ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 201 อุบัติเหตุฉุกเฉิน
“เธอเข้าพักที่นี่ครับ แต่ว่า… คุณไม่ทราบเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเหรอ” เขามองโม่หันด้วยท่าทางสงสัย
โม่หันรู้สึกปั่นป่วนในใจก่อนที่จะเอ่ยสิ่งที่คิดออกมาอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ที่ระอุอยู่ในอก “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“เธอออกจากที่พักไปสำรวจทะเลทรายกับนักท่องเที่ยววัยรุ่นอีกไม่กี่คนเมื่อหลายวันก่อน เขาควรกลับมาถึงที่นี่เมื่อวานตามแผนเดิม เมื่อวานเย็นเพิ่งจะเกิดพายุแถวทะเลทรายที่พวกเขาไป หลายอย่างถูกพัดทำลายไปและพวกเขาก็หายตัวไปด้วย”
หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายโม่หันถึงกับพูดไม่ออก กว่าสองวันที่เดินทางจากเมือง S มาถึงที่นี่ ในที่สุดเชือกในใจของเขาก็ขาดสะบั้นลง
“คุณ… เป็นอะไร… กับเธอเหรอ” เจ้าของที่พักเอ่ยถามเขา
“ผมเป็นแฟนของเธอครับ” เขาตอบกลับ
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้ารับ ก้าวเข้าไปตบบ่าให้กำลังใจเขาเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ทางรัฐส่งเจ้าหน้าที่ไปตามหาและช่วยเหลือแล้ว น่าจะได้ข่าวภายในวันนี้ล่ะ เธอต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่”
เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวนั่งลง “บริเวณที่เธอหายตัวไป ไกลจากที่นี่เท่าไหร่เหรอครับ”
“ไกลอยู่โขเลยล่ะ ห่างจากที่นี่ไปราวสิบชั่วโมงได้”
“คุณช่วยหารถและพาผมไปที่นั่นได้ไหมครับ” เขาถามขึ้น
“ไม่ได้หรอก เพิ่งจะเกิดพายุทรายไปทำให้มองทางไม่ค่อยเห็น แถมสภาพท้องถนนยังไม่ดีอีกด้วย ไม่เหมาะที่จะเอารถออกไปตอนนี้หรอกนะ”
“ให้ผมจ่ายมากกว่าเดิมก็ได้นะครับ”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินนะครับ… คุณไปที่นั่นไม่ได้จริงๆ … สภาพถนนที่นี่ไม่ค่อยดีนัก แม้แต่จะเดินยังลำบากเลยครับ ทะเลทรายที่แฟนของคุณไปอยู่ใกล้ตาพายุ ถนนที่นั่นคงได้รับความเสียหายและต้องได้รับการซ่อมแซม”
เขาก้มหน้ามองพื้น มือยกขึ้นเสยผมอย่างไม่รู้ตัว ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ที่ซย่าชิงอีคุ้นเคยดีว่าเขามักจะทำเมื่อรู้สึกหงุดหงิด
เจ้าของที่พักนั่งลงปลอบใจเมื่อเห็นท่าทางของเขา “อย่ากังวลไปเลยครับ แฟนของคุณต้องไม่เป็นอะไร กลุ่มนักท่องเที่ยวของเธอมีรถของตัวเองและจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคงตามหาพวกเขาได้ไม่ยากนัก”
“เราไปที่ทะเลทรายไม่ได้จริงๆ เหรอครับ” เขาถามซ้ำ
อีกฝ่ายพยักหน้า “ไม่มีทางที่จะไปที่นั่นได้ อย่างน้อยก็ในช่วงหลายวันนี้ เส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปทางทะเลทรายมีแค่ทางด่วนฟากตะวันตกของเมือง D เท่านั้น ตอนนี้มันถูกปิดเพราะพายุทราย บนท้องถนนมีแต่หินและทรายกระจายเกลื่อนไปหมด ขับไปตอนนี้มีแต่จะอันตรายเปล่าๆ คุณทำได้แค่รอฟังข่าวเท่านั้นล่ะครับ”
“รอ… รอ… ผมรอมานานมากพอแล้ว… ผมไม่จะอยากจะรออีกต่อไปแล้ว” เขาว่าขึ้นเสียงเบา
“เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือไปถึงพื้นที่เมื่อวานนี้คงใช้เวลาอีกไม่กี่วันหรอกครับ ถ้าคุณยังไม่สบายใจไปสอบถามความคืบหน้าในการค้นหาเพื่อช่วยหลือที่ศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติก็ได้นะ” เจ้าของที่พักเอ่ยแนะนำ
โม่หันลุกขึ้นและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย รับรู้คำแนะนำของเขาและตั้งท่าจะไปที่ศูนย์เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการช่วยเหลือ ไม่อาจทนรอฟังข่าวอยู่เฉยๆ ได้เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่รอให้ซย่าชิงอีกลับมาหาเขาเอง
เขาต้องการไปตามหาเธอ
ซย่าชิงอีรู้สึกถึงความผิดปกติในวันที่พวกเขากำลังจะเดินทางกลับ
พวกเขาจอดรถอยู่ท่ามกลางทะเลทราย เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็น เต็นท์ที่กางไว้เมื่อวานถูกม้วนพับเก็บไว้ในรถ อากาศยามค่ำคืนในทะเลทรายช่างหนาวเหน็บ แผนเดิมที่วางไว้ว่าจะอยู่ที่นี่สามวันล่าช้าออกไปอีกหนึ่งวัน พวกเขาตั้งใจจะขับรถกลับในคืนนี้เพื่อไปถึงสุดเขตทะเลทรายก่อนที่จะหาที่นอนพักผ่อน
ซย่าชิงอีกำลังจัดของที่กระโปรงหลังรถในขณะที่ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอกระชับเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้แน่นขึ้น ก่อนที่จะรีบขยับตัวเก็บของให้เสร็จและจะเข้าไปนั่งในตัวรถ
ในจังหวะนั้นเองที่จู่ๆ บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัด สายลมที่พัดโหมมาปะทะกับตัวเธอเรื่อยๆ กลับหยุดนิ่ง ฝุ่นที่ปลิวว่อนไปมาในอากาศค่อยๆ ตกลงสู่เบื้องล่าง
เธอได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้น “ดูสิ!”
