ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 621 สิ่งชดเชยและคำขอโทษ + บทที่ 622 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 621 สิ่งชดเชยและคำขอโทษ + บทที่ 622 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
บทที่ 621 สิ่งชดเชยและคำขอโทษ
เฟิงหยวนมองไป๋อวี่อย่างมีน้ำโห “เจ้าไม่ผิดหรอก แต่ความผิดพลาดของเจ้าคือประเมินความสามารถของตนไว้สูงเกินไปต่างหาก เจ้าไม่ควรยั่วยุให้คนอื่นไปหาเรื่องสองคนนั้น” หากไม่ใช่เพราะทั้งสองยังเห็นแก่หน้าพวกเขาอยู่ เห็นทีว่าคนที่กลับมาวันนี้จะไม่ได้เจ็บตัวเพียงอย่างเดียว แต่อาจต้องเสียชีวิตไปด้วย
นางยังคงไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดแต่อย่างใด
“ท่าน…. ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเกลียดท่าน” นางยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะวิ่งร้องไห้ออกไป
หมิงเจ๋อมองด้านหลังของไป๋อวี่ขณะที่นางวิ่งจากไป เขาขมวดคิ้ว “ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เราไม่น่าพานางมาด้วยเลย ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงอยากให้พานางมาด้วย”
“ใครจะไปรู้เล่า”
“ศิษย์พี่ เราจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ดี” หมิงเจ๋อค่อนข้างเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เขายกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง บนใบหน้ามีสีหน้าอับจนหนทาง “เตรียมของเราสองคนจะไปขอโทษพวกเขากัน”
แม้หมิงเจ๋อดูจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก แต่หลังจากเห็นเฟิงหยวนแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา เขาก็พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ในใจนั้นรู้สึกเกลียดชังไป๋อวี่ยิ่งนัก
ทั้งสองเตรียมของแล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของหนิงเมิ่งเหยา
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นศิษย์น้องของพวกข้าเองที่ไร้เหตุผล โปรดเข้าใจด้วยเถิดว่านางยังเด็กนัก” เฟิงหยวนวางของที่นำมาไว้บนโต๊ะหิน เขามองทั้งสอง จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงที่ฟังดูไม่แข็งกระด้างและไม่อ่อนน้อมถ่อมตนจนเกินไปกล่าวขอโทษพวกเขา
แต่หนิงเมิ่งเหยากลับทำเพียงเล่นกับนิ้วตัวเอง มุมปากของนางมีรอยยิ้มเยาะหยัน “ยังเด็กอยู่หรือ ถ้าข้าคิดไม่ผิด ศิษย์น้องของเจ้าน่าจะอายุได้สิบหกหรือสิบเจ็ดปีแล้วนี่ จะเรียกหญิงสาวอายุขนาดนั้นว่าเด็กได้อย่างไร”
ในยุคนี้หญิงอายุเท่านางบางคนถึงกับเป็นแม่คนแล้วด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่านางเป็นเด็กสามขวบหรือจึงบอกว่าหญิงอายุเท่านั้นยังเป็นเด็กอยู่
เฟิงหยวนถึงกับอับจนวาจา หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือไป๋อวี่อายุย่างเข้าสิบแปดปีแล้ว
“เช่นนั้นพวกท่านต้องการอะไร” หมิงเจ๋อนิ่วหน้า มีร่องรอยแห่งความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
