ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 59 ให้โอกาสอีกครั้ง + บทที่ 60 มีหรือไม่
บทที่ 59 ให้โอกาสอีกครั้ง
หนิงเมิ่งเหยามองไปที่หยางจู้ผู้สามารถปลุกระดมความโกรธให้แก่ชาวบ้านได้ในเวลาอันสั้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเป็นยิ้มที่ไม่ยิ้ม มันเต็มไปด้วยแววเยาะหยัน
เดินไปข้างๆ หยางจู้ หนิงเมิ่งเหยาไล่สายตามองกลุ่มคนเบื้องล่างและแย้มยิ้ม พลางกล่าวว่า “ทุกท่านที่นี่นั้นล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าเองก็ไม่อยากจะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากหัวขโมยนำของทุกอย่างที่ขโมยไปจากข้ากลับมาคืนในเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปก็ได้ แต่ถ้าหากเช้าวันพรุ่งข้ายังไม่เห็นสิ่งที่ถูกขโมยไปกลับมา ข้าก็จะไม่ออมมือให้”
คำพูดเหล่านี้น้ันคือความใจดีอย่างถึงที่สุดแล้ว เพียงแค่นำของที่เอาไปทั้งหมดกลับมาคืนก็จะรอดตัว แบบนี้ก็ไม่แย่เท่าใดนัก
ฝูงชนพูดคุยกันด้วยเสียงอันแผ่วเบา รู้สึกว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นใจดีเกินไป ข้าวของของนางโดนขโมย แต่นางกลับยังกล่าวคำพูดเช่นนั้น นี่มัน… ไม่รู้ควรจะพูดอย่างไรดี
“เมื่อแม่หนูเมิ่งเหยาว่าเช่นนั้น ก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน ผู้ใดที่ลักของของนางไป ข้าขอให้เจ้าดูแลตัวเองให้ดี” เมื่อพูดจบ ฝูงชนก็แยกย้ายกันกลับ ชาวบ้านยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำอยู่
ระหว่างรอให้ผู้คนทั้งหมดกลับไป หยางจู้ก็มองหน้าหนิงเมิ่งเหยา “เหยาเอ๋อร์ เจ้ากล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร? ถ้าหากเราสืบสวน…..”
“แม้ว่านั่นจะเป็นอีกหนทางหนึ่ง แต่การเข้าไปทำการสืบสวนในบ้านของผู้อื่นนั้นคงเป็นการไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากหัวขโมยอยากจะเอาของกลับมาคืนให้ข้า แค่นั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากไม่เอามาคืน ก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตาก็แล้วกัน” สายตาของหนิงเมิ่งเหยาเย็นเยียบ
หยางจู้พยักหน้า “เจ้ารู้หรือว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
“ข้ารู้”
ชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่รู้สึกขนลุก และหันมองกันไปมา หยางจู้สงสัย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ลองนึกดูว่าผู้ใดกันที่ทำตัวไม่ปกติที่สุดตอนทุกคนมารวมกันเมื่อครู่”
ชาวบ้านสองสามคนนึกทบทวนบ้าง และหลังจากที่เหลือบตามองกันทีละคน พวกเขาก็พูดชื่อหนึ่งขึ้นมา
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นนาง”
“เช่นนั้นพวกเรารออะไรกันอยู่เล่า?”
