ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 39 เธอในอ้อมแขน / ตอนที่ 40 ไปนอนบนเตียง
ตอนที่ 39 เธอในอ้อมแขน
โม่หันไม่เคยเจอใครที่ดื้อด้านขนาดนี้มาก่อน เขาเดินออกไปจากห้องพร้อมเสื้อผ้าในมือ หลังจากนั้นจึงไปทำงานที่เหลือต่อให้เสร็จ
ในตอนที่เขากำลังจะปิดประตูก็ได้ยินเสียงเบาดังมาจากพื้น “ปิดไฟให้ด้วย ขอบคุณค่ะ”
โม่หันเอื้อมมือไปกดปิดไฟให้พลางส่ายหัวอย่างเอือมๆ
เขานั่งทำงานต่อในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา มีประชุมทางไกลกับนักกฎหมายที่ทำงานอยู่ต่างประเทศเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการแบ่งหุ้นของศูนย์การค้าเชิ่งต้า เมื่อประชุมเสร็จ เขามองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาห้าทุ่ม
นวดคลึงสันจมูกเบาๆ ก่อนปิดคอมพิวเตอร์และเตรียมตัวเข้านอน
ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่พบกองบางอย่างถูกคลุมด้วยผ้าห่มอยู่บนพรมข้างเตียงเมื่อกลับมาที่ห้อง พอเปิดไฟดูชัดๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอคือซย่าชิงอีนั้นเอง เขาปิดไฟและใช้แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาในห้องนำทางเดินไปที่เตียง
ซย่าชิงอีนอนหลับอย่างเงียบเชียบ เธอแทบจะไม่ส่งเสียงใดออกมานอกจากเสียงลมหายใจแผ่วเบา เขาคิดว่าคงนอนหลับสนิทอย่างที่เป็นมาตลอดทุกคืน
แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นดังนั้น เพราะในตอนที่กำลังจะผล็อยหลับไป เขาก็ได้ยินเสียงร้องสะอื้นเบาๆ มาจากที่ใกล้ๆ เสียงแผ่วเบานั้นดังขึ้นราวกับเจ้าของเสียงกำลังกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา
เขาพยายามไม่สนใจแต่เสียงนั้นกลับดังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงร้องไห้ในตอนท้าย เขาตื่นขึ้นมาในทันที ดูเหมือนว่าต้นทางของเสียงร้องนั้นจะมาจากพื้นที่ซย่าชิงอีนอนอยู่
เขาลุกจากเตียงมาเปิดโคมไฟ แสงสลัวสว่างไปทั่วห้อง โม่หันเอามือป้องตาขณะที่ปรับตาให้ชินกับแสง หลังจากนั้นจึงหันไปมองและได้เห็นบางอย่างที่เขาจะไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิต
พรมถูกดันไปอีกด้านหนึ่งอย่างยุ่งเหยิง ซย่าชิงอีนอนขดตัวราวกับเป็นลูกบอล บนร่างไม่มีสิ่งใดปกคลุมนอกจากชุดนอนบางๆ ที่สวมอยู่ แขนทั้งสองข้างกกกอดตัวเองเอาไว้แน่น น้ำตาไหลอาบแก้มขณะที่ร้องไห้ออกมา คิ้วขมวดแน่นหากันเมื่อเธอเริ่มร้องไห้หนักขึ้นด้วยท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว ห้องทั้งห้องดังก้องไปด้วยเสียงร้องของเธอ
เขาอยู่ในอาการตกใจ คุกเข่าลงข้างๆ เธอแล้วจับตัวเธอเบาๆ เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่รู้ว่าเธอยังหลับอยู่หรือไม่ “คุณเป็นอะไรไป”
เธอยังคงร้องไห้ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่ร้องไห้จนตัวสั่นระริก “ปล่อย…ฉัน…ไป… ขอร้อง…”
อีกฝ่ายสงสัยว่าเธอคงกำลังฝันอยู่ เขากอดเธอเอาไว้พลางเรียกชื่อเธอไปด้วยอย่างต้องการปลุกเธอให้ตื่นจากฝัน “ตื่นสิครับ! มันเป็นแค่ความฝัน! ”