หนิงเมิ่งเหยามองหมิงเจ๋อราวกับกำลังล้อเลียน “ต้องการอะไรน่ะหรือ นี่ควรเป็นสิ่งที่พวกข้าถามกับพวกเจ้าต่างหาก สำนักของเจ้าตั้งใจจะทำอะไรจึงส่งคนพวกนั้นมาที่นี่”
เฉียวเทียนช่างยกมือขึ้นจับไหล่ของหนิงเมิ่งเหยา “อย่าโมโหไป”
“ข้าไม่ได้โมโห”
“อืม ไม่ได้โมโหก็ไม่ได้โมโห” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาเหมือนเขากำลังคุยกับเด็กเล็กๆ อยู่ สายตานั้นทำเอาหนิงเมิ่งเหยาถึงกับพูดไม่ออก
หลังปลอบหนิงเมิ่งเหยาให้หายหงุดหงิดได้ เฉียวเทียนช่างจึงหันไปมองเฟิงหยวนกับหมิงเจ๋อ “ข้าไม่สนว่าจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร แต่อย่าเอาเราเข้าไปเกี่ยวด้วยเด็ดขาด”
พวกเขาไม่มีเวลามาข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้
“สามีของข้าพูดถูกแล้ว ถ้าพวกเจ้าอยากได้กระบี่หิมะโปรย แล้วทำไมจึงไม่ประมูลต่อเล่า ในเมื่อพวกเจ้ายอมแพ้ไปแล้ว ก็เลิกมาหาเรื่องเราอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเช่นนี้เสียที โดยเฉพาะแม่นางผู้นั้น” ความคิดอ่านของหญิงผู้นั้นจัดได้ว่าวิกลจริตยิ่งนัก นางไม่อยากตกเป็นเป้าหมายของคนบ้าหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นมีแต่จะทำให้อายุของนางสั้นลง
เฟิงหยวนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ข้าแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ทราบแล้วเช่นกัน พวกเราจะไม่มาสร้างปัญหาให้กับเจ้าอีก”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” หนิงเมิ่งเหยาไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูด หญิงคนที่ชื่อไป๋อวี่นั่นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย
เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยา เขาเอื้อมมือดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “กลับไปได้แล้ว”
พวกเขาถูกไล่กลับโต้งๆ คงมีเพียงเฉียวเทียนช่างคนเดียวที่กล้าพูดเช่นนั้นออกมา
สีหน้าของเฟิงหยวนและหมิงเจ๋อกระด้างขึ้นในพริบตา ทั้งสองมองเฉียวเทียนช่างด้วยสายตาแปลกๆ มุมปากของพวกเขากระตุกเล็กน้อย แต่ก็ยอมกลับไปแต่โดยดี
ทางเฟิงหยวนเก็บอารมณ์ได้ดีกว่า แต่สีหน้าของหมิงเจ๋อบูดบึ้งยิ่งนัก หลังออกมาจากบ้านหลังนั้น หมิงเจ๋อกัดฟันกรอดก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเขากล้าดียังไงถึงได้ปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนั้น”
“ช่างเถอะ ในเมื่อเราจำต้องช่วยศิษย์น้องจัดการเรื่องนี้ เราก็ต้องทำให้ดี” เฟิงหยวนขมวดคิ้ว เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ เช่นกัน
หมิงเจ๋อโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด “ข้าจะไม่จัดการเรื่องที่ยายบ้านั่นไปก่อไว้อีกแล้ว” ครั้งนี้พวกเขาทุกคนล้วนเสียหน้าจนแทบไม่เหลือสิ่งใดให้เสียอีกแล้ว เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก
เฟิงหยวนพยักหน้า “ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการจะบอก ข้าก็รู้สึกแบบเดียวกัน”
