนช่างเป็นที่เรียบร้อย หนิงเมิ่งเหยาจึงเรียกเหยี่ยวสื่อสารของตนมา และนำข้อความที่ตนเขียนสอดเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ปีกของมัน
นางถอนหายใจขณะมองมันกระพือปีกบินจากไป หวังไว้ในใจว่าการเดินทางสู่เหมียวเจียงในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น
เฉียวเทียนช่างเดินเข้ามาหาหนิงเมิ่งเหยาแล้วกอดนางจากทางด้านหลัง สีหน้าพะเน้าพะนอที่เขาแสดงออกมาช่วยปลอบให้หนิงเมิ่งเหงาสงบลง “อย่ากังวลไปเลย”
“เทียนช่าง ข้าสังหรณ์ใจไม่ดี ข้ารู้สึกว่าต้องมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นในเหมียวเจียงแห่งนี้แน่” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว ตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
เฉียวเทียนช่างหมุนร่างของหนิงเมิงเหยาให้กลับมาเผชิญหน้าตน เขามองนางแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่ครอบครัวของเราอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดีแน่”
ไม่ว่าเหตุการณ์ในภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น หากที่นี่มีเขา มีนาง มีซางเอ๋อร์ และตอนนี้มีเฟิงเอ๋อร์ด้วยอีกคน หากครอบครัวสี่คนอยู่กันพร้อมหน้า ต่อให้เรื่องที่เจอจะยากลำบากสักเพียงใด พวกเขาก็จะเผชิญหน้ากับมันไปด้วยกัน
บทที่ 582 บุตรชายของข้า
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างด้วยสายตาว่างเปล่า หลังผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพยักหน้า “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
จริงดังว่า ในเมื่อรอบตัวนางมีคนที่นางรักและไม่มีทางยกให้ใครอยู่ แล้วนางจะต้องกังวลเรื่องใดอีกเล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้น รอยยิ้มบางๆ จึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยา
ทันทีที่เข้ามาในห้อง พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเฉียวโม่ซาง เสียงหัวเราะของเด็กน้อยนั้นแสนสดใสยิ่งนัก นอกจากนั้นยังมีเสียงหัวเราะอันแสนบริสุทธิ์อีกเสียงดังอยู่ด้วย หัวใจของหนิงเมิ่งเหยาอุ่นวาบเมื่อได้ยินเสียงทั้งสองเสียงนี้
“เฟิงเอ๋อร์ พวกเราจะพาเจ้าไปหาหมอ ให้หมอดูบาดแผลเจ้าเสียหน่อย” หนิงเมิ่งเหยาเดินไปที่เตียงแล้วมองเฉียวโม่เฟิงด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋ ท่านแม่ ข้าต้องไปด้วยหรือขอรับ” แม้เขาจะยังเจ็บแผลอยู่ และเห็นรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนบนร่างกายของตนแล้ว แต่การไปหาหมอนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาไม่อยากไป
เมื่อเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของเด็กชาย หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกจนใจ จากนั้นเฉียวเทียนช่างจึงเอ่ยขึ้นว่า “หนานอวี่อยู่ไม่ห่างจากพวกเรา บอกให้พวกเขามาที่นี่ก็แล้วกัน”
“เอาสิ” หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้า ตอนนี้มีเด็กบาดเจ็บอยู่ด้วย ดังนั้นคงจะดีกว่าหากให้คนมาดูบาดแผลของเขาแทน
สุดท้ายทั้งสองจึงไม่ได้พาเด็กชายไปหาหมอ แต่รอให้ชิงซวงมาหาที่นี่แทน
พวกเขาอยู่ในเมืองต่ออีกสามวันจนกระทั่งชิงซวงและหนานอวี่เดินทางมาถึง
“คุณหนู”
“ชิงซวง ไปดูบาดแผลบนร่างของเฟิงเอ๋อร์ให้ที” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวโม่เฟิงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความปวดหัว
ชิงซวงมองเด็กชายที่กำลังเล่นกับนายน้อยของพวกนางอยู่ด้วยสายตางุนงง นางรู้สึกสงสัยยิ่งนัก เด็กผู้นี้เป็นลูกใครกัน
เมื่อเฉียวโม่เฟิงเห็นชิงซวงเข้าใกล้เขา เขารีบวิ่งไปหลบด้านหลังของหนิงเมิ่งเหยา “ท่านแม่…”
ชิงซวงตัวแข็ง นางมองเด็กชาย เหตุใดเด็กคนนี้จึงเรียกคุณหนูของนางว่าท่านแม่
“คุณหนู…. เด็กคนนี้…”