คนพูดชี้ไปที่บางอย่างเหนือไปบนท้องฟ้าด้านหลัง เธอหันกลับไปมองตามนิ้วของเขา
ชั่วพริบตาเดียวอากาศก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมา
บรรยากาศทั่วบริเวณในฟากตะวันตกเต็มไปด้วยม่านหมอกสีทึมที่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา มันขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังแสงอาทิตย์และเส้นขอบฟ้าราวกับพรมของยมทูต
ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็ตกอยู่ในความมืดมิด
ซย่าชิงอีสัมผัสได้ถึงเม็ดทรายที่ส่งกลิ่นรุนแรง สายลมโหมรอบกายจนเกิดเสียงกึกก้อง พัดพาเอาหินก้อนเล็กๆ มาด้วย มันเฉียดบาดผิวเธอไปทั่วร่างจนไม่อาจทนไหวอีกต่อไปพร้อมกับขาที่กำลังจะทรุดลง
“รีบวิ่งกลับมาที่รถเร็วเข้า นั่นมันพายุทราย!” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“รอด้วย ฉันจะถ่ายรูปก่อน!” ใครบางคนตั้งท่าจะหยิบกล้องของเธอจากกระเป๋า
ซย่าชิงอีรั้งเธอไว้ “ดูสถานการณ์บ้างสิ! เลิกถ่ายรูปแล้วเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะน่า!”
สมาชิกในกลุ่มบางคนไม่สนใจสัมภาระของพวกเขาอีกต่อไป รีบวิ่งกลับมาที่รถอย่างตื่นตระหนก พวกเขาปิดประตูและหน้าต่างรถแน่น ไม่เคยเผชิญหน้ากับพายุทรายมาก่อน ทำได้เพียงหอบหายใจภายในรถอย่างทำอะไรต่อไปไม่ถูก
“เรานั่งรอในรถกันเถอะ ไม่ว่าลมจะแรงแค่ไหนก็คงพัดรถที่มีเราทั้งหมดนั่งอยู่ด้านในไม่ได้หรอก รอจนกว่าพายุจะสงบแล้วเราค่อยออกไปกัน”
พวกเขาเชื่อคำของคนพูดและไม่มีใครทักท้วงอะไรขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่ในรถอย่างเป็นกังวลและรอให้พายุทรายด้านนอกสงบลง
เสียงของสายลมด้านนอกพัดดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเครื่องดนตรีที่ทำให้หูอื้อ ท้องฟ้าและผืนดินหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน โลกด้านนอกที่เห็นจากหน้าต่างรถเต็มไปด้วยสีเหลืองละลานตา หินก้อนใหญ่ก้อนเล็กกระทบเข้ากับตัวรถไปทั่วทุกมุม อยู่ๆ รถทั้งคันก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงเขย่าโยกให้คนด้านในนั่งอยู่ไม่ติดเบาะ
เสียงกระแทกดังขึ้นพร้อมกับกระจกตรงข้ามซย่าชิงอีที่แตกกระจายเพราะก้อนหิน เศษกระจกลอยมาโดนหน้าผากของเธอ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากแผลลงมาที่ดวงตาของเธอทันที
ลมที่พัดผ่านเข้ามาทางช่องว่างขนาดใหญ่ปะทะเข้าหาพวกเขา พาให้ทรายสีเหลืองเข้ากระทบใบหน้าของเธอ กรวดเม็ดเล็กปลิวเข้าไปในหลอดลมให้ตัวเธอหายใจไม่ออก
ตอนนั้นเองที่พวกเขารู้ว่าไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในรถอีกแล้ว ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไร พายุทรายก็ได้พัดพารถยนต์ไปในอากาศ
ทุกคนต่างกรีดร้องและควานหาที่จับยึดใกล้ตัว รถยนต์ปลิวไปในอากาศในขณะที่พวกเขาถูกพัดกระแทกไปมากับพื้น พร้อมรถที่หล่นกระแทกกับพื้นทรายเสียงดังลั่น
ซย่าชิงอีเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ โลกที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยสีเหลือง เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพใด สัมผัสได้เพียงผิวหน้าที่สากราวกับทะเลทราย สายลมยังคงพัดโหมอยู่ด้านนอกทว่าภายในกลับเงียบงัน เธอพยายามอ้าปากแต่ภายในลำคอติดขัดไปด้วยลมและทรายจนพูดไม่ออก