เขาเบื่อหน่ายกับการต้องคอยตามเช็ดตามล้างปัญหาที่คนอื่นก่อเอาไว้ยิ่งนัก วันนี้เขาเองก็เสียหน้าไม่ต่างกัน เขาไม่อยากทำเช่นนี้อีกแล้ว
หมิงเจ๋อถอนหายใจออกมาเบาๆ “ให้คนส่งนางกลับเถอะ นางอยู่ไปก็รังแต่จะทำลายแผนของเรา”
“ข้าจำต้องปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เสียก่อน”
หมิงเจ๋อขมวดคิ้ว หากพวกเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ต้องไม่ยินยอมที่จะส่งตัวนางกลับไปแน่นอน เพราะคนที่สั่งให้พานางติดตามมาด้วยก็คือเขาเอง
บทที่ 622 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
หมิงเจ๋อมองไปข้างนอกด้วยท่าทางร้อนใจพร้อมกับบ่นออกมา “ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าท่านอาจารย์คิดอะไรอยู่ หรือเขาไม่รู้ว่าไป๋อวี่มีแนวโน้มที่จะทำให้แผนของเราพังไม่เป็นท่า”
เหมือนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นางส่งคนไปลอบสังหารสามีภรรยาคู่นั้นและนำความเดือดร้อนมาให้เขาสองคน
เรื่องคงไม่มาถึงขั้นนี้หากไม่ใช่เพราะนาง ถึงท้ายที่สุดแล้วพวกเขากับคู่สามีภรรยาคู่นั้นจะไม่ได้เป็นมิตรต่อกัน แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงไม่ย่ำแย่ไปกว่านี้
แต่เพราะการกระทำของไป๋อวี่ ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักชิงหลินและทงเป่าไจจึงต้องอยู่บนน้ำแข็งบางๆ เท่านั้น หากทางนั้นไม่ใส่ใจก็คงดี แต่ถ้าพวกเขารู้สึกไม่พอใจ สำนักชิงหลินคงไม่ได้รับการละเว้นแน่
“กักบริเวณไป๋อวี่สักหน่อย” เฟิงหยวนขมวดคิ้ว สุดท้ายเขาก็เอ่ยได้เพียงเท่านี้
หมิงเจ๋อมองศิษย์พี่ของตน “ศิษย์พี่ ท่านคิดหรือว่าเราจะกักบริเวณนางได้”
ไป๋อวี่เป็นผู้ใดกัน นางเป็นลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์โปรดปรานที่สุด เขาเอ็นดูนางยิ่งกว่าบุตรชายของตนเสียด้วยซ้ำ
เฟิงหยวนครุ่นคิดถึงปัญหานี้อยู่เช่นกัน “ถ้านางยังไม่เลิก ก็ส่งนางกลับเสีย”
ด้านหนึ่งเฟิงหยวนกำลังรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง ไป๋อวี่กลับกำลังคิดหาวิธีชิงกระบี่หิมะโปรยมาไว้ในมือ
เมื่อไป๋อวี่เห็นศิษย์ร่วมสำนักได้รับบาดเจ็บสาหัส สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ “พี่… พี่ใหญ่… กะ.. เกิดอะไรขึ้น”
“เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ”
หนิงเมิ่งเหยาเอนกายซบเฉียวเทียนช่างอยู่ภายในสวน นางมองท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆ ดวงตาเหม่อมองออกไป “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องเราอีกหรือไม่”
“เจ้ากลัวจะมีเรื่องหรือ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” หนิงเมิ่งเหยาทบทวนความคิด นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองสามีของตน
เฉียวเทียนช่างยกมือขึ้นเล่นกับผมยาวๆ ของหนิงเมิ่งเหยา บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแห่งความรักใคร่ปรากฏขึ้น สุดท้ายจึงก้มหน้าลงหอมแก้มนาง “เจ้านี่นะ.. เราอย่าคุยเรื่องนี้กันดีกว่า”
“อืม เช่นนั้นเราไปเมืองหลวงกันเถอะ”
อยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่เหมาะ
หนิงเมิ่งเหยาคิดตรงกับสิ่งที่เฉียวเทียนช่างกำลังคิดอยู่ “เอาสิ เก็บของกันเถอะ ได้เวลาที่เราต้องไปแล้ว”
หลังชี้แจงคำสั่งกับชิงซวงและคนที่เหลือเป็นที่เรียบร้อย เหล่าข้ารับใช้ต่างช่วยกันขนย้ายของจำเป็นทุกอย่างขึ้นเกวียน จากนั้นพวกเขาจึงออกเดินทางในช่วงบ่ายวันนั้น
เฟิงหยวนพาตัวไป๋อวี่มาที่บ้านหลังจากคณะของหนิงเมิ่งเหยาเดินทางออกไปแล้ว เดิมทีพวกเขาตั้งใจว่าจะมาขอโทษคู่สามีภรรยาทั้งสอง แต่ใครเล่าจะรู้ว่าคนทั้งคู่จะออกจากที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขายิ่งนัก
เฟิงหยวนมองบานประตูที่ปิดสนิท พวกเขาถามคนที่อยู่แถวนั้นและได้ความว่าทั้งตระกูลจากไปแล้ว
“ศิษย์พี่ พวกเขาไปไหนกัน” หมิงเจ๋อมองประตูที่ปิดอยู่ เขาสังหรณ์ใจว่าภารกิจของตนที่เหมียวเจียงในครั้งนี้นั้นคงไม่มีทางสำเร็จ
“ข้าไม่รู้ ไปกันเถอะ” เฟิงหยวนหันหลังกลับ
เมื่อไป๋อวี่เห็นทั้งสองไม่สนใจตน นางจึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ รอข้าด้วย อย่าลืมว่าท่านสัญญากับท่านท่านอาจารย์ว่าจะดูแลข้า” หากคำพูดของนางไม่มีน้ำหนัก คำพูดของท่านอาจารย์ก็น่าจะมีน้ำหนักมากกว่า ถูกไหม
เฟิงหยวนหยุดฝีเท้า จากนั้นจึงหันไปมองไป๋อวี่ “หากไม่ใช่เพราะความประสงค์ของท่านอาจารย์ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมให้คนอื่นเหยียบหน้าได้หรือ”
“ท่าน….”
“ไป๋อวี่ หากเจ้าไม่รู้ว่าจะควบคุมตัวเองอย่างไร เจ้าก็กลับไปเสีย อย่าพาเราล่มจ่มไปกับเจ้าด้วยจะดีกว่า” หมิงเจ๋อไม่ใช่คนคุยง่ายเหมือนเฟิงหยวน
หลังจากที่เข้ามาในเหมียวเจียง หญิงผู้นี้เอาแต่ทำตัวเลือกที่รักมักที่ชัง นางเอาแต่บ่นว่าอันนี้ดีอันนั้นไม่ดี เขาที่ต้องคอยฟังทุกคำพูดจากปากของนางนั้นนึกอยากจะจับนางยัดใส่ลังแล้วส่งกลับสำนักเสียเหลือเกิน
“ศิษย์พี่รอง ท่าน…”
หมิงเจ๋อมองท่าทางโกรธขึงของไป๋อวี่ด้วยสายตาเย็นชา “เพียงเพราะท่านอาจารย์ถูกใจเจ้า เจ้าจึงคิดว่าตนจะทำผิดกฏได้ทุกข้อหรือ มีคนอีกมากมายนักที่เจ้าไม่ควรไปหาเรื่องด้วย”
“ศิษย์พี่รอง ท่านเกลียดข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
“ใช่ ศิษพี่ใหญ่ ไปกันเถอะ”
เฟิงหยวนปรายตามองไป๋อวี่ก่อนจะเดินไปยืนข้างกายของหมิงเจ๋อ ทั้งสองเดินจากไปโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าไป๋อวี่จะตามมาหรือไม่
ไป๋อวี่โกรธจนตาแดงก่ำ นางจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านอาจารย์แน่ และจะให้เขาลงโทษคนทั้งสองหนักๆ ด้วย
ไม่ว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจะทะเลาะเรื่องอะไรกันอยู่ แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหนิงเมิ่งเหยา
หนิงเมิ่งเหยาอุ้มเฉียวโม่ซาง นางกำลังสอนเขาพูดอยู่ ส่วนเฉียวเทียนช่างและเฉียวโม่เฟิงนั้นกำลังนั่งคุยกันเบาๆ อยู่ด้านข้าง
หนิงเมิ่งเหยาเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกัน และรู้ว่าเฉียวเทียนช่างกำลังสอนสิ่งที่อยู่ในหนังสือและเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนให้เด็กชายฟังอยู่