“ไม่เป็นไร ให้โอกาสนางก่อนเถิด” หนิงเมิ่งเหยากล่าวสบายๆ
“พวกข้าจะรอข่าวจากเจ้า พวกข้าพร้อมจะช่วยเสมอ หากพรุ่งนี้นางยังไม่เอาของมาคืนเจ้า เจ้าก็บอกพวกข้าก็แล้วกัน”
“ตกลง” คนที่เหลือกลับไปช่วยเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว มีเพียงหยางจู้ และหนิงเมิ่งเหยาที่ยังอยู่ในห้อง
หยางจู้มองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความรู้สึกผิด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหนิงเมิ่งเหยาหมายความว่าอย่างไร? ภายใต้การดูแลของเขา ภายในกลุ่มชาวบ้านนั้นมีหัวขโมยอยู่ หากเรื่องนี้กระจายออกไป ผู้คนคงกล่าวว่าเขานั้นไม่รู้จักดูแลลูกบ้านให้ดี และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาคงไม่สามารถหาขอแก้ตัวใดมาอธิบายได้
หวังว่าคนผู้นั้นจะนำข้าวของกลับมาคืน อย่าทำให้ทุกคนต้องรู้สึกอับอายเลย
หนิงเมิ่งเหยาพูดคุยอะไรสองสามคำกับหยางจู้ก่อนกลับไป เมื่อนางออกไปนั้น นางถือถุงใส่ข้าวขาวซึ่งซื้อมาจากบ้านของหยางจู้ติดมือกลับมาด้วย
ที่บ้านของนางตอนนี้ไม่มีอะไรกินเลย หากนางไม่ซื้อ ก็คงหิวจนตาลาย
เมื่อมาถึงบ้าน หนิงเมิ่งเหยาหุงข้าวแล้วหยิบเนื้อกระต่ายสับและเห็ดบดขึ้นมา ก่อนลงมือทานพวกมันจนหมดทั้งสองจาน
หลังจากทานข้าวเสร็จ นางก็เดินไปที่ห้องเก็บของและเอาองุ่นออกมา นางล้างองุ่นทั้งพวงและกินตามลงไป องุ่นนั้นเปรี้ยวแต่ก็หวาน จัดว่ารสชาติดีมาก
เมื่อเห็นว่าหลังจากทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ดึกมากนัก หนิงเมิ่งเหยาก็ออกไปเช่ารถลากเพื่อเข้าเมือง ที่นั่นนางซื้อเหยือกสิบใบ ข้าว บะหมี่ และผักต่างๆ ก่อนออกมาในทันที
เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน ข้างนอกก็มืดมากแล้ว นางจ่ายเงินให้กับรถลากก่อนหาอะไรกินอย่างลวกๆ หลังจากนั้นนางจะได้เริ่มลงทำเหล้าองุ่นเสียที
เมื่อเห็นองุ่นพวกนั้น ในใจของนางมีความคิดหนึ่งปรากฏอยู่ และนั่นคือการทำเหล้าองุ่น แม้ว่านางจะสามารถทำองุ่นกวนได้ แต่นางไม่ได้ชอบมันเท่าใดนัก
พอนึกถึงเหล้าองุ่น ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาก็เป็นประกาย
หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามจัดการกับองุ่นทั้งหมด นางคิดในใจว่านางน่าจะยังสามารถทำเช่นนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ โดยใช้โอกาสจากการที่บนภูเขายังมีองุ่นขึ้นอยู่ นางจึงอยากทำเหล้าองุ่นมาเก็บไว้เพิ่มอีก ไม่เช่นนั้นนางคงดื่มไม่พอแน่
เมื่อนอนอยู่บนเตียง หนิงเมิ่งเหยาคิดนั่นคิดนี่จนกระทั่งผล๊อยหลับไป เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่สอง ท้องฟ้าช่างสดใส พอนางล้างหน้าเสร็จและมองออกไปด้านนอก ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะเย็นเยียบ ถ้าหัวขโมยไม่อยากได้โอกาสครั้งนี้ เช่นนั้นนางก็จะไม่ใจอ่อน
นางหันตัวกลับไปที่ห้องครัวเพื่อทำข้าวต้ม และหยิบเอากับข้าวที่นางทำไว้ออกมา หลังจากทานอาหารเสร็จ นางก็เดินทอดน่องตรงไปยังหมู่บ้าน
บทที่ 60 มีหรือไม่
ผู้ที่ไม่อยากรักษาหน้าของตนไว้ทั้งๆ ที่ยังได้รับโอกาสให้รักษา หัวขโมยคงคิดว่านางนั้นจะปล่อยเรื่องการลักเล็กขโมยน้อยนี้ไปได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ากล่าวหาว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่ออมมือให้ก็แล้วกัน
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาไปที่บ้านของหยางจู้ ตอนนั้นไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านสักคน นางเลิกคิ้วเล็กน้อย และนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาคงจะออกไปทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเดินไปที่แปลงเกษตร และเห็นว่าหยางจู้กับคนตระกูลของเขาอยู่ไม่ไกลออกไป หลังจากเห็นหนิงเมิ่งเหยา ผู้คนซึ่งกำลังทำการเก็บเกี่ยวอยู่ต่างก็ตัวแข็งทื่อ ดูเหมือนว่าหัวขโมยจะไม่ได้เอาข้าวของกลับมาคืนนาง
ก็ถ้าหากว่านางได้ของคืน แล้วนางจะมาที่นี่อีกหรือ? แน่นอนว่าไม่
“แม่หนูเมิ่งเหยา หรือว่า?”
