ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 629 รอให้นางมาถึง + บทที่ 630 จวนใหญ่ตระกูลเว่ย
บทที่ 629 รอให้นางมาถึง
ตอนตามจับตัวพวกมัน พวกเขาตรวจสอบทุกอย่างในสถานที่นั้นโดยละเอียดแล้ว ทว่ากลับไม่พบร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย บนภูเขามีรอยเท้าสัตว์อยู่บ้าง แต่กลับไม่มีร่องรอยของมนุษย์แต่อย่างใด นั่นทำให้พวกเขาสับสนยิ่งนัก
คนที่ส่งไปตามจับไม่ได้ออกจากสถานที่แห่งนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่พวกหนานกงเยี่ยนกลับหายตัวไปอย่างรวดเร็วราวติดปีกบิน
แน่ล่ะว่าพวกเขาไม่สามารถรายงานเช่นนั้นได้ หากพวกเขาเอ่ยขึ้นมา จะต้องถูกลงโทษแน่
ริมฝีปากของราชครูโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ แต่บรรยากาศรอบกายกลับทำให้ชายที่อยู่บนพื้นตัวสั่นงันงก เขาเกร็งตัวขึ้นในทันที
“นายท่าน…”
“ส่งคนออกไปหาตัวพวกมันต่อไป” ตราบใดที่พวกมันยังไม่ออกจากเหมียวเจียง พวกมันต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยตัวเองแน่
แต่เหมือนเขาจะมองข้ามอะไรไป ราชครูคาดไม่ถึงว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการปลอมตัวที่เก่งพอจะตบตาคนของเขาให้คลาดสายตาจากอีกฝ่ายไปได้อยู่ในนั้นด้วย
เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ราชครูหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของเขาทำให้องครักษ์หน้าห้องรู้สึกประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกับท่านราชครูกัน เหตุใดจู่ๆ จึงอารมณ์ดีถึงเพียงนี้ ดูเหมือนเขาเพิ่งจะได้รับข่าวดีมา
หลังจากหยุดหัวเราะ ราชครูจึงหมุนตัวแล้วเดินลงไปยังห้องลับภายในจวนของตน เขาก้าวเข้ามาภายในห้องศิลาและมองหญิงผู้หนึ่งที่ยังคงหลับนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง
“นางกำลังมา เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียที เจ้าคิดว่าข้าโกหกเจ้าอยู่หรือ นางฉลาดปราดเปรียวอย่างกับจิ้งจอก ข้าได้ยินมาว่าลูกชายของนางน่ารักน่าชังยิ่งนัก…” ราชครูนั่งลงข้างเตียง เขามองหญิงสาวบนเตียงแล้วเริ่มพูดต่อไปเรื่อยๆ บนใบหน้ามีความรู้สึกสิ้นหวังอันรุนแรงปรากฏอยู่
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็พูดสิ่งที่ควรพูดจนจบ เขาพูดกระทั่งสิ่งที่ไม่ควรจะพูดออกมาด้วยซ้ำ แต่เขารู้แก่ใจดีกว่าลมหายใจของคนบนเตียงยังคงสม่ำเสมอและไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นเดิม เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาทันที
“หลังจากหลับมาเนิ่นนานหลายปีเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ลืมตาขึ้นมาเสียที เจ้าไม่อยากเจอลูกสาวหรือ เจ้าไม่อยากเห็นหน้าหลานชายหรือ”
เมื่อเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงยังคงเป็นเช่นเดิม ร่องรอยแห่งความผิดหวังก็ฉายชัดขึ้นในดวงตาของราชครู เขาคิดว่านางต้องตื่นขึ้นในเร็วๆ นี้แน่หากเขาเล่าเรื่องลูกสาวของนางให้นางฟังทุกวัน แต่นี่ก็ผ่านไปเป็นปีแล้ว นางกลับยังคงหลับสนิทเหมือนเดิม หมอที่เข้ามาตรวจชีพจรนางกล่าวว่าไม่มีปัญหาอันใด พิษที่อยู่ในร่างก็ถูกรักษาจนหายเป็นปลิดทิ้ง แต่หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดนางจึงไม่ตื่นขึ้นมา ราวกับนางไม่ยอมตื่นขึ้นมาเอง
ราชครูมองคนที่ดวงตาปิดสนิทอยู่บนเตียง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังรู้สึกแค้นเคืองข้านักที่พาเจ้ามายังที่แห่งนี้ แล้วยังปล่อยให้เจ้าอยู่แต่ข้างล่างนี่ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าติดตามชายผู้นั้นไป ถึงเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นในอดีต และไม่มีหญิงใดอยู่ข้างกายเขา แต่ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าไป”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น ราชครูยังคงจ้องมองคนที่อยู่บนเตียง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องผิดหวัง
