ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 203 ไกลบ้าน
ราวกับความตายได้เฝ้ามองเธออยู่ตรงหน้า รอมารับวิญญาณที่หลุดลอยจากร่างของเธอในยามที่สติของเธอดับวูบลงจากความอ่อนล้า เธอคงไม่อาจมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไป คงไม่อาจได้เห็นโม่หันอีกต่อไปแล้ว
ซย่าชิงอีไม่กล้าที่จะหยุด เธอก้าวเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งมาถึงหินใหญ่ก้อนหนึ่ง มันไม่สูงมากนักยังสูงไม่ถึงน่องของเธอเสียด้วยซ้ำ ด้านบนมีตัวอักษรสีแดงเขียนอยู่ ทว่าด้วยอาการมึนงงอย่างรุนแรงที่มีเธอจึงไม่กล้าก้มลงไปมอง ทำให้เธอไม่ทันได้เห็นข้อความที่อยู่บนหินนั้น
เธอยังเดินผ่านหินก้อนนั้นต่อไปข้างหน้า จังหวะลมหายใจของเธอทวีหนักขึ้นในขณะที่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาไกลเท่าไรแล้ว เมื่อเธอไม่สามารถทนฝืนตัวเองได้อีกต่อไปก็ทรุดลงบนผืนทรายที่ร้อนระอุและนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ด้านกลุ่มเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประจำเมือง D แจ้งความคืบหน้าในการปฏิบัติการเข้ามา
โม่หันได้รับสายโทรศัพท์จากศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติ พวกเขาแจ้งว่าเพิ่งพบผู้รอดชีวิตจากพายุทรายและพวกเขาถูกส่งมาที่โรงพยาบาลอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเขายังมีสติอยู่และกำลังเข้ารับการรักษาที่ห้องพยาบาล
ความลุ้นระทึกที่เขารู้สึกยังไม่ทันจางหายไปจนเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าผู้รอดชีวิตเป็นผู้ชาย หัวใจของเขาก็ดิ่งลงไปอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเขายังคงรีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อพบกับผู้รอดชีวิต คนคนนั้นต้องรู้จักกับซย่าชิงอีและอาจจะรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน อาจจะพบร่องรอยการรอดชีวิตของซย่าชิงอีจากเขาก็เป็นได้
เมื่อเขาพบหน้าผู้รอดชีวิตซึ่งกำลังนั่งอยู่บนตียงพร้อมผ้าพันแผลบนศีรษะและก้มมองกระเป๋าในมือของตัวเอง
“อ่า… คุณคงเป็น…คนที่พวกเขาบอกว่าจะมาหา” คนที่นั่งอยู่บนเตียงเงยหน้ามองโม่หันหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า
เขาพยักหน้ารับพลางยื่นมือไปหาพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ครับ สวัสดีครับ ผมโม่หัน แฟนของซย่าชิงอีครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นซึ่งดูอายุยังน้อยจับมือทักทายกลับพลางส่งยิ้มให้ อีกมือยกขึ้นเกาศีรษะ “สวัสดีครับ ผมหยางชิงเลี่ยง”
หยางชิงเลี่ยงหัวเราะออกมา “ผมเคยได้ยินเรื่องของคุณมาก่อน ซย่าชิงอีบอกเราว่าเธอมีแฟนหนุ่มที่หล่อมากๆ พอได้เจอคุณตอนนี้ก็เห็นทีว่าเธอจะพูดจริงนะครับ”
โม่หันเอ่ย “เธอพูดถึงเรื่องของผมเหรอครับ”