“ใช่แล้ว ข้าไม่ได้ของคืน”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรา…”
“ลุงหยาง ยังไม่จำเป็น รอให้ถึงตอนค่ำก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กัน ตอนนี้การเก็บเกี่ยวนั้นสำคัญกว่า” เมื่อพูดเสร็จ นางก็ลงไปช่วย แม้ว่านางจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่นางก็ยังสามารถช่วยเก็บหูข้าวสาลีที่เหลืออยู่บนพื้นดินได้
และตลอดทั้งวัน หนิงเมิ่งเหยาช่วยตระกูลของหยางจู้ในการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ราวกับว่านางไม่มีอะไรต้องกังวล แต่เมื่อนึกถึงเงินทองซึ่งนางมีอยู่ในมือ ชาวบ้านก็เข้าใจ
นางไม่ได้ให้ความสนใจกับข้าวของซึ่งถูกขโมยไปแต่อย่างใด ทว่านางไม่สามารถกล้ำกลืนปล่อยการลักขโมยในครั้งนี้ไปได้
หลังจากผู้คนทยอยกันกลับบ้านไปทานมื้อค่ำ พวกเขาก็มารวมตัวที่บ้านของหนิงเมิ่งเหยาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มีเพียงแค่ตระกูลเดียวเท่านั้นที่ไม่มา
มีชาวบ้านใจดีคนหนึ่งเดินไปเรียกพวกเขาออกมา แต่เมื่อเข้าไปภายในบ้านก็เห็นบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยข้าวขาว หมี่ขาว หมั่นโถว มีแม้กระทั่งไก่ย่าง และเนื้อกระต่าย นี่มัน….
“เจ้าเข้ามาทำอะไรข้างในนี้?” เสียงทิ่มแทงของนางหลัวดังขึ้นข้างหูคนผู้นั้น
ชาวบ้านที่เข้ามาเรียกนางหลัวและตระกูลของนางใช้สายตาอันล้ำลึกจ้องมองนางหลัวก่อนกล่าวเบาๆ “หัวหน้าหมู่บ้านอยากให้ทุกคนไปจับขโมย”
ระหว่างที่พูด สายตาของเขาก็เสมองไปยังโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอาหาร สายตาคู่นั้นทำเอาหัวใจของนางหลัวหวาดหวั่น
เมื่อพูดจบ ชาวบ้านผู้นั้นก็กลับออกไปในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้นางหลัวได้กล่าวอะไร
หยางซิ่วเอ๋อร์มองที่มารดาของนาง ใบหน้านางซีดเผือด “ท่านแม่…”
“ไม่เป็นไร รีบๆ กินเสีย พวกเราเองก็จะไปดูเหมือนกัน ความกำลังจะแตกแล้ว” นางหลัวกล่าวอย่างหงุดหงิดเหมือนกับไม่พอใจ นั่นทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายนางก็กลืนคำพูดของตนลงท้องไป
หลังจากมื้อค่ำ นางหลัวและตระกูลของนางก็ไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เมื่อพวกนางไปถึง ชาวบ้านต่างใช้สายตาจับผิดจ้องตรงมายังพวกนาง สายตาเหล่านั้นทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“พวกเจ้ามองอะไรกัน?”
