ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 69 แม่นมฉินช่างน่ากลัวนัก + บทที่ 70 ความคิดเล็กๆ ของหยางชุ่ย
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 69 แม่นมฉินช่างน่ากลัวนัก + บทที่ 70 ความคิดเล็กๆ ของหยางชุ่ย
บทที่ 69 แม่นมฉินช่างน่ากลัวนัก
เจี่ยงเฉวียนมองแม่นมฉินอย่างอับจนวาจา อยากจะพูดกับนางสักหนึ่งประโยคว่า เจ้าอยากจะเปลี่ยนเรื่องรึ แต่เมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่กล่าวอะไรอันเป็นการทำให้นางไม่พอใจ
“เอาล่ะ มันไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้กันเสียหน่อย ถึงแม้ว่าคุณหนูจะไม่สนใจ แต่อย่างไรเสียพวกเรายังต้องไปสั่งสอนหลิงหลัวเสียหน่อย” เจี่ยงเฉวียนหรี่ตา น้ำเสียงฟังดูอันตราย
ในตอนแรก เมื่อหลิงหลัวอยู่กับคุณหนูนั้น คุณหนูบอกให้พวกเขาช่วยหลิงหลัวทำงาน เพราะเหตุนี้ตำแหน่งในจวนขุนนางของหลิงหลัวจึงค่อยๆ สูงขึ้น แต่ตอนนี้ แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งสูง กลายเป็นทายาทของตระกูล แต่เขากล้ามาขอให้คุณหนูไปเป็นอนุภรรยาหรือ? รนหาที่ตายชัดๆ
“ใช่ ปล่อยข่าวออกไป บอกให้พวกเขาเริ่มกดดันร้านรวงของจวนขุนนาง แต่อย่าให้มันเอิกเกริกนัก” แม่นมฉินพยักหน้า มองชิงเสวี่ย และคนที่เหลือพลางกล่าวอย่างเย็นชา
“รับทราบ”
พวกเขาเพิ่งจะมาถึงที่นี่ และไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้สักเท่าใดนัก ดังนั้น จึงตัดสินใจลองเดินสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยกัน และรู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
มีสระน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ในการเพาะพันธุ์ปลา กุ้ง และปูได้ เต่าและรากบัวนั้นสามารถนำมาไว้ที่บ่อได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน คงจะมีอะไรให้เก็บเกี่ยวมากมายนัก
ชิงจู๋สังเกตรอบๆ “พวกเราสามารถปลูกสมุนไพรตรงนี้ได้”
“เอ๋?”
“เพื่อป้องกันไม่ให้ไก่ และเป็ดเป็นโรค” พวกเขามีที่ดินเช่นนี้อยู่ในมือเช่นกัน และที่ดินทุกผืนต่างก็ปลูกพืชสมุนไพรไว้ตรงนั้น
“เช่นนั้นเรื่องนี้ขอยกให้เจ้าจัดการ” แม่นมฉินพยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่ชิงจู๋คอยดูแลมาตลอด
ชิงจู๋ส่งเสียงตอบรับในลำคอ เป็นการบ่งบอกว่านางรับทราบแล้ว พวกเขาเดินรอบบ้านด้วยกัน และเมื่อกลับมาถึง หนิงเมิ่งเหยายังคงพูดคุยกับเฉียวเทียนช่างอยู่ ภาพที่ทั้งสองเข้ากันได้ดีนั้นทำเอาแม่นมฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อน” เฉียวเทียนช่างไม่อยากจะพูดอะไรต่อยามเมื่อเห็นหญิงชราอยู่ที่นี่ นางทำราวกับเขาไปขโมยของของนางมา
เมื่อมองเฉียวเทียนช่าง และหันไปมองแม่นมฉิน หนิงเมิ่งเหยาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร? นางยิ้ม และพยักหน้า “ตกลง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้คนไปเรียกเจ้า”
“ตกลง”
เมื่อเฉียวเทียนช่างกลับไป แม่นมฉินก็เดินมาข้างหน้า “คุณหนู ท่านชอบบุรุษผู้นั้นหรือเจ้าคะ?”