เขายื่นมือไปสัมผัสแก้มของนาง ราชครูหัวเราะออกมา “ไม่ว่าเจ้าจะลืมตาขึ้นมาหรือไม่ แต่ลูกสาวของเจ้าก็จะมาหาเจ้าในไม่ช้านี้แน่ เราสองคนจะรอคอยการมาเยือนของนางด้วยกัน”
ราชครูลุกขึ้นแล้วกลับออกไป หลังจากกลับเข้ามาในห้อง เขาก็นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะทำงานของตน จากนั้นจึงตรวจสอบข่าวที่เขาได้มาจากหลายๆ คน
เมื่อเขากวาดตาอ่านเนื้อหาภายใน ราชครูถึงกับขมวดคิ้วแน่น เด็กคนนั้นรู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
เมื่อคิดว่าสุดท้ายนางเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับตระกูลเว่ยขึ้นมา
มือข้างหนึ่งของเขาก็เคาะลงบนโต๊ะ ราชครูหรี่ตาลง เขาควรไปเตือนสติเด็กคนนั้นหรือไม่
นางพาเด็กมาด้วย พอมาถึงที่นี่นางคงถูกคนจากตระกูลเว่ยเจอตัวทันที หากเวลานั้นมาถึง มันคงสายเกินไป
แต่… ประกายบางอย่างปรากฏขึ้นในดวงตาของราชครู เขานึกอยากเห็นเหลือเกินว่าเด็กคนนั้นจะจัดการอย่างไร
ราชครูยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง “หาทางให้หนิงเมิ่งเหยาแยกกับเฉียวเทียนช่าง”
“ขอรับ”
ระหว่างการเดินทาง สองสามีภรรยาไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งใดที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่
“เทียนช่าง ข้ารู้สึกว่าเหมียวเจียงช่างแตกต่างจากเมืองเซียวยิ่งนัก ที่แห่งนี้งดงามเหลือเกิน” หนิงเมิ่งเหยาได้ข้อสรุปนี้หลังจากออกเดินทางมาได้สองสามวัน
แม้ว่าจะมีทั้งต้นไม้และภูเขาเหมือนกัน แต่ที่นี่ก็แตกต่างจากเมืองเซียวจริงๆ
บทที่ 630 จวนใหญ่ตระกูลเว่ย
เฉียวเทียนช่างมองออกไปข้างนอก สำหรับเขาแล้วทุกหนแห่งล้วนเหมือนกัน สิ่งที่เรียกว่าทิวทัศน์อันงดงามในสายตาของหนิงเมิ่งเหยานั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่เขาไม่มีทางคัดค้านคำพูดของหนิงเมิ่งเหยาได้ “หากเจ้าชอบ พอกลับไปแล้วเราเดินทางเที่ยวไปหลายๆ ที่ดีไหม ในเมืองเซียวเองก็มีสถานที่ที่มีทิวทัศน์เช่นนี้เหมือนกัน บางแห่งยังสวยกว่าที่นี่เสียอีก”
“เอ๋ เอาสิ ถึงตอนนั้นแล้วครอบครัวเราทั้งสี่คนค่อยไปพร้อมกันนะ” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างด้วยดวงตาเป็นประกาย
ดูเหมือนพวกนางไม่เคยได้มีช่วงเวลาดีๆ เลยนับตั้งแต่แต่งงานกันมา หวังว่าหลังจากกลับบ้าน พวกนางจะได้ไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันเสียที นับว่าเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ยิ่งคิดตาม หนิงเมิ่งเหยาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีโอกาสเป็นไปได้ แม้จะมีก้างขวางคอชิ้นเล็กๆ สองชิ้นติดตามพวกนางไปด้วยก็ตาม
เฉียวโม่เฟิงนั่งอยู่ด้านข้างพลางฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขา เด็กชายพลันเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ท่านแม่ บ้านเราหน้าตาเป็นอย่างไรหรือขอรับ”
“หน้าตาเป็นอย่างไรน่ะหรือ หากเจ้ากลับไปกับพวกเรา เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เองล่ะ เจ้าต้องชอบที่แห่งนั้นแน่” หนิงเมิ่งเหยากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหวหลังจากนึกถึงจวนของพวกตน หากนางถูกบังคับให้บอกว่าชอบที่ไหนที่สุด แน่นอนว่าคำตอบคงเป็นหมู่บ้านไป๋ซานแห่งเดียวเท่านั้น
เฉียวเทียนช่างยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเฉียวโม่เฟิง “หลังจากที่เรากลับบ้าน พ่อจะเตรียมหาสถานศึกษาไว้ให้เจ้า เจ้าอยากไปหรือไม่”
