ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 205 กลับมาแล้ว
พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนคนหนึ่งจึงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าถึงเพียงนี้
ทว่าซย่าชิงอีกลับได้แต่คิดว่าไม่มีช่วงเวลาใดที่เธอจะมีความสุขไปมากกว่านี้
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เธอมีความสุขไปมากกว่านี้ ในที่สุดเธอก็จะได้กลับไปอยู่เคียงข้างโม่หันแล้ว
เธอเฝ้าคิดถึงเขาอยู่ทุกคืนวันที่พวกเขาไกลห่างจากกัน อยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงเขาในยามค่ำคืนแม้จะทำได้เพียงกลั้นเอาไว้ในใจ เพียงไม่กี่วันที่ไร้ซึ่งเขาอยู่ข้างกันเธอก็รู้ซึ้งว่าตัวเองรักเขามากเพียงใด
ซย่าชิงอีรู้สึกราวกับไม่อาจทนต่อไปได้แม้เพียงวันเดียวโดยที่ไม่มีเขาอยู่ด้วยกัน ราวกับเธอจะเป็นจะตายไปพร้อมกับวันๆ หนึ่งที่ผ่านพ้นไป จิตใจของเธอถูกทำลายป่นปี้แม้ว่าร่างกายจะยังคงอยู่
การเดินทางที่เหลือผ่านไปได้ด้วยดีกว่าที่เธอคาดไว้เล็กน้อย เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอนุญาตให้เธอผ่านเข้าไปหลังจากเห็นตั๋วเครื่องบินของเธอถึงแม้เสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนสีดำ ทั้งใบหน้ามันเยิ้ม ดูไม่เหมือนคนปกติก็ตาม
วันที่สามสิบแปดหลังจากที่เธอจากประเทศบ้านเกิดมา ท้ายที่สุดซย่าชิงอีก็มาถึงเมือง S ในเขตประเทศจีนในช่วงเย็น
ในที่สุดเธอก็กลับมาถึงเมืองที่โม่หันอยู่หลังจากที่จากเขามาเป็นวันที่ห้าสิบ
เธอค่อยๆ เดินไปที่ทางออกหลังลงจากเครื่องบิน กวาดสายตามองดูผู้คนรอบตัวที่เดินขวักไขว่ผ่านเธอออกจากสนามบินไป พวกเขาเดินผ่านไปอย่างเร่งรีบจะไปที่ไหนสักแห่ง เธอทำเพียงมองใบหน้าและเสียงรอบตัวที่คุ้นเคยในขณะที่เดินไปอย่างเชื่องช้า
กลัวว่าหากก้าวเร็วเกินไปเธอจะตื่นขึ้นมาและรู้ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงความฝันที่ช่างงดงาม
เธอต้องการจดจ่อกับการเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
เหมือนเช่นเดิมที่เคยทำเมื่อห้าสิบวันก่อน ซย่าชิงอียืมโทรศัพท์ของคนแปลกหน้าเพื่อต่อสายหาโม่หัน อีกฝ่ายรับอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่ได้ยินเสียงของเขา เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ประสาทสัมผัสของเธอที่ตึงเครียดมานานในที่สุดก็ได้คลายลงเสียที
ซย่าชิงอีรู้ว่าเธอกำลังจะได้กลับบ้าน
หลังจากวางสาย เธอเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในสภาพเส้นผมมันเยิ้ม ใบหน้ามอมแมม และเสื้อผ้าสกปรก บนกระจกในสนามบิน ทั้งกลิ่นหม็นที่คลุ้งไปทั่วกาย
เธอรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย สภาพเธอตอนนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด ดูไม่เหมาะกับโม่หันแม้แต่น้อย
เห็นดังนั้นจึงวิ่งไปที่ห้องน้ำในสนามบินเพื่อไปพบโม่หันในสภาพที่ดูดี เธอค่อยๆ ใช้สบู่ล้างมือสระผมและล้างหน้าให้หมดจดอยู่ครู่ใหญ่ ซ้อมยิ้มหน้ากระจกในขณะที่จ้องไปที่ตัวเองที่ดูซีดเซียวในกระจก หลังจากเห็นหน้าเขาแล้วเธอจะไม่เริ่มร้องไห้ก่อน
เธอดึงกระดาษชำระมาเช็ดผมให้แห้งจนตัวเองดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ระหว่างที่กำลังซับผมให้แห้งดูเหมือนจะได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนเรียกชื่อเธอจากด้านนอก
เสียงนั้นดูแหบแห้งและตื่นตระหนกในขณะที่ยังคงตะโกนเรียกไม่หยุด เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้ว่าเป็นเสียงของโม่หัน
ว่าแต่ทำไมเสียงของเขาถึงกลายมาเป็นแบบนี้กัน
ซย่าชิงอีเดินออกมาและมองไปตามต้นทางของเสียงก่อนเห็นโม่หันกำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
เป็นไปตามคาดที่เขาจะปรากฏอยู่ในสายตาของเธอทันทีเหมือนอย่างที่เป็นมาเสมอ เขาดูโดดเด่นต่างจากคนอื่นๆ และมักส่องประกายออกมาไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน ไม่ว่าจะมีคนอยู่รอบกายมากมายเพียงใดก็ตาม ประกายจากตัวเขาก็จะส่องสว่างให้เธอเห็นเขาอยู่เสมอ
เขาหันกลับมามองที่เธอเช่นกัน
โม่หันวิ่งตรงไปหาเธอ ซย่าชิงอีอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาพร้อมกับดวงซึ่งมีน้ำตาคลอหน่วยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา
เขาอุ้มเธอขึ้น กอดกระชับเธอไว้แน่นจนเธอสัมผัสได้ถึงกระดูกของอีกฝ่ายและหายใจไม่ออก อย่างไรก็ตามเธอกลับชอบความรู้สึกหายใจไม่ออกนี้พลางกอดเขากลับอย่างแนบแน่นเช่นกัน
มีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงกันและกัน มีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้นที่เธอจะรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิในกายของเขา มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เธอจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในความฝัน รู้ว่าได้กลับมาแล้วจริงๆ กลับมาหาโม่หันแล้วจริงๆ
พวกเขาโอบกอดกันอยู่เนิ่นนานโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เธอค่อยๆ สัมผัสได้ถึงร่างที่สั่นไหวน้อยๆ ของอีกฝ่าย ตบลงบนแผ่นหลังของเขาเบาๆ ให้เงยศีรษะขึ้นมาให้เธอได้เห็นหน้า
เขากำลังร้องไห้และทำให้คนมองตกใจกับภาพตรงหน้า เธอไม่เคยเห็นเขาร้องไห้มาก่อน สีหน้าของเขาดูซีดเซียวและอ่อนไหวกว่าที่เธอเป็น เธอปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเขาก่อนเอ่ยถามขึ้น “พี่ร้องไห้ทำไมคะ”
เมื่อได้อ้าปากพูดตัวเธอเองเริ่มร้องไห้ออกมาเช่นกัน และปล่อยโฮออกมายิ่งกว่าอีกฝ่าย เธออยากจะยกมุมปากเป็นรอยยิ้มทว่าก็ไม่อาจทำได้ ซบศีรษะลงในอ้อมแขนของเขาในขณะที่ร่ำไห้จนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้
โม่หันกดจูบลงบนเส้นผมเปียกชื้นพลางลูบหลังเธอ “เธอกลับมาแล้ว… ดีจังที่เธอกลับมาแล้ว…”
เขาว่าขึ้นพร้อมอ้อมกอดที่โอบรอบร่างผอมบางของเธอ “ต่อไป…เราอย่าแยกจากกันอีกเลยนะ ตกลงไหม…”
เธอพยักหน้ารับแรงๆ ในวงแขนของเขา
“พี่คะ ฉันเหนื่อยจัง…” เธอเอ่ยซ้ำ
น้ำตาของเขาร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง “พี่รู้… อย่าจากไปไหนอีกนะ… พี่จะไม่ปล่อยให้เธอจากไปไหนอีกแล้ว”
“แล้วฉันก็หิวมากด้วยค่ะ…”
“พี่จะซื้ออาหารมาให้เธอ เดี๋ยวเรากินด้วยกันหลังจากที่กลับไปนะ”
“ฉันอยากกินอาหารที่พี่ทำ…”
“พี่จะทำให้เธอกินเอง เธออยากกินอะไรพี่จะทำให้ทุกอย่าง”
“กลับบ้านกันนะคะ…”
“ได้สิ กลับบ้านกันนะ”
อันที่จริงซย่าชิงอีและโม่หันไม่ได้กินอาหารไปมากนักหลังจากกลับมาถึงบ้าน ในที่สุดเธอก็ได้อาบน้ำอุ่นอย่างที่เธอต้องการมาตลอดเสียที เธอเดินไปในห้องน้ำพร้อมเสื้อผ้าในมือในขณะที่เขาเดินตามหลังเธอไปติดๆ บอกว่าไม่กล้าปล่อยให้เธอคลาดสายตาอีก
เธอให้เขาเข้ามาในห้องน้ำ เขานั่งฟังเสียงน้ำไหลกระทบลงบนพื้นใต้ฝักบัวอยู่บนชักโครกโดยมีผ้าม่านกั้นระหว่างพวกเขาอย่างไม่เคยรู้สึกสบายใจขนาดนี้มาก่อน
พวกเขาเข้านอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ โม่หันยังคงนอนอยู่ข้างกายเธอบนเตียงเดียวกัน ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าเธอจะหายตัวไปอีกครั้งหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมา เขาไม่กล้าอยู่ห่างอีกฝ่ายอย่างรู้เพียงว่าต้องคอยอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเธอ
ซย่าชิงอีลูบไล้ด้านข้างบริเวณดวงตาที่อ่อนล้าของเขา สัมผัสได้ว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาคงผ่านความลำบากมามาก เธอรู้สึกปวดใจที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้เพราะพี่โม่หันของเธอดูแก่ขึ้นไปเป็นสิบปี
เธอนอนอยู่ข้างๆ และโอบกอดเอวเขาไว้ โม่หันนอนตะแคงขณะที่เอ่ยกระซิบแผ่วเบาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงที่พวกเขาห่างกันไกลให้เธอฟัง และอยากรู้ว่าเธอใช้ชีวิตในทุกวันโดยไม่มีเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีมากมายและเธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน จึงไม่ได้เล่าอะไรออกมา แค่ต้องการเพียงจ้องมองโม่หันเงียบๆ อยู่อย่างนี้เท่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเธอผ่านความยากลำบากมาเพียงใดกว่าจะได้กลับไปหาโม่หัน กว่าจะได้มองเขาหัวเราะอยู่แบบนี้
เมื่อก่อนเธอคิดว่าการที่ได้เจอเขาเป็นเพียงโชคดีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเธอ ทว่าเมื่อมาครุ่นคิดในตอนนี้แล้ว ยังมีสิ่งดีๆ อีกมากมายในชีวิตของตัวเอง ทั้งการที่เอาชีวิตรอดมาได้ การได้กลับมาหาโม่หัน และการได้นอนอยู่ข้างๆ เขาอย่างสบายใจเช่นนี้
โม่หันโอบไหล่ของเธอไว้ ลูบไล้ผิวนุ่มราวกับอุณหภูมิในร่างกายของเธอค่อยๆ ทำให้เลือดในกายของเขาอุ่นขึ้น เสียงหัวใจของเขาดังขึ้นในโสตประสาทเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนที่พวกเขาแยกจากกันไกล
เขารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตาย
เขาเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ในเช้าวันที่สอง เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับซย่าชิงอีในวงแขน เธอยังหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของเขา เสียงลมหายใจแช่มช้าของเธอดังขึ้นให้ได้ยิน เขายกยิ้มพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้อากาศช่างสดใสและเจิดจ้าจนแสงอาทิตย์ส่องให้ความอบอุ่นลงมาบนร่าง ประกายสายรุ้งจากแสงแดดปรากฏสู่สายตาของเขา
อีกคนบนเตียงตื่นขึ้นมาเช่นกัน เธอเหยียดกายก่อนปิดเปลือกตาลงอีกครั้งหลังจากเห็นเขาอยู่ตรงหน้า
เขาจ้องมองนอกหน้าต่างไปที่สายรุ้งท่ามกลางแสงแดดในขณะที่เอ่ยขึ้น “ซย่าชิงอี แต่งงานกันเถอะ”
เธอนิ่งเงียบไปชั่วครู่พลางส่งยิ้มให้ “เอาสิคะ แต่งงานกันเถอะค่ะ ฉันไม่ต้องการใครอื่นนอกจากพี่อีกแล้ว”
“พี่จะรักและให้เกียรติเธอไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ไม่ว่าในยามมีหรือยามยาก ไม่ว่าในยามเจ็บไข้หรือสบายดี และไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ ไปจนวันสุดท้ายของชีวิต”
“โม่หัน”
“ซย่าชิงอี”
จบบริบูรณ์