“ดูอาการให้เขาก่อน ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง เฟิงเอ๋อร์ นี่ท่านน้าชิงซวง ทักษะด้านการแพทย์ของนางล้ำเลิศยิ่งนัก ให้นางดูแผลของเจ้าเสียหน่อยเถิด พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก” หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ดุเฉียวโม่เฟิง แต่นางกลับมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและบอกเขาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาแทน
เฉียวโม่เฟิงเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น จากนั้นจึงพยักหน้า “ขอรับ ท่านแม่”
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปลูบศีรษะเขา “ไม่เป็นไร อย่ากลัวไปเลย พวกเราแค่อยากแน่ใจว่าเจ้าสบายดี”
เฉียวโม่เฟิงพยักหน้า เขามองชิงซวงอย่างเขินๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไปหานาง
ชิงซวงแตะนิ้วของนางลงบนเส้นชีพจรของเฉียวโม่เฟิง จากนั้นจึงถอดชุดของเขาออก เมื่อนางเห็นรอยแผลเป็นบนร่างของเด็กชาย นางถึงกับขมวดคิ้ว
“บาดแผลส่วนหนึ่งไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงที เห็นทีว่าอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ มีอย่างอื่นหรือไม่ สุขภาพของเขามีปัญหาอะไรไหม” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกเป็นกังวลเรื่องนี้ หาใช่เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นั้นไม่
ชิงซวงส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ แม้ร่างกายของเขาจะยังอ่อนแออยู่ แต่ถ้าดูแลรักษาต่อไปสักระยะก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ” เห็นชัดๆ ว่านางกำลังซ่อนอะไรอยู่ แต่เพราะเด็กคนนี้อยู่ที่นี่ด้วย นางจึงไม่สามารถเอ่ยออกมาตรงๆ ได้
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ เฟิงเอ๋อร์ ฝากดูแลน้องด้วย เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับท่านแม่” เฉียวโม่เฟิงหลงน้องชายของตนยิ่งนัก แน่นอนว่าเมื่อได้รับหน้าที่เช่นนั้นแล้ว เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ
ทั้งสามย้ายไปคุยกันในห้องถัดไป โดยทิ้งให้หนานอวี่ดูแลเด็กทั้งสองอยู่ที่หน้าประตู
ก่อนที่ชิงซวงจะเอ่ยอะไรออกมา หนิงเมิ่งเหยาก็ชิงเล่าให้นางฟังก่อนว่านางพบเฉียวโม่เฟิงได้อย่างไร
เมื่อฟังจบ ชิงซวงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
“โอ้ ไม่น่าแปลกเลยเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนั้น การลืมอดีตไปคงจะดีต่อเจ้าตัวมากกว่า” สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นโหดร้ายเกินกว่าที่เขาจะรับได้ ดังนั้นจึงนับว่าเป็นเรื่องปกติยิ่งนักที่เด็กชายจะไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำนั้นกลับคืนมา
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น หากพวกข้าหาพ่อแม่ของเขาที่อยู่ในเหมียวเจียงไม่เจอ เช่นนั้นข้าจะพาเขากลับไปยังเมืองเซียว พวกข้าจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรม” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า
นี่เป็นหนทางที่พวกนางเลือก
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” ก่อนหน้านี้นางรู้สึกไม่ชอบเด็กคนนั้นสักเท่าใดนัก แต่หลังจากรู้ประสบการณ์ในอดีตของเขาแล้ว ไม่มีทางที่นางจะเกลียดเขาลง เหตุผลนั้นเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าเป็นเพราะอดีตอันแสนเจ็บปวดของเด็กคนนั้น
“เฟิงเอ๋อร์เป็นเด็กดี หากไม่ใช่เพราะประสบการณ์ในอดีตของเขา เขาคงไม่อ่อนแอเช่นนี้แน่” เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของเด็กชายคนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่ลูกของคนธรรมดา และฐานะของเขาก็คงไม่ใช่สามัญชนเช่นกัน เพียงแต่เหตุใดเขาจึงถูกเจ้าโง่นั่นพาตัวไปได้ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนั้นขึ้นคืออะไรก็ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้