หนิงเมิ่งเหยาเอามือก่ายหน้าผากด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความอับจนหนทางขณะมองแม่นมฉิน “แม่นมฉิน เราไม่คุยกันเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คุณหนู ข้า…”
“แม่นมฉิน ท่านก็รู้นี่ว่าคุณหนูสร้างโรงงานเสร็จแล้ว พวกเราไปดูกันเถิด มิฉะนั้น คงไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ” ชิงเสวี่ยเห็นสีหน้าลำบากใจของหนิงเมิ่งเหยา จึงเอ่ยขึ้นมา
แม่นมฉินคิดอีกรอบ และเห็นว่าเป็นจริงดังที่พูด เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ให้ละเอียด และชัดเจน ดังนั้นนางจึงออกไปพร้อมกับชิงเสวี่ย และเด็กสาวคนอื่นๆ ทิ้งให้หนิงเมิ่งเหยา และเจี่ยงเฉวียนอยู่ที่บ้าน
“คุณหนูยังกลัวแม่นมฉินอยู่สินะขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะอย่างขมขื่นพลางหันไปหาเจี่ยงเฉวียน “ลุงเจี่ยง ท่านก็รู้ว่าข้าทนคำบ่นของแม่นมฉินไม่ได้จริงๆ ข้ากับพี่เฉียวเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น เขาดีกับข้ามาก และคอยช่วยข้าอยู่บ่อยครั้งตอนอยู่ที่นี่”
ในอดีตนั้นเฉียวเทียนช่างได้ช่วยนางมาหลายครั้งอย่างว่าจริง เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทางที่ดี แม่นมฉินก็แน่ใจยิ่งนักว่านางคงชอบเขา นั่นทำให้หัวใจของนางรู้สึกแปลกๆ นางจะชอบเขาโดยที่ตัวเองไม่รู้ได้อย่างไร?
“คุณหนูจะไม่รู้ว่าแม่นมฉินเป็นคนเช่นไรได้อย่างไรกันขอรับ? นางเพียงแค่เป็นห่วงท่านเท่านั้นขอรับ” เจี่ยงเฉวียนยิ้มให้หนิงเมิ่งเหยาด้วยใบหน้าอ่อนโยน
หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจหนักๆ มองเจี่ยงเฉวียนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ข้ารู้ว่านางทำเช่นนี้เพื่อข้า แต่วิธีการที่นางใช้สื่อสารนั้นมันเถรตรงเกินไป ทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆ” ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉียวเทียนช่างนั้นบริสุทธิ์ และยังสามารถบริสุทธิ์ยิ่งกว่านี้ได้อีก
แต่การโดนแม่นมฉินกล่าวเช่นนั้นมันราวกับว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาจริงๆ
เจี่ยงเฉวียนยิ้มให้หนิงเมิ่งเหยาอย่างเบิกบาน ก่อนส่ายศีรษะอย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไร แต่พอเขากำลังจะกล่าวขึ้นมา หญิงสาวผู้หนึ่งก็วิ่งมาจากด้านนอก
หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตา นั่นไม่ใช่หยางซิ่วเอ๋อร์หรอกหรือ?
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หยางซิ่วเอ๋อร์มองหนิงเมิ่งเหยาก่อนจะตัวแข็ง ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไรเรื่องการปล่อยตัวมารดาของนาง
“เมิ่งเหยา คิดซะว่าข้าขอร้องเจ้าเถิด ปล่อยแม่ของข้าไปเถอะนะ นางแก่ขนาดนั้น นางจะตายในคุกเอาได้” หยางซิ่วเอ๋อร์อ้อนวอนหนิงเมิ่งเหยา
หนิงเมิ่งเหยาสูดลมหายใจลึกๆ ดวงตาที่นางใช้มองหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาดุจน้ำแข็ง “เหตุใดข้าจึงควรปล่อยตัวนางหรือ? มันแค่สามเดือน มิใช่สามปีเสียหน่อย อีกอย่าง นางทำอะไรลงไปนะ? แล้วตอนนี้เจ้าจะมาขอร้องข้าหรือ?”