“อยากขอรับ” เฉียวโม่เฟิงตอบด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา ข้างๆ เขามีเพียงเฉียวโม่ซางที่รู้จักแค่การเรียกท่านแม่ ท่านพ่อ และพี่ชายเช่นเขาอยู่ด้วย ไม่มีเด็กคนอื่นอีก ดังนั้นเขาจึงอยากไปสถานศึกษาและผูกสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ บ้าง
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เจ้าขอให้พ่อสอนก็ได้นะ เขารู้เรื่องพวกนั้นดี”
เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่ยิ้ม ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนั้น ข้าคงไม่สามารถเทียบกับเจ้าได้”
หลังจากกลอกตาใส่เฉียวเทียนช่างไปหนึ่งยก หนิงเมิ่งเหยาจึงมองเขาด้วยท่าทางอับจนคำพูด นางกัดฟันแล้วถามขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่ใจ”
“เฟิงเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าต้องเป็นบัณฑิตที่เฉลียวฉลาดที่สุด ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะเข้าใจถึงการทำตัวให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย ส่วนเรื่องศิลปะสี่แขนง เจ้าสามารถเลือกเรียนแค่ศาสตร์ที่เจ้าสนใจได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญ แต่ต้องคุ้นเคยกับมัน เข้าใจหรือไม่” สีหน้าของหนิงเมิ่งเหยาขณะพูดเรื่องนี้ดูจริงจังราวกับเป็นคนละคน
เฉียวโม่เฟิงพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับท่านแม่”
ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของเฉียวโม่เฟิงจึงจมอยู่กับความทรมานแสนสาหัส ทุกๆ วัน เฉียวเทียนช่างจะสอนวรยุทธ์ให้เขา ส่วนหนิงเมิ่งเหยาจะสอนเขาเล่นหมากล้อมและกู่ฉิน แม้ว่าเวลาทั้งหมดของเขาจะเต็มไปด้วยตารางเรียน แต่เขาก็เพลิดเพลินไปกับมัน เขารู้สึกสนใจสิ่งที่เขาได้ร่ำเรียนอย่างสุดหัวใจ
หลังมีตารางเรียนเช่นนั้นเข้ามา การเดินทางก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เมื่อทั้งกลุ่มเดินทางมาถึงเมืองหลวง เฉียวโม่เฟิงก็สามารถเล่นกู่ฉินได้อย่างไพเราะแล้ว
ชิงซวงมองเฉียวโม่เฟิงอย่างมีความสุข “นายน้อย ท่านเล่นได้ไพเราะขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
นางเคยได้ยินหนิงเมิ่งเหยาเล่นเพลงนี้มาก่อน เคยมีคนที่อยากเรียนกู่ฉินกับนาง แต่หลังจากหนิงเมิ่งเหยาฟังพวกเขาเล่นจนจบ นางก็สาธยายขึ้นมาทันทีว่าพวกเขาเล่นแย่ขนาดไหน
เฉียวโม่เฟิงมองชิงซวงอย่างพูดไม่ออก “ท่านน้าชิงซวง ข้าเพิ่งเริ่มเรียนขอรับ ต่อไปข้าจะเก่งขึ้นกว่านี้อีก”
ชิงซวงยกมือขึ้นลูบจมูกของตนอย่างประหม่า จู่ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมา
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
หลังจากที่เข้ามาในเมือง ใบหน้าของเฉียวโม่เฟิงพลันซีดเผือด หนิงเมิ่งเหยาสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ได้ในทันที นางรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “เฟิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น อย่าแกล้งให้แม่ตกใจเช่นนี้”
เฉียวโม่เฟิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่ ชิงซวงคว้าข้อมือของเขาขึ้นมาจับชีพจร หัวใจของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าอันย่ำแย่ของเฉียวโม่เฟิง เขากดจุดที่ต้นคอของเด็กชาย เฉียวโม่เฟิงตัวอ่อนยวบล้มลงในอ้อมแขนของชิงซวง
หนานอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างอุ้มเขาขึ้นจากอ้อมกอดของชิงซวงโดยไม่พูดอะไร เขาขมวดคิ้ว และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“นี่คงเป็นความกลัวจากจิตใต้สำนึกของเฟิงเอ๋อร์” หนิงเมิ่งเหยานิ่วหน้าพลางเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
จวนใหญ่ของตระกูลเว่ยอยู่ที่นี่ เขาได้รับการปฏิบัติอันไร้ความเมตตาเช่นนั้น หากเขาจะมีความกลัวในใจเพราะเหตุนี้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“หาที่พักก่อนแล้วค่อยคุยกัน”