“ครับ เราถามว่าเธอมีแฟนหรือเปล่าวันก่อนหน้าที่เราจะไปทะเลทรายกัน เธอตอบว่ามีแฟนหนุ่มที่หล่อมากอยู่คนหนึ่ง บอกว่าแฟนของเธอเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก เห็นประกายความสุขในดวงตาของเธอแล้วผมเลยคิดว่าพวกคุณต้องเป็นคู่รักหวานชื่นแน่ๆ แต่พอถามเรื่องของคุณกับเธอต่อเธอก็ชะงักและไม่ได้พูดอะไรต่อ”
โม่หันไม่ได้พูดอะไรออกมาและได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบ ไหล่ตกอย่างไร้เรี่ยวแรงจนแม้แต่หยางชิงเลี่ยงยังสัมผัสได้ถึงความหดหู่ใจของเขา
อีกฝ่ายส่งกระเป๋าในมือให้โม่หัน “นี่ของของแฟนของคุณครับ ผมฟื้นขึ้นมาและเจอมันอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่ามาอยู่กับผมได้อย่างไรเหมือนกัน ตอนที่ทีมค้นหามาเจอผมเลยเอาติดตัวมาด้วย ผมคืนให้คุณครับ”
เขายื่นมือไปรับกระเป๋าผ้าใบธรรมดาที่น้ำหนักเบามาก รูดซิปเปิดกระเป๋าออกและเห็นเพียงเสื้อผ้าสองชุด และถุงผ้าใบสีดำที่มีบางอย่างใหญ่เทอะทะซึ่งเขาไม่รู้ว่าคืออะไรอยู่ด้านใน
เมื่อหยิบถุงใบนั้นออกมาเปิดออกดูก็เห็นเพียงรองเท้าผ้าฝ้ายใส่ในบ้านที่เธอสวมติดตัวตอนออกจากบ้านมา
เขาทิ้งตัวนั่งลงบนพร้อมรองเท้าในมือโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาครู่ใหญ่
“ทำไมเธอถึงเอารองเท้าใส่ในบ้านไปด้วยล่ะ ทำไมเธอถึงต้องใช้มันในทะเลทรายด้วยนะ”
โม่หันไม่ได้ตอบในขณะที่ลูบสัมผัสนุ่มบนรองเท้านั้น เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเธอและเขา
“พวกคุณได้ติดต่อกันสักครั้งระหว่างที่เธอมาเที่ยวหรือเปล่าครับ” อีกฝ่ายถามขึ้น
“ไม่ครับ เธอทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน” เขาตอบ
“ดูแปลกๆ นะครับ ผมจำได้ว่าเธอบอกว่าส่งข้อความไปหาคุณที่สนามบินก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องหลังจากบอกคุณว่าจะไปที่ไหน”
คนฟังขมวดคิ้วมุ่น “โทรศัพท์ของเธออยู่กับผม เธอจะจะส่งข้อความมาได้ยังไงครับ แล้วทำไมผมถึงไม่ได้รับล่ะ”
“เธออาจจะ… ใช้โทรศัพท์ของคนแปลกหน้าก็ได้นะครับ” หยางชิงเลี่ยงพูดพลางมองมาที่เขา “คุณได้…ตั้งค่าให้ป้องกันข้อความและสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จักไว้หรือเปล่าครับ”
เขาแตะโทรศัพท์ของตัวเองในกระเป๋าเสื้อทันทีที่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย ปลดล็อกหน้าจอ กดเปลี่ยนการตั้งค่าและพบหลายข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ตอนแรก
ท่ามกลางข้อความโฆษณาและเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยมากมาย เขาเห็นสามข้อความจากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยที่ถูกส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนทันที
[ฉันซย่าชิงอีเอง ฉันใช้โทรศัพท์ของคนอื่นส่งข้อความมาหาพี่]