เลือดเริ่มไหลจากแผลที่หน้าผากของเธออีกครั้ง เธอมึนงงและปวดตุบๆ ด้วยความเจ็บ ด้วยสติอันเลือนรางเธอเห็นโลกสีเหลืองอยู่ลิบๆ ก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไป
โม่หันมาถึงศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติประจำเมือง D ภายในศูนย์วุ่นวายไม่น้อย ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนในเมืองต่างรู้สึกสิ้นหวัง พวกเขาทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ เขตตะวันตกของเมือง D เป็นบริเวณที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด บ้านเรือนในแถบนั้นถูกพายุทรายพัดทำลาย ผู้คนที่สูญเลียบ้านไปได้แต่พากันขนของมีค่าติดตัวมาขอความช่วยเหลือที่นี่
เขาเบียดฝูงชนมาอย่างทุลักทุเลและมาถึงด้านหน้าโต๊ะรับรอง เห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งร้องครวญครางอยู่บนพื้นพลางตีข้าวของของตัวเอง ผู้คนรอบข้างต้องการจะเข้าไปดึงตัวเธอขึ้นมาแต่ก็อดตกใจกับเสียงร่ำไห้ของเธอไม่ได้ จึงทำได้เพียงจับแขนไว้และรับฟังเธอ
ใบหน้าของหญิงชราคนนั้นอาบไปด้วยน้ำตาในขณะที่ปล่อยโฮออกมา “ทำไมอยู่ๆ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ แล้วต่อไปฉันจะทำยังไง… ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว… ทั้งสิ่งของที่ฉันทิ้งไว้ที่บ้านและสามีของฉัน… ฉันจะทำยังไง”
ผู้คนรอบตัวเธอส่งเสียงพูดคุยกันเบาๆ บ้านของเธอเป็นเพียงบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง อีกไม่นานเธอกำลังจะตามลูกชายของตัวเองย้ายไปอยู่บ้านใหม่ แต่เพราะว่าพายุทรายที่พัดถล่มผนังล้มลงมาทับร่างสามีของเธอ เขาถูกช่วยไม่ทันเมื่อไปถึงโรงพยาบาล
สำหรับคนภายนอกไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเจ็บปวดแค่ไหนพวกเขาทำได้เพียงบอกว่าคนที่ถูกกระทำนั้นน่าสงสารเพียงใด เรื่องของคนอื่นไม่ได้ส่งผลกับชีวิตของพวกเขา มีเพียงผู้ที่ได้พบเจอด้วยตัวเองเท่านั้นที่จะเข้าใจทุกความเจ็บปวดและความโศกเศร้าจากสิ่งที่เกิดขึ้น
มีเพียงตัวของพวกเขาเองที่เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังนี้
โม่หันมองไปที่หญิงชราที่นั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นอย่างรู้สึกเห็นใจคนแปลกหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่เขาไม่อาจทำอะไรมากนัก เพราะยังไม่พบตัวซย่าชิงอีเขาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น
เขาเดินตามป้ายบอกทางไปจนเจอจุดบริการที่รับผิดชอบการกู้ชีพในทะเลทราย บรรยากาศผิดกับด้านนอกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย บริเวณจุดนี้มีผู้คนบางตา อาจเป็นเพราะมีเพียงนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียวที่ติดอยู่ในทะเลทราย
“สอบถามได้ไหมครับว่ามีข่าวจากทีมที่ลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือในทะเลทรายบ้างหรือเปล่าครับ” โม่หันเอ่ยถาม
เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา “คุณคือ…?”
“ผมเป็นแฟนของเด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ติดอยู่ในทะเลทรายครับ”
“คุณมาได้ถูกเวลาพอดีเลย เราเพิ่งได้รับข้อมูลบางอย่างมา” เจ้าหน้าที่เพิ่งจะวางสายจากทีมช่วยเหลือ
“ข่าวอะไรหรือครับ”
“พวกเขาเจอรถอยู่กลางทะเลทราย คงจะติดอยู่ในพายุและพลิกคว่ำ เราพบคนสองคนอยู่ในรถแต่โชคร้ายที่ทั้งสองคนเสียชีวิตแล้ว”