ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 204 กลับบ้าน
ซย่าชิงอีใช้ช่วงเวลานี้ในการแอบซ่อนลวดโลหะที่ใช้ทำงานไว้กับตัวก่อนจะไปทำงานต่อ
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะล้าที่สุดในเวลาราวๆ ตีสี่ถึงตีห้า ซย่าชิงอีไม่ได้นอนทั้งคืนในขณะที่รอเวลาอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น มีเพียงลวดโลหะติดตัวและมุ่งหน้าไปทางประตู
อาจเป็นเพราะว่าซย่าชิงอีได้ความทรงจำคืนมาแล้วจึงสามารถจำวิธีต่อสู้กับลูกน้องของนายน้อยสามได้ เธอเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาออกไปในขณะที่สอดส่ายสายตาเห็นบางอย่างได้อย่างชัดเจนท่ามกลางแสงจันทร์ แนบกายลงกับกำแพงระหว่างที่ย่องเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัย หน้าต่างถูกเปิดค้างไว้ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง ชายคนนั้นยังคงนอนหลับอยู่ ลิ้นชักไม่ได้ถูกล็อกเหมือนอย่างที่คาดไว้ เธอพยายามเคลื่อนไหวให้ช้าอย่างถึงที่สุดในขณะที่ดึงลิ้นชักและหยิบเงินด้านในออกมา
และเป็นอย่างที่คาดไว้ ชายที่กำลังนอนหลับอยู่ด้านหลังตื่นขึ้นในตอนที่เธอได้เงินมาก่อนที่เขาจะร้องส่งเสียงขึ้น
ในจังหวะนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความรวดเร็ว
เพียงชั่ววินาทีซย่าชิงอีคว้ากระป๋องเหล็กบนโต๊ะและทุบลงที่หว่างขาของอีกฝ่ายเต็มแรง
เสียงร้องของฝ่ายตรงข้ามดังขึ้นในเวลาเดียวกับที่เธอกระโดดไปบนโต๊ะก่อนใช้มือยันตัวออกไปทางหน้าต่าง เขาวิ่งไล่ตามเธอมาทางด้านหลังในขณะที่อ้าปากก่นด่า เธอได้ยินเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของสุนัขแสนดุร้ายในสนามหญ้าท่ามกลางเหตุโกลาหล ประตูถูกปิดล็อกไว้แต่เธอรู้วิธีสะเดาะกลอนรูปแบบเชยๆ แบบนี้จากใครบางคนซึ่งสอนให้เธอที่มหาวิทยาลัยก่อนหน้านี้ ทว่ามันก็ยังต้องใช้เวลา
ชายคนนั้นรีบคว้าไม้ที่วางอยู่ข้างกำแพงใกล้ตัวเขาเมื่อเห็นเธอกำลังสะเดาะกลอนและเงื้อขึ้นหมายจะฟาดลงบนร่างของเธอ
ในตอนนั้นเองที่ความทรงจำในการต่อสู้ทั้งหมดกับลูกน้องของนายน้อยสามกลับมาหาเธอ ในที่สุดประสบการณ์แปดปีที่ถูกนายน้อยสามฝึกทักษะการต่อสู้ก็มีประโยชน์ในครั้งนี้ เธอหลบท่อนไม้นั้นได้อย่างง่ายดาย เข้าประชิดตัวและใช้มือดันศีรษะของอีกฝ่ายขึ้น ก่อนฟันฝ่ามือลงที่ลำคอและเตะไปที่หว่างขาของเขาสุดแรง
เขาล้มไปกองกับพื้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด สุนัขที่ถูกล่ามไว้ที่รั้วด้วยสายโซ่เหล็กยังคงเห่าเสียงดังไม่หยุดมาทางซย่าชิงอี โซ่นั้นแทบจะหลุดออกมาจากแรงดึงของเจ้าสี่ขาที่ต้องการเป็นอิสระ มันเกือบจะกระโจนมาถึงตัวเธอในขณะที่เสียงของคนอื่นๆ ที่เร่งตามตัวเธอดังมาจากด้านหลัง
เธอมีเวลาแค่สามสิบวินาที หากไม่สามารถออกไปได้เธอคงต้องถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต
ซย่าชิงอีหันหน้าไปจัดการกับกลอนประตู ฝ่ามือชุ่มเหงื่อขณะที่หัวใจเต้นระรัว เธอหอบเหนื่อยขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์เพื่อสะเดาะกลอนประตู สุนัขที่อยู่ด้านหลังยังพยายามสะบัดให้หลุดจากโซ่เหล็กและเห่าไม่หยุด ชายที่อยู่ด้านหลังกำลังวิ่งมาทางเธอพร้อมเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
สิบวินาทีต่อมากลอนในมือของเธอก็ปลดออก
เธอผลักประตูและเริ่มวิ่งหนีออกไปสุดแรงเกิด คนที่อยู่เบื้องหลังวิ่งไล่ตามเธอมา เสียงเห่าดังขึ้นเรื่อยๆ ให้ต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้น เธอไม่กล้าหันไปมองด้านหลังและไม่กล้าหยุดเช่นกัน ได้แต่วิ่งมุ่งหน้าไปที่สนามหญ้าที่อยู่ไกลออกไป
แสงจันทร์ฉายบนใบหน้าของเธอที่โทรมลงจากการใช้แรงงานมาครู่ใหญ่ ซย่าชิงอีร้องไห้ระหว่างที่วิ่งไปด้วย ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาขณะที่ปิดปากแน่น เธอไม่กล้าส่งเสียงด้วยเกรงว่าคนที่ตามมาด้านหลังจะได้ยิน ท่ามกลางความมืดมีเพียงน้ำตาของเธอที่ไหลลงมาพร้อมกับขาที่ยังก้าววิ่ง ได้ยินเพียงเสียงของสายลมจากการวิ่งแหวกก้อนอากาศที่พัดโชยอยู่ข้างหูและใบหญ้าที่ถูกเหยียบใต้เท้าของตัวเอง
เร็วกว่านี้ เธอต้องวิ่งให้เร็วกว่านี้
เธอต้องระวังตัวให้มากกว่านี้
ซย่าชิงอีบอกตัวเองเงียบๆ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่และว่างเปล่า เสียงลมพัดก้องอยู่ในโสตประสาทพร้อมแสงจันทร์อ่อนๆ ที่ฉาบฉายอยู่บนร่างของเธอ
ทางที่ดีเธอต้องออกจากที่นี่ ต้องวิ่งไปในที่ที่โม่หันอยู่
เธอหยุดไม่ได้ โม่หันกำลังรอเธออยู่
เขาที่อยู่ในที่แสนไกลกำลังรอให้เธอกลับไป
เธอต้องไปหาเขา ต้องไปอยู่กับเขา ชั่วชีวิตนี้เธอไม่ต้องการจากเขาไปไหนอีกแล้ว
ในที่สุดโม่หันก็กลับไปที่เมือง D ในวันที่สี่สิบห้าที่ซย่าชิงอีจากเขาไป
ศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติไม่ได้แจ้งข้อมูลมาอีกต่อไป พวกเขาต่างคิดว่าซย่าชิงอีเสียชีวิตไปพร้อมกับผู้สูญหายอีกคนหนึ่งระหว่างเกิดเหตุ ด้วยถึงอย่างไรโอกาสที่จะรอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนั้นก็มีไม่มากนักอยู่แล้ว
โม่หันยังไม่ยอมจากไปและรออยู่ที่โรงแรมซึ่งซย่าชิงอีเข้าพัก เมื่อกลุ่มเจ้าหน้าที่ประกาศปิดภารกิจการค้นหา เขาขับรถมุ่งหน้าไปทางทะเลทรายเพียงลำพังเพื่อตามหาเธอด้วยตัวเอง
เขาตามหาเธอในทะเลทรายเป็นอาทิตย์ ทว่ากลับไม่พบร่องรอยของซย่าชิงอีเลยแม่แต่น้อยและลงเอยด้วยการคว้าน้ำเหลวหลังจากที่ค้นหาไปทั่วทุกที่ในทะเลทราย แม้แต่ในบริเวณที่ห่างจากจุดเกิดพายุทราย
หลังจากที่เขากลับมาจากทะเลทราย ไม่มีใครรู้ว่าเขาร้องไห้ภายในรถอยู่เนิ่นนานเพียงไหนในช่วงหลายวันมานี้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสัมผัสถึงความสิ้นหวัง
เขาพยายามอย่างหนักในการตามหาเธอ พยายามอย่างหนักในการพาเธอกลับมาอยู่ข้างกายเขา ทว่าในที่สุดเขาก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากเฝ้ารอคอย
ตลอดช่วงครึ่งชีวิตแรกของเขาซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยความรู้ เงินทอง หน้าที่การงานที่ดี และอีกหลายสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่สามารถไขว่คว้าได้แม้ทุ่มเททั้งชีวิต
ทว่าเขากลับรู้สึกไม่เหลืออะไรเลยทันทีที่ซย่าชิงอีจากเขาไปในวันนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะพาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของเขาไปกับตัวเธอเสียหมด
เขาเฝ้ารอคอยให้เธอกลับมาตลอดสี่สิบห้าวันที่ผ่านมา
ช่วงเวลาที่แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าสักเพียงใดแต่กลับไม่มีวันไหนที่จะนอนหลับได้สนิท ฝันร้ายมาเยือนเขาอยู่ทุกค่ำคืนและไม่อาจกลับไปนอนหลับต่อได้หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เขาโทรมลงเรื่อยๆ ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ หรือโกนหนวดอยู่เป็นอาทิตย์ ผิดจากนิสัยรักความสะอาดก่อนหน้านี้ลิบลับ ใต้ตาลึกโบ๋ให้ดูแก่ขึ้นอีกสิบปีขึ้นมาทันที
โม่หันล้มป่วย เขาไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง D อย่างที่ควรจะเป็น แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะอยู่ที่เมือง D และปฏิเสธที่จะอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อไม่มีทางเลือก ไป๋อวี่และหลิวจื้อหย่วนจึงต้องบากบั่นมาจากเมือง S เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ได้สติและพาเขากลับไปรักษาตัวที่เมือง S
เขาไม่ปริปากพูดสักคำราวกับมีบางคนพรากจิตวิญญาณไป
“คุณยังรอวันที่ซย่าชิงอีจะกลับมาเหรอครับ” หลิวจื้อหย่วนเอ่ยถาม
โม่หันมีปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของเธอ เขานั่งลงและค่อยๆ ตักโจ๊กในชามกิน
ในวันที่สามที่เข้ารับการรักษา เขายืนยันเสียงแข็งที่จะออกจากโรงพยาบาลแม้ว่าอาการของเขาจะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก เก็บข้าวของและบอกให้หลิวจื้อหย่วนจัดการเรื่องที่บริษัทให้ด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนที่เขากำลังจะกลับไปที่เมือง D
ทั้งหลิวจื้อหย่วนและไป๋อวี้ลุกขึ้นรั้งเขาไว้ ห้ามไม่ให้เขากลับที่เมือง D พร้อมบอกว่าเขายังต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลต่อ
ระหว่างที่พวกเขากำลังถกเถียงกัน เสียงโทรศัพท์ของโม่หันก็ดังขึ้น
เขาไม่เคยตั้งค่าป้องกันไม่ให้เบอร์แปลกหน้าโทรเข้าอีกเลยหลังจากที่ซย่าชิงอีหายตัวไป เขาตั้งใจรับทุกสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จักไม่ว่าจะเป็นเบอร์ของใครก็ตาม
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที โม่หันหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเมื่อมองเบอร์ที่ไม่คุ้นตาบนหน้าจอ จังหวะหัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง จนอีกสองคนที่อยู่ในห้องเห็นมือที่สั่นไหวของเขาซึ่งจับโทรศัพท์ไว้
เขากดรับสายก่อนที่เสียงจากปลายสายจะดังขึ้น [สวัสดีค่ะ… พี่โม่หัน]
เขามั่นใจว่าเสียงนั้นเป็นของซย่าชิงอี
[ช่วยมารับฉันทีนะคะ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน] น้ำเสียงของเธอดังขึ้นแผ่วเบาแต่เขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาเอ่ยเสียงสั่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เธออยู่ที่ไหน”
[ฉันอยู่ที่สนามบินค่ะ…] เสียงของซย่าชิงอีแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
“ขอเวลาพี่ยี่สิบนาที” เขาวางสายและดึงแขนของไป๋อวี่พลางถามขึ้น “รถของนายอยู่ไหน”
คนถูกถามมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ อีกฝ่ายออกแรงจับเขาแน่นขึ้นในขณะที่ครุ่นคิด “อยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน นี่กุญแจ…”
โม่หันคว้ากุญแจและแทบจะปลิวหายออกไปทางประตู ทิ้งให้อีกสองคนที่เหลือมองตามหลังไปก่อนจะรีบขับรถตามเขาไปด้วยกลัวว่าอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
ซย่าชิงอีกระโดดลงคูน้ำสายยาวนั้น
เสียงเห่าของสุนัขยังดังให้ได้ยินอยู่รางๆ จมูกของมันไวต่อกลิ่นทำให้มันอาจจะตามตัวเธอเจอได้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระโดดลงไปในน้ำที่สกปรกและเหม็นเน่า บีบจมูกเอาไว้ในขณะที่หลบอยู่ใต้แท่นโดยไม่กล้าที่จะหายใจเสียงดัง
เธอได้ยินเสียงของสุนัขและคนที่ดังอยู่ด้านหลังซึ่งเข้ามาใกล้ตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ห่างและจางหายไป
รออยู่ครู่ใหญ่ก่อนปีนขึ้นมาอย่างระวังตัวในช่วงโอกาสที่ท้องฟ้ายังคงมืดในขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เธอก้าวไปทางที่พบก่อนหน้านี้ มุ่งหน้าไปในบริเวณที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นด้านนอก
เสื้อผ้าของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนสีดำ เธอมาถึงสนามบินพร้อมกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้งติดตัวท่ามกลางสายตาของเจ้าหน้าที่ในสนามบินที่มองมาอย่างสงสัย
สนามบินแห่งนี้ไม่ใหญ่นักขั้นตอนการซื้อตั๋วเครื่องบินจึงไม่ใช่เรื่องที่ยาก เธอใช้ภาษาอังกฤษห่วยๆ ของตัวเองขอร้องให้คนรอบข้างช่วยเธอซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศจีนด้วยเงินของตัวเอง
ซ้ำเธอยังไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนติดกายเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดชาวอเมริกาคนหนึ่งก็เห็นใจและตกลงช่วยเธอซื้อตั๋วเครื่องบินกลับจีนหลังจากเห็นดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจากการเอ่ยขอร้องคนรอบๆ มาสักพักใหญ่
มีจุดหมายปลายทางเพียงสองที่ในจีนที่มีเที่ยวบินจากที่นี่ และเมือง S คือหนึ่งในนั้น
น้ำตาของซย่าชิงอีร่วงหล่นลงมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินกลับเมือง S มาอยู่ในมือ ในตอนนั้นเองที่ทุกอารมณ์ความรู้สึกของเธอระเบิดออกมา เธอไม่อาจกลั้นก้อนสะอื้นของตัวเองและทำได้เพียงถือตั๋วเครื่องบินไว้แน่น ทั้งร่างสั่นไหวจากแรงสะอื้นไห้ ชาวต่างชาติที่รอขึ้นเครื่องบินอยู่ในสนามบินต่างหันมามองเธอที่ทิ้งตัวนั่งลงร่ำไห้ แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังรีบเข้ามาถามอาการของเธอ