[เราต้องการเวลาให้ใจเย็นลง ฉันจะไปเที่ยวตามลำพัง พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะกลับมาภายในหนึ่งอาทิตย์]
[อย่าลืมกินข้าวและพักผ่อนให้เพียงพอด้วย อย่าทำงานหนักมากนะคะ]
ความปวดใจจู่โจมเข้าหาเขาทันที กลับกลายเป็นเธอที่ยังส่งข้อความมาหาเขาก่อนที่จะจากไป กลับกลายเป็นเธอที่ยังคงคอยพร่ำบ่นเขาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าตัวเองจะออกไปเที่ยวเพียงลำพังหลังจากทะเลาะกับเขา กลับกลายเป็นเธอที่ไม่หลงเหลือความโกรธหลังจากที่ทะเลาะกัน
โชคร้ายที่เขารู้ตัวในยามที่สายไป
หากตอนนั้นเขารู้ว่าเธอส่งข้อความมาหา เขาจะไม่มีทางปล่อยให้เธอทิ้งเขามาที่เมือง D และต้องเผชิญกับพายุทรายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตเด็ดขาด
ทว่าช่างน่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งที่เกิดจากคำว่าถ้าหากบนโลกใบนี้
สุดท้ายโม่หันและซย่าชิงอีก็ได้พรากจากกันไปเสียแล้ว
ทว่าซย่าชิงอีมีชีวิตรอดในท้ายที่สุด
มีกลุ่มคนเจอเธอในทะเลทราย เธอแทบจะหมดลมหายใจเมื่อพวกเขาพาเธอมาถึงบ้าน เธอฟื้นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าของกลุ่มคนแปลกหน้าที่ปรากฏสู่สายตา รูปร่างหน้าตาของพวกเขาดูแตกต่างจากเธอ ทั้งเส้นผมหยิกหย็อย ดวงตาที่เขียว และผิวสีบ่มแดดที่แห้งกร้าน
เธอมาอยู่ในอีกประเทศ
เธอเดินข้ามเขตชายแดนของประเทศตัวเองและเหยียบลงบนแผ่นดินของอีกประเทศโดยไม่ทันรู้ตัว
พยายามใช้ทักษะภาษาอังกฤษที่ย่ำแย่ของตัวเองอธิบายให้พวกเขาพาเธอไปที่สถานทูตจีนประจำประเทศนี้ แต่พวกเขาได้แต่มองหน้ากันและกันและไม่เข้าใจที่สิ่งเธอพูด
เมื่อพูดกับพวกเขาด้วยภาษาจีน พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจเธอ
เธอพยายามใช้ภาษากายเป็นที่พึ่งสุดท้ายในการอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ ทว่าฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่เข้าใจเธออยู่ดี
พวกเขาพาเธอมาที่โรงงานสกปรกโสโครกซึ่งมีแมลงวันฝูงใหญ่บินไปมาในอากาศพร้อมกลิ่นฉุนจากน้ำเน่าเสียที่เจิ่งนองบนพื้น คนที่ยืนอยู่ด้านหลังบังคับให้เธอยืนอยู่นิ่งๆ และมองดูผู้หญิงคนอื่นที่กำลังทำงานในโรงงานแห่งนี้
พวกเธอดึงบางอย่างที่ดูคล้ายลำไส้มาจากอ่างโลหะที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงและเป็นน้ำมันเหมือนเลือด ใช้มือสีคล้ำที่ไร้ซึ่งถุงมือปกคลุมล้างทำความสะอาดมันซ้ำไปมาก่อนที่จะโยนลงในอ่างสีน้ำตาลขนาดใหญ่
เธอรู้สึกขยะแขยงเมื่อเห็นภาพตรงหน้าพลางพยายามกลั้นอาเจียนอย่างหนัก
คนที่อยู่ด้านหลังผลักเธอไปข้างหน้า ตอนนั้นเองที่เธอเข้าใจว่าคนพวกนี้ช่วยเธอมาเพื่อส่งให้มาทำงานในฐานะแรงงานราคาถูกที่โรงงานแห่งนี้
เธอถูกบังคับให้นั่งลงในขณะที่กลั้นลมหายใจและเริ่มลงมือทำเหมือนหญิงสาวที่อยู่รอบตัว ทว่าในใจกลับกำลังคิดหาทางหนีออกไป
ตกกลางคืนเธอนอนหลับในบ้านหลังแคบที่ใช้นอนร่วมกับหญิงสาวเหล่านั้น ผู้หญิงที่มีอายุที่สุดกำลังพูดด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจในขณะที่เธอกำลังติดอยู่ท่ามกลางพวกเธอ เธอพยายามสงบอารมณ์ลง คลุมตัวเองด้วยผ้าห่มที่เก่า สกปรก และสะอาดปะปนกันไปพลางคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ยังดีที่หญิงสาวข้างเธอพยายามที่จะพูดกับเธอในภาษาอังกฤษเมื่อเห็นว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเธอกำลังพูดกัน อีกฝ่ายเอ่ยถามเธอ “เธอมาจากไหนเหรอ”
ตอนนั้นเองที่ท่าทางของเธอเริ่มมีหวังขึ้น เธอลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมถามเรื่องของสถานที่แห่งนี้ สิ่งสำคัญที่เธอต้องการรู้คือมีสถานีรถไฟหรือสนามบินในบริเวณนี้หรือไม่
โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามบอกว่ามีสนามบินเล็กๆ อยู่แถวๆ นี้ แต่ตั๋วเครื่องบินแพงจนพวกเธอไม่สามารถหนีไปไหนได้และบอกให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะหนีไปจากที่นี้
หญิงสาวคนนั้นอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว เธอถูกพามาที่นี่อย่างไม่รู้ตัว ตอนที่เธอมาถึงทุกคนต่างพยายามจะหนีทว่าไม่มีใครที่หลบหนีออกไปได้สำเร็จสักราย
เธอชี้ไปที่หญิงสาวที่ผมหงอกไปครึ่งศีรษะอีกคนซึ่งนอนอยู่มุมในสุดและพูดขึ้น “เธอแก่ที่สุดและอยู่ที่นี่มายี่สิบปีแล้ว”
ผิดกับซย่าชิงอี อย่างไรก็ตามเธอต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ต้องกลับไปที่ประเทศของตัวเอง ที่ที่โม่หันคงกำลังรอให้เธอกลับบ้านอยู่แน่ เธอต้องกลับไป กลับไปอยู่ข้างกายเขา
เธอไม่รีบร้อนนักที่คิดจะหลบหนีในวันถัดมา เธอต้องรอ รอจนกว่าคนที่ดูแลที่นี่จะไม่ได้ระวังตัว รอจนกว่าพวกเขาจะวางใจว่าเธอจะทำงานที่นี่ต่อไปก่อนที่จะลงมือ เธอตั้งใจจะขโมยเงินของพวกเขาและหนีไป
เป็นเหตุให้เธอต้องทำงานกับหญิงสาวเหล่านั้นที่นี่ต่อไปอีกกว่าหนึ่งเดือน
ตลอดหนึ่งเดือนเธอตระเตรียมแผนอยู่ทุกวัน มีเพียงประตูหนึ่งบานที่มีชายสี่คนเฝ้าอยู่พร้อมสุนัขแสนดุร้ายที่ถูกล่ามไว้ที่รั้ว
เดือนถัดมาเธอค่อยๆ สังเกตว่าชายตัวเตี้ยที่อยู่ในเสื้อคลุมสกปรกสีเหลืองเก็บเงินไว้กับตัวมากที่สุด เขามักจะเก็บเงินไว้ในลิ้นชักที่ถูกล็อกไว้ด้านในสุดของห้องรักษาความปลอดภัย และมักจะเปิดลิ้นชักทุกคืนวันศุกร์ด้วยหน้าที่ที่ต้องนับเงินอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเก็บมันไว้ที่เดิม ทว่าครั้งนี้เขากลับลืมล็อกลิ้นชัก
ซย่าชิงอีตัดสินใจที่จะลงมือในวันนั้น
เธอทำตัวว่าง่ายเป็นพิเศษระหว่างที่ทำงานวันนั้น ไม่ค่อยพักและบ่นมากนัก และยังรีบกินอาหารให้เสร็จก่อนที่จะไปทำงานต่อ จนคนที่คอยตามดูพฤติกรรมของเธอคิดว่าเธอคงยอมที่จะทำงานที่นี่แล้วและไม่สนใจที่จะจับตามองเธอในช่วงบ่ายนัก