ฝูงชนยิ้มเย็นและไม่พูดอะไร เพียงหันไปมองหยางจู้ “หัวหน้าหมู่บ้าน นางมาแล้ว”
หยางจู้พยักหน้าก่อนหันไปมองหนิงเมิ่งเหยา ปล่อยให้นางเป็นผู้พูดเอง
หนิงเมิ่งเหยาเดินขึ้นมา และมองลงไปยังกลุ่มคนเบื้องล่าง ตามมาด้วยหยางเล่อเล่อซึ่งถือถุงผ้าสีขาวออกมา
“ทุกท่านคงสงสัยว่าข้าเอาถุงผ้าออกมาทำไม จริงๆ แล้ว สิ่งนี้เอาไว้ใช้เพื่อจับขโมย”
ผู้คนเริ่มพูดคุยกันเอง ถุงผ้าจะไปสามารถจับขโมยได้อย่างไรกัน?
“ข้าหวังว่าทุกท่านคงจะให้ความร่วมมือโดยดี ทุกๆ ท่านจะต้องล้วงถุงผ้าใบนี้ และผู้ใดที่ทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนถุงนั้นจะเป็นหัวขโมย” หนิงเมิ่งเหยายิ้มระหว่างอธิบาย
ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็คิดว่าคงไม่เป็นไร และพยักหน้ารับ หนิงเมิ่งเหยาหยิบถุง และเดินตรงไปยังฝูงชนเพื่อให้ทุกคนได้ล้วงมัน ไม่มีผู้ใดที่รอดพ้น มีบางคนที่พอจับแล้วก็พยายามจะเปิดดูข้างใน แต่การกระทำนั้นก็ถูกหยุดโดยหนิงเมิ่งเหยา นางกล่าวว่าค่อยเปิดดูพร้อมกันทีหลัง
หลังจากที่ทุกคนล้วงถุงผ้าจนครบ หนิงเมิ่งเหยาก็ให้ทุกคนแบมือ
และในทันใดนั้น ชาวบ้านต่างก็แตกตื่น “เหตุใดพวกข้าทุกคนจึงมีหมึกดำเปื้อนที่มือเล่า?” ไม่ใช่ว่า? ชาวบ้านต่างมองหน้ากันและเห็นว่าทุกคนล้วนมีหมึกอยู่บนฝ่ามือด้วยกันทั้งนั้น พวกเขารู้สึกไม่พอใจ ไม่ใช่ว่านี่เป็นการบอกว่าพวกเขาทุกคนเป็นขโมยหรอกหรือ?
ระหว่างนั้นหนิงเมิ่งเหยามองไปที่จุดหนึ่ง มีเพียงมือของนางหลัวเท่านั้นที่ขาวสะอาด
“ป้าหลัว? อาหารในบ้านข้าอร่อยหรือไม่?” หนิงเมิ่งเหยาเดินไปหยุดยืนที่ด้านหน้าของนางหลัวและจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางระหว่างถามทีละคำ
นางหลัวตื่นตระหนก เบิกตามองหนิงเมิ่งเหยา “มือของข้าไม่ได้มีสิ่งใดอยู่ เจ้าจะเอาอะไรมาบอกว่าข้าเป็นขโมย?”
หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ตอบ แต่กลับด้านถุงผ้าโดยเอาด้านในออกมาด้านนอกแทน ฝูงชนจึงเห็นว่าที่ก้นถุงน้ันมีจุดสีดำอยู่ นั่นคือน้ำหมึกที่หนิงเมิ่งเหยาใส่ไว้ด้านใน
เมื่อเอามือล้วงเข้าไปถึงก้นถุง มือก็จะเปรอะเปื้อนด้วยน้ำหมึก