บทที่ 70 ความคิดเล็กๆ ของหยางชุ่ย
หนิงเมิ่งเหยาเกลียดคนประเภทนี้เข้าไส้ พวกเขารู้จักเพียงแค่การร้องขอการให้อภัยหลังจากทำในสิ่งที่เลวร้ายลงไปแล้ว นางอดทนมาหลายครั้งหลายครา พวกเขายังจะเอาอะไรอีก? พวกเขาคิดหรือว่านางเป็นเหยื่อให้กลั่นแกล้งได้ง่ายๆ?
แม่นมฉินเห็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณหนูคุกเข่าอยู่ต่อหน้านางตอนที่พวกนางกลับมา นางจึงขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปหา และเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนนั่งอยู่บนพื้น “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร ข้าจะส่งต่อเรื่องโรงงานให้ท่าน” หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้า ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้นัก
ถึงแม้ว่านางไม่อยากจะพูดถึง แต่หยางซิ่วเอ่อร์นั้นพร้อมจะพูด “ข้าเห็นว่าคงไม่ได้ เจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ แม่ของข้ารู้ซึ้งแล้วว่าตนนั้นมีความผิด เมิ่งเหยา เจ้าก็ไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดเสียหน่อย ทำไมเจ้าถึงได้โหดร้ายนัก?”
หนิงเมิ่งเหยากะพริบตา และโกรธจนต้องหัวเราะใส่ถ้อยคำที่หยางซิ่วเอ๋อร์กล่าวออกมา “ข้าไม่ได้ขาดแคลนหรอก แต่แล้วทำไมหรือ? เหตุใดข้าจึงควรมอบอะไรให้ครอบครัวเจ้าด้วย? นางใช้ตรรกะพรรค์นั้นในการเอาข้าวของของข้าไป และถ้าเจ้าไม่คิดเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงใช้เวลานานนักกว่าจะมาหาข้าหรือ? ชิงซวง ชิงเสวี่ย โยนนางออกไป ต่อไปอย่าให้นางเข้ามาได้อีก”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” เด็กสาวสองคนคว้าแขนของหยางซิ่วเอ๋อร์ และลากนางออกไป
หยางซิ่วเอ๋อร์มองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความเกลียดชัง เรื่องราวมันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? นางคิดว่าการที่หนิงเมิ่งเหยาจับนางหลัวโยนเข้าคุกนั้นเป็นเพียงเพราะแรงโทสะในขณะนั้นพาไป แต่เมื่อนางสงบลง หนิงเมิ่งเหยาก็ควรจะปล่อยแม่ของนางมิใช่หรือ?
แต่ตอนนี้เล่า? นางถูกโยนออกมา นี่เป็นความอัปยศที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก
ชิงเสวี่ยเห็นความเกลียดชังที่อยู่ภายในดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์ เมื่อจ้องมองหนิงเมิ่งเหยา แล้วริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มดูถูก “อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองคุณหนูของพวกข้า เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย?”
“เจ้ากล้าหรือ”
“เจ้าจะลองดูก็ได้ว่าพวกข้ากล้าหรือไม่ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเจ้าไปหาเรื่องคุณหนูของพวกข้า หรือทำให้คุณหนูไม่สบายใจ เจ้าจะลองดูก็ได้”
หยางซิ่วเอ๋อร์โกรธจนสั่นไปทั้งตัว นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองสามวัน จะมีคนพวกนี้มาอยู่ที่บ้านของหนิงเมิ่งเหยา และเด็กสาวผู้ที่กล่าววาจานั้นกับนางก็มีสายตาอันน่ากลัว นางเชื่ออย่างสนิทใจว่าเด็กสาวนางนี้สามารถทำในสิ่งที่ตนพูดได้จริง
เมื่อเป็นอิสระจากกรงเล็บของเด็กสาวทั้งสอง หยางซิ่วเอ๋อร์มีสภาพโซซัดโซเซขณะที่นางวิ่งหนีไป
หยางชุ่ยสังเกตเห็นหยางซิ่วเอ๋อร์ที่วิ่งเข้ามามีท่าทียุ่งยากใจ นางก็มุ่นหัวคิ้วอย่างไม่มีความสุข “ข้าบอกให้เจ้าไปหานางแพศยานั่นไม่ใช่หรือ? เจ้ากลับมาทำไม?”
“ถ้าเจ้าอยากหานาง เช่นนั้นก็ไปเอง ข้าไม่ไป” เมื่อนึกถึงสายตาของชิงเสวี่ย ดวงตาของหยางซิ่วเอ่อร์ก็เอ่อล้นไปด้วยความหวาดกลัว
หยางชุ่ยมองหยางซิ่วเอ๋อร์ด้วยสายตาเย้ยหยัน “ไร้ประโยชน์”
หยางซิ่วเอ๋อร์มิได้กล่าวอันใด แม้ว่าภายในใจนางเองก็ดูหมิ่นหยางชุ่ยอยู่ ถ้าเจ้าไม่ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นก็ลองไปพูดในสิ่งที่ข้าทำสิ
“ออกไป ออกไป ออกไป! อย่ามาทำลายทัศนียภาพด้วยการอยู่ที่นี่” หยางชุ่ยสะบัดมือไล่อย่างหมดความอดทนพลางตะคอกด้วยความรังเกียจ
หลังจากเรื่องของหวังไล่จื่อ นางก็ถูกชาวบ้านชี้หน้าทุกครั้งที่เดินออกไปข้างนอก แต่เพราะมีพี่ชายของนาง หยางฮว๋าย พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรกับนาง แต่ความรู้สึกของการถูกชาวบ้านชี้นิ้วใส่นั้นไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นนางจึงคิดหาวิธี วิธีที่จะนำปัญหาไปสู่หนิงเมิ่งเหยา หากเพียงแค่หนิงเมิ่งเหยามีปัญหา เช่นนั้นแล้วชาวบ้านที่เอาแต่พูดถึงเรื่องของนางก็จะเปลี่ยนไปพูดเรื่องหนิงเมิ่งเหยาแทน และจะได้ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของนางอีก
แต่นางไม่คิดเลยว่าหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้
เมื่อเห็นหยางซิ่วเอ๋อร์กำลังจะกลับ จู่ๆ หยางชุ่ยก็เรียกนางเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน เจ้าแอบปล่อยข่าวอย่างเงียบๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ดู เล่าว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นโหดร้าย และไร้เมตตาเพียงใด แค่ทำให้ชื่อเสียงของนางมีมลทินได้ก็พอ”
คนที่ไม่เห็นหัวผู้อื่นอยู่ในสายตาเช่นนั้น ใครมันจะไปชอบเล่า? ยิ่งกับที่นี่ด้วยแล้ว
หยางซิ่วเอ๋อร์หันไปมองหยางชุ่ย นางอยากจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายแล้วก็ทำเพียงพยักหน้าให้
“ข้ารู้แล้ว”
ท้ายที่สุด ข่าวลือเรื่องหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนนิสัยไม่ดี โหดร้ายไร้ความเมตตา ก็แพร่สะพัดออกไป แต่หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้เข้าไปที่หมู่บ้าน นางจึงไม่รู้เรื่อง
วันหนึ่ง แม่นมฉินเข้าไปที่หมู่บ้าน และได้ยินข่าวลือนี้เข้า ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำ และทุกข์ใจ
เมื่อนางกลับมา แม้จะผ่านไปเป็นเวลานาน แต่เพลิงโทสะในใจนางก็ยังไม่สงบลงแต่อย่างใด
หนิงเมิ่งเหยากะพริบตามองแม่นมฉินผู้ถูกยั่วโมโหจนโกรธถึงขั้นนี้ แล้วก็หันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดแม่นมฉินที่ออกไปข้างนอกเพียงประเดี๋ยวเดียวจึงกลับมาด้วยอารมณ์โกรธขึงถึงเพียงนี้ได้?”
ชิงเสวี่ยและคนที่เหลือส่ายศีรษะเป็นการบอกว่าพวกตนไม่ทราบ
“แม่นมฉิน เกิดอะไรขึ้น?”