ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 11 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (11)
“โฮ่ง~”
พร้อมกับสุนัขสีดำที่มีสีหน้าหดหู่ตกลงสู่พื้นดิน แดนทมิฬที่ปกคลุมทั่วผืนป่าและหุบเขาก็หายไปเช่นเดียวกัน
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผู้อาวุโสทั้งสองของสำนักซั่งชิงและเจ้าสำนักเยี่ยจื่ออันทั้งสามคนก็ถูกดึงดูดโดยสุนัขสีดำที่อยู่ในความมืดมิด และปรากฏขึ้นต่อหน้าซูรุ่ยและซูหว่าน
“นี่มัน…”
มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าและยังมีมั่วหันที่ร่างกายเย็นเฉียบเป็นศพที่นอนอยู่บนพื้น สายตาของผู้อาวุโสสำนักซั่งชิงทั้งสองนั้นวาบประกายเย็นชา แต่ดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยจื่ออันกลับมองไปยังร่างของซูรุ่ย
“ใช่ทายาทของเผ่ามังกรปราบมารหรือไม่”
“ถูกต้อง”
ซูรุ่ยพักหน้าให้กับเยี่ยจื่ออัน “อนุชนหม่าเย่ว์ ดีใจที่ได้พบเจ้าสำนักซั่งชิง”
ผู้อาวุโสที่อายุค่อนข้างมากหน่อยท่านหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังของเยี่ยจื่ออันได้ยินคำพูดของซูรุ่ย สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที “แดนทมิฬนั่นใช่เกิดจากมังกรดำที่เจ้าอัญเชิญออกมาหรือไม่”
เรื่องที่หม่าเย่ว์อัญเชิญมังกรดำออกมานั้นต่างแพร่กระจายออกไปและทำให้ผู้คนมีเกิดความสนใจ
มังกรร้ายปรากฏ ใต้หล้าโกลาหล
คำเล่าลือจากยุคโบราณประโยคนี้ สำหรับคนยุคปัจจุบันแล้วก็ยังคงเชื่อมั่นในคำกล่างนั่น
“มังกรดำ?”
ซูรุ่ยหัวเราะพร้อมกับกางมือออกทั้งสองข้างอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “มังกรดำไม่มี แต่สุนัขดำมีอยู่ตัวหนึ่ง หากว่าท่านนักพรตอยากได้เลือดสุนัขดำแล้วละก็ อยากได้เท่าไหร่ก็มีให้เท่านั้น!”
มังกรบางตัวที่กลายเป็นสุนัขไปแล้วนั้นได้แต่ส่งเสียงร้องในใจว่า โฮ่ง~ โฮ่ง~
เห็นผู้อาวุโสท่านนั้นยังอยากจะพูดอะไรอีก เยี่ยจื่ออันพลันยกมือขึ้นปราม “หม่าเย่ว์ มั่วหันนี่เจ้าเป็นคนฆ่าอย่างนั้นหรือ แล้วแดนทมิฬเมื่อสักครู่นี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ข้าเป็นคนฆ่ามั่วหันเอง เขาไล่ฆ่าข้ามาตลอดทางจนมาถึงที่นี่ บีบบังคับให้ข้าต้องตอบโต้กลับ ส่วนเรื่องแดนทมิฬนั้น เป็นผีที่อยู่ใต้อาณัติของมั่วหันเป็นคนทำ เจ้าสำนักเยี่ยท่านจะไปสืบค้นสักหน่อยก็ได้ มั่วหันทำพันธะสัญญากับราชันผีตนหนึ่ง มีพลังแกร่งไม่ธรรมดา ทุกคนที่อยู่ในพรรคอู่สิงต่างก็รู้กันดี แต่พวกเขากลับตามใจมั่วหันปล่อยให้ออกไปก่อกวนนอกสำนักอยู่ตลอด และไม่เคยมองว่าเพื่อนร่วมสำนักอยู่ในสายตา!”
ซูรุ่ยตอบคำถามเยี่ยจื่ออันเสียงเนิบนาบ และสุดท้ายก็อดที่จะเหน็บแนมพรรคอู่สิงไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ดวงตาของเยี่ยจื่ออันก็วาบประกาย ในความเป็นจริงเขารู้อยู่แล้วหม่าเย่ว์กับมั่วหันเข้ามาในเขตเหมาซาน อีกทั้งทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางกัน อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เยี่ยจื่ออันรู้อยู่ชัดเจน โอบกอดความคิดที่ว่าอัจฉริยะจากตระกูลสำนักพรรคอื่นตายไปหนึ่งคนก็เท่ากับว่าน้อยลงไปหนึ่งคน คนของผู้อื่นตายก็ดีกว่าคนของตนตาย เยี่ยจื่ออันจึงทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง วันนี้หากไม่ใช่เพราะแดนทมิฬอันแข็งแกร่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น เขาคงจะไม่ออกมาลุยโคลนตมอย่างนี้
แล้วมังกรดำตัวนั้นล่ะ
ถึงแม้ว่าเยี่ยจื่ออันจะเชื่อคำพูดของตระกูลหม่า บางทีอาจจะเป็นหม่าเย่ว์ที่อัญเชิญมังกรดำออกมา แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามังกรดำตัวนี้เป็นมังกรชั่วร้ายจากนิทานปรัมปรานั่นจริงหรือไม่
แม้ว่าสีดำจะแสดงถึงความชั่วร้าย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามังกรดำเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดในเผ่ามังกร พวกมันจะมีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน
“เรื่อง…ของมั่วหันนี้…”
เยี่ยจื่ออันพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ฉันจะไปตรวจสอบกับพรรคอู่สิงเอง ทั้งสองท่านนี้คือ…”
ในตอนนี้สายตาของเยี่ยจื่ออันมองไปยังซูหว่านและซูเจินเจิน สาวงามที่รูปลักษณ์เหมือนกันทั้งสอง มีอิทธิพลต่อสายตาของคนอื่นไม่น้อย
“พวก พวกเราเหรอ?”
เมื่อเห็นเยี่ยจื่ออันถามถึงตัวเองและซูหว่าน ซูเจินเจินก็ประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันชื่อซูเจินเจิน เธอชื่อซูหว่าน”
ซูหว่านเปิดปากพูดขึ้นก่อนในขณะที่ซูเจินเจินสีหน้าสับสน “พวกเรามาจากตระกูลซูนครใต้ ครั้งนี้ฉันมาเป็นเพื่อนพี่สาวฉันมาหาคู่หมั้นสวินหรานตูที่นี่ ใครจะไปรู้ว่าระหว่างทางที่มาจะเจอกับฝูงผีล้อมโจมตี ต้องขอบคุณพี่หม่าที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ พวกเราถึงได้รอดมาจนถึงตอนนี้”
“หือ”
เมื่อได้ยินว่าทั้งสองคนมาหาสวินหรานตู เยี่ยจื่ออันก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาสัมผัสพลังหยินบนตัวของซูเจินเจินได้ ดวงตาก็เป็นประกาย “นครใต้…ตระกูลซู “
หรือว่าจะเป็นตระกูลซูของมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งในนครใต้ที่ศิษย์พี่ช่วยเหลือเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
“ตอนนี้หรานตูอยู่บนเขาซั่งชิง ไหนๆ พวกเธอก็มาหาเขาแล้ว พวกเราก็จะพาเธอเข้าไปด้วยกัน ส่วนศิษย์หลานหม่า…”
“หากเจ้าสำนักเยี่ยไม่รังเกียจ หม่าเย่ว์ก็อยากจะขึ้นไปจิบน้ำชาสักถ้วยบนเขา”
ซูรุ่ยส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับเยี่ยจื่ออัน เยี่ยจื่ออันไม่ได้แปลกใจอะไรกับการเสนอตัวของเขา พลันพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “ได้สิ พวกเธอตามฉันมา!”
“โฮ่ง~”
ในเวลานี้ราชันมังกรตัวน้อยที่ทุกคนเพิกเฉยซึ่งกำลังวางแผนจะหลบหนีอย่างลับๆ กลับถูกซูหว่านดึงหางกลับ “หลงหลง แกห้ามวิ่งไปทั่ว โลกนี้อันตรายมาก แกรู้ไหม”
มังกรดำ มารดาเจ้าเถิด สิ่งที่อันตรายที่สุดคือพวกเจ้าคู่สามีภรรยาทั้งสอง ก็ไม่รู้ว่าผุดมาจากอเวจีขุมไหน~
“เจ้าสุนัขตัวนี้…”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของมังกรดำ เยี่ยจื่ออันที่หันไปแล้วจู่ๆ ก็หันกลับมามองและพูดว่า “สุนัขตัวนี้คล้ายกับสัตว์เลี้ยงของลูกสาวฉันที่หายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน อืม มันดูเหมือนมากจริงๆ แล้วเสียงเห่าก็เหมือนด้วย”
ซูหว่าน “….”
ไม่ผิด ที่จริงแล้วนี่เป็นสัตว์เลี้ยงของเย่อวี้ฉี เมื่อครู่มันบังเอิญถูกกักขังอยู่ในอาณาเขตนี้ก็เท่านั้น ในตอนที่ซูหว่านร่ายเวทผนึกวิญญาณจำเป็นต้องใช้ร่างสื่อกลางพอดี ตอนนั้นเธอเผอิญไปเห็นหมาตัวหนึ่งกำลังตัวสั่น แอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเอามันมาใช้ประโยชน์ซะเลย~
เรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริง มันก็เป็นแบบนี้แหละ
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยจื่ออันในตอนนี้ ซูหว่านแค่ดึงหางของมังกรดำโยนไปในอ้อมอกของซูรุ่ย “เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของพี่หม่า ชื่อว่าหลงหลง แต่มันไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก ชอบกัดคนไปทั่ว ฉันคิดว่าถึงมันจะเป็นพันธุ์เดียวกันกับสัตว์เลี้ยงของคุณหนูเยี่ย แต่ว่ามันต้องเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าตัวอื่นๆ แน่”
ได้ยินคำพูดของซูหว่าน เยี่ยจื่ออันแค่ยิ้มออกมาน้อยๆ สัตว์เลี้ยงตัวนั้นของลูกสาวตน เชื่อฟังมากๆ เลย มันหายไปหลายวันแล้ว ในใจของอวี้ฉีผิดหวังเป็นอย่างมาก เธอเคยไปตามหาที่ด้านล่างภูเขาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่น่าเสียดายที่หาไม่เจอ
เฮ้อ ไม่รู้ว่าเธอเห็นสัตว์เลี้ยงของหม่าเย่ว์แล้วจะนึกถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักตัวนั้นไหม หากไม่ได้จริงๆ คงต้องลงเขาไปซื้อที่ร้านขายสัตว์ให้เธอหนึ่งตัวซะแล้ว…
ทั้งสามคนเดินตามเยี่ยจื่ออัน ไม่นานก็เข้าไปในประตูสำนักซั่งชิง ตามกฎของสำนักแล้ว หากจะเข้าประตูต้องเอาอาวุธที่พกติดตัวมาออกทั้งหมด
ออกจากบ้านครั้งนี้ซูรุ่ยพกแค่มีดอวี้หลิง ก่อนจะขึ้นเขาก็ได้ฝากไว้กับศิษย์สำนักซั่งชิงให้ดูแลแล้วให้แล้ว
สำนักซั่งชิงคู่ควรที่จะได้รับเป็นสำนักลี้ลับสำนักใหญ่ซึ่งสืบทอดต่อกันมายาวนานหลายปี
ถึงแม้ว่าจะมาถึงยุคสมัยนี้ หลายสำนักทยอยลดลง หนังสือคัมภีร์หลายเล่มก็ไม่ได้มีการสืบต่อแล้ว แต่ว่าสำนักซั่งชิงยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ศิษย์เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมองไปที่ห้องโถงงดงามเบื้องหน้าของเขา ยังมีเหล่าศิษย์ที่สวมเครื่องแบบโบราณเดินตามทาง ในตอนนั้นซูเจินเจินก็นึกว่าตัวเองได้เดินทางไปยังยุคโบราณอีกครั้ง
ที่แท้นี่ก็คือสำนักซั่งชิงหรือ
ตอนที่ซูเจินเจินกำลังรู้สึกละลานตาอยู่นั้น ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินก็เดินออกมาจากประตูด้านข้างของห้องโถงใหญ่ “ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ท่านกลับมาแล้ว นี่คือ…ซูหว่าน “
เดิมทีชายคนนี้ต้องการถามเกี่ยวกับเรื่องแดนทมิฬ แต่เมื่อเขาเห็นซูหว่านและซูเจินเจินที่อยู่ข้างหลังเยี่ยจื่ออัน เขาพลันเงียบเสียงตะโกนลงในทันที…
ซูหว่านทำไมถึงได้มาอยู่นี่
แล้ว ทำไมมีซูหว่านสองคน
ชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาคนนี้ แน่นอนว่าเป็นพระเอกผู้ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ สวินหรานตู
ในตอนนี้สวินหรานตูมองไปยังซูหว่านและซูเจินเจินด้วยความงุนงง ซูเจินเจินที่ได้ยินเสียงของสวินหรานตูพลันเงยหน้าขึ้นมองดู…
ที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่อันงดงาม ชายหนุ่มในชุดพลิ้วไสวไม่เพียงมีความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่เขายังรูปหล่อหมดจด ในเวลานี้ใบหน้าของเขาสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่นเหมือนผิวทะเลสาบ ดวงตาสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึกคู่หนึ่ง มองไปยังซูหว่านที่อยู่ข้างตัวเอง
นี่คือ พระเอกสวินหรานตูเหรอ
ซูเจินเจินเบิกตากว้างมองสวินหราตู แต่สวินหรานตูกลับมองซูเจินเจินสลับกับมองซูหว่าน เขาเคลือบแคลงใจ จึงมองและถามซูหว่านว่า “ซูหว่าน ใช่เธอไหม”
แม่เอ๋ย~
นี่นายมองออกหมดแล้วใช่ไหม แบบนี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย
“นายคือสวินหรานตู?”
ซูหว่านก้าวไปข้างหน้า และมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย “ฉันคือซูเจินเจินน้องสาวฝาแฝดของซูหว่าน นี่คือซูหว่านพี่สาวของฉัน!”
ขณะพูด เธอก็ดันซูเจินเจินให้ไปอยู่ด้านหน้าของสวินหรานตู
ซูเจินเจิน “…”
ซูเจินเจิน?
สวินหรานตูมองไปยังซูหว่านอย่างสงสัย แม้ว่าทั้งสองคนจะหน้าตาเหมือนกัน แต่กลิ่นอายของพวกเขาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือว่าตัวเองจะดูผิดไปนะ
เมื่อสวินหรานตูจ้องมองไปที่ซูเจินเจินอีกครั้ง ก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่ไหลออกมาจากร่างกายของเธอ สวินหวานตูถึงได้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย…
ไม่ผิดแน่ นี่ถึงจะใช่ซูหว่าน
ไม่ได้เจอกันเพียงช่วงสั้นๆ แต่เธอกลับดูแปลกไปเป็นคนละคน อย่าบอกนะเกิดจากพลังหยินบนร่างกายของเธอ