เด็กสาวยังคงไม่หยุดร้องไห้ จนตอนนี้เขาแยกระหว่างน้ำตากับเม็ดเหงื่อบนใบหน้าเธอไม่ออกแล้ว ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเต็มหน้า ซย่าชิงอีตัวสั่นพร้อมร้องไห้และพึมพำออกมา เอาแขนป้องศีรษะเอาไว้ราวกับกำลังซ่อนตัวจากอะไรบางอย่าง เขาอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เธอไม่เคยร้องไห้ให้เห็นเลย และเมื่อนึกถึงตอนที่เขาคิดว่าเธอแค่ฝันร้ายก็รู้สึกปวดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงร้องของเธอ โม่หันทำได้เพียงเขย่าตัวเธอแรงๆ ให้ตื่นจากฝัน “ซย่าชิงอี! ซย่าชิงอี! ตื่นสิ! ”
อาจเป็นเพราะเธอได้ยินเสียงของเขา จังหวะลมหายใจจึงเริ่มกลับมาเป็นปกติ ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นมา สายตาว่างเปล่าคลอไปด้วยน้ำตาที่จ้องมองมาที่เขาบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้ตัวว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาจ้องเธอกลับอย่างเป็นกังวล เด็กสาวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นผ่านนิ้วมือของเขาขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
“คุณเป็นอะไรไป” ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเธอได้สติขึ้นมาแล้ว
ซย่าชิงอียกมือแตะใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ภายในลำคอแห้งผากและรู้สึกเจ็บ เธอไม่รู้ตัวว่าตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ทำได้เพียงมองโม่หันด้วยแววตางุนงง ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเขาอย่างไรดี
“ฝันร้ายเหรอ” โม่หันคลายอ้อมแขนลงก่อนนั่งลงข้างเตียงของตัวเอง
เมื่อเธออ้าปากจะพูดก็รู้สึกคอแห้งอย่างกับกระดาษทราย “น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ…”
ตอนที่ 40 ไปนอนบนเตียง
“คุณฝันว่าอะไรเหรอ”
ซย่าชิงอียกมือเช็ดหน้า พยายามนึกถึงความฝันของตัวเองและพบว่าเธอแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้ออกมาเพราะอะไรกันแน่
“ฉัน… ไม่รู้ค่ะ… จำได้แค่…ถือมีดไว้ในมือ แล้วรอบตัวมันก็มืดไปหมด… ฉันเดินตรงไปเรื่อยๆ … ฉะ…ฉันไม่รู้ว่าทำถึงร้องไห้ออกมา ไม่รู้จริงๆ ค่ะ…” ในใจของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน ความทรงจำเกี่ยวกับความฝันเลือนรางและคลุมเครือ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ความสิ้นหวังเกาะกินหัวใจ ขณะที่รู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มหลังจากตื่นขึ้นมา
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” เขากล่าวขึ้นพลางมองใบหน้าที่อ่อนล้าของเธอ
เมื่อกลับเข้ามาในห้องนอน เขาสังเกตเห็นว่าเธอยังค้างอยู่ในท่าเดิมที่ตื่นขึ้นมา เด็กสาวนั่งคุดคู้อยู่บนพื้น เอนศีรษะพิงหัวเข่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ท่าทางไร้ชีวิตชีวาแบบที่เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรในหัวอยู่กันแน่
“หยุดคิดได้แล้วครับ มันก็แค่ฝันร้ายน่ะ” เขาก้าวเข้าไปหาพร้อมส่งแก้วน้ำให้
“คุณคิดว่า… ฉัน…ฆ่าใครมาหรือเปล่าคะ” เธอโพล่งถามขึ้น ยังคงตั้งคำถามกับตัวเองในอดีต
โม่หันนิ่งไปก่อนหันไปยิ้มให้เธอ “คิดอะไรของคุณน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก รีบๆ ดื่มน้ำเถอะ เสร็จแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมานอนนะครับ”
“ฉัน… ไม่ได้ฆ่าใครจริงๆ ใช่ไหมคะ” ซย่าชิงอีกะพริบตามองเขาอย่างจริงจัง
เขามองสำรวจเธอไปทั่วร่าง ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ น้ำตาที่เปื้อนเต็มใบหน้าและผมเผ้ายุ่งเหยิง โม่หันตอบ “ไม่ครับ คุณไม่ได้ทำ เชื่อผมนะ อย่าคิดไปเองเพราะความฝันที่เชื่อไม่ได้เลย ตอนนี้รีบไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมานอนเถอะ”
เธอทำตามที่เขาบอกอย่างเชื่อฟังแล้วลุกขึ้นไปห้องน้ำ รู้สึกขาอ่อนแรงทันทีที่ลุกขึ้นยืนเหมือนกับเพิ่งกลับมาจากขุมนรก ความกลัวจากความฝันยังคงหลงเหลือในความรู้สึก จ้องมองใบหน้าเลอะคราบน้ำตาของตัวเองในกระจก สองมือเท้าลงบนอ่างล้างหน้าขณะปล่อยให้น้ำไหลไปเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเป็นคนแปลกหน้าของตัวเอง
ถ้าพูดกันจริงๆ ความฝันเป็นผลสะท้อนทางจิตใจจากชีวิตจริง หลายครั้งความฝันแปลกๆ ก็สามารถใช้อธิบายเหตุการณ์ในชีวิตจริงได้ แล้วฝันของเธอล่ะ สิ่งที่เธอฝันถึงมาตลอดเวลาที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลหมายความว่าอย่างไรกัน แล้วทำไมคืนนี้เธอถึงร้องไห้ในฝันกัน
บาดแผลของเธอเกี่ยวข้องกับมีดที่เห็นในฝันไหมนะ
เธอเพิ่งรู้ตัวว่าลืมบางอย่างที่สำคัญในความฝันไป
บางทีมันอาจจะช่วยตอบคำถามทั้งหมดที่เธอมีตอนนี้ได้
“ซย่าชิงอี” โม่หันเคาะประตูจากด้านนอก
เสียงของเขาเรียกให้เธอหลุดจากห้วงความคิดในหัว เธอรีบปิดน้ำ “คะ มีอะไรเหรอคะ”
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” เขาคอยดูเธอตั้งแต่ที่เดินเข้าห้องน้ำไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากเสียงน้ำไหล เพราะกลัวว่าจะเกิดบางอย่างขึ้นจึงมาตามที่ห้องน้ำ
คนถูกเรียกเปิดประตูออกมาก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“คุณควรไปนอนบนเตียงดีๆ นะ” เขามองไปบนเตียงของตัวเอง ผ้าห่มถูกพับวางไว้อย่างเรียบร้อย
เธอหันมามองเขางงๆ “ทำไมล่ะคะ”
“ผมบอกให้ไปนอนก็ไปนอนสิ” เขาก้มลงเก็บกวาดของบนพื้น
“คุณจะไปนอนข้างนอกเหรอคะ” เธอมองเขาอย่างอ้อนวอน เหมือนกับตัวเองเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกทิ้ง
เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจ้องมองเธอ “ไม่ได้ไปไหนครับ ผมจะนอนอยู่บนพื้นข้างๆ นี่แหละ”
ซย่าชิงอีผ่อนคลายลง ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง มองดูอีกฝ่ายเอนตัวนอนบนพรมแล้วคลุมตัวด้วยผ้าห่มที่ยาวไม่พอจะคลุมร่างได้หมด การรู้ว่าเขาคงกลัวว่าเธอจะนอนไม่หลับและฝันร้ายอีกทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ เม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ย “ขอบคุณนะคะ